ข้ามไปเนื้อหา

กุสทัฟ มาเลอร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กุสทัฟ มาเลอร์
Gustav Mahler
มาเลอร์ในปี 1907
มาเลอร์ในปี 1907
เกิด07 กรกฎาคม ค.ศ. 1860(1860-07-07)
คาลิชท์ จักรวรรดิออสเตรีย
เสียชีวิต18 พฤษภาคม ค.ศ. 1911(1911-05-18) (50 ปี)
เวียนนา จักรวรรดิออสเตรีย
อาชีพคีตกวี, วาทยกร

ลายมือชื่อ

กุสทัฟ มาเลอร์ (เยอรมัน: Gustav Mahler) เป็นคีตกวีชาวออสเตรีย-โบฮีเมีย และเป็นหนึ่งในวาทยกรผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในปลายยุคโรแมนติก เขาไม่เพียงแต่เป็นที่รู้จักในฐานะคีตกวีผู้สร้างสรรค์ซิมโฟนีที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในฐานะวาทยกรผู้ทรงอิทธิพลต่อวงการดนตรีคลาสสิกในยุโรป มาห์เลอร์ได้ทิ้งรอยประทับที่ยิ่งใหญ่ในวงการดนตรีทั้งในฐานะคีตกวีและผู้ควบคุมวงที่มีความชำนาญอย่างยิ่ง

การเติบโตในครอบครัวชาวเยอรมันเชื้อสายยิวท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจและการสูญเสียพี่น้องหลายคน มีผลลึกซึ้งต่อความคิดและอารมณ์ของมาเลอร์ ในช่วงครั้งหลังของชีวิต ความคิดของเขามักหมุนเวียนอยู่รอบเรื่องของชีวิต ความตาย และความหมายของการดำรงอยู่ เขาเผชิญกับความสูญเสียหลายครั้งในชีวิตส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตของพี่น้องและลูกสาว รวมถึงสุขภาพที่อ่อนแอ สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อความคิดของมาเลอร์ ทำให้เขามองชีวิตด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง และผลงานของเขามักสะท้อนอารมณ์เหล่านี้ออกมา

มาเลอร์เชื่อว่าดนตรีเป็นเครื่องมือที่สามารถแสดงความรู้สึกและความคิดที่ลึกที่สุดของมนุษย์ได้ ผลงานของเขามักสะท้อนถึงการแสวงหาความหมายในชีวิต โดยใช้การผสมผสานระหว่างความสุข ความโศก และการต่อสู้ภายในจิตใจ นอกจากนี้ มาเลอร์ยังเป็นผู้เข้มงวดในงานศิลปะ เขามีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและต้องการให้ผลงานของเขาเป็นไปตามมาตรฐานสูงสุดเสมอ ทำให้เขากลายเป็นคีตกวีที่สามารถสะท้อนอารมณ์และความคิดอย่างลึกซึ้ง

มาเลอร์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 1911 ที่เวียนนา หลังจากต่อสู้กับอาการป่วยอย่างหนัก แม้ว่าเขาลาจากโลกไป แต่ผลงานของเขายังคงเป็นที่รู้จักและยกย่องในวงการดนตรีคลาสสิกตลอดกาล

ประวัติ

[แก้]

กุสทัฟ มาเลอร์ เกิดในครอบครัวเชื้อสายยิวในหมู่บ้านคาลิชท์ (Kalischt) ราชอาณาจักรโบฮีเมีย ในจักรวรรดิออสเตรีย ปัจจุบันอยู่ในประเทศเช็กเกีย) บิดาของเขาชื่อ แบร์นฮาร์ท มาเลอร์ (Bernhard Mahler) เจ้าของโรงเหล้าขนาดเล็กในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นธุรกิจที่ครอบครัวพยายามใช้ในการยกระดับฐานะทางเศรษฐกิจของตนเอง กุสทัฟเป็นลูกคนที่สองในจำนวน 14 คน แต่มีเพียง 6 คนเท่านั้นที่ไม่เสียชีวิตในวัยเด็ก ด้วยเหตุนี้เอง ชีวิตในวัยเด็กของเขาจึงแวดล้อมไปด้วยความสูญเสียและการเผชิญหน้ากับความตายอย่างต่อเนื่อง

วัยเยาว์

[แก้]

เมื่อมาเลอร์อายุหนึ่งขวบ ครอบครัวย้ายไปอยู่ในเมืองอีเกลา (Iglau)[1] ซึ่งเป็นเมืองที่ใหญ่กว่า ควบคู่กับการเติบโตในครอบครัวที่มีความเข้มงวดทางศาสนาและมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย มาเลอร์เริ่มสนใจดนตรีตั้งแต่ยังเด็ก และได้รับการสนับสนุนจากพ่อให้เรียนดนตรี แม้สภาพครอบครัวจะไม่ได้ร่ำรวยมาก แต่พ่อของเด็กชายมาเลอร์เล็งเห็นถึงพรสวรรค์ด้านดนตรีของลูกชาย เขาเริ่มเรียนเปียโนตั้งแต่อายุเพียงสี่ขวบ[2] และเริ่มแสดงดนตรีครั้งแรกที่โรงละครประจำเมืองเมื่ออายุได้สิบขวบ[3] พรสวรรค์ของเขาโดดเด่นจนทำให้ครอบครัวพาเขาไปยังกรุงเวียนนาเพื่อให้ได้ศึกษาในสถาบันที่ดีขึ้น

นอกจากการเรียนดนตรีแล้ว เด็กชายมาเลอร์ยังมีความสนใจในวรรณกรรมและปรัชญา ซึ่งเป็นสิ่งที่มีผลต่อแนวคิดและการสร้างสรรค์ดนตรีของเขาในเวลาต่อมา เขาชื่นชอบการอ่านวรรณกรรมของโยฮัน ว็อล์ฟกัง ฟ็อน เกอเทอ และฟรีดริช นีทเชอ แนวคิดทางวรรณกรรมและปรัชญาเหล่านี้ปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหาดนตรีที่ลึกซึ้งและสื่อถึงความหมายทางจิตวิญญาณในผลงานของมาเลอร์

ศึกษาที่เวียนนา

[แก้]

หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยคีตกรรมและศิลปกรรมการแสดงแห่งเวียนนา หนึ่งในสถาบันดนตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุโรปในขณะนั้น เขาเรียนเปียโนกับยูลิอุส เอ็พชไตน์ (Julius Epstein) และเรียนทฤษฎีดนตรีกับโรแบร์ท ฟุชส์ (Robert Fuchs) และฟรันซ์ เคร็น (Franz Krenn) ที่นี่ มาเลอร์ได้พัฒนาทักษะการประพันธ์เพลงและการแสดงดนตรีอย่างลึกซึ้ง รวมถึงได้สร้างเครือข่ายกับเพื่อนนักดนตรีและคีตกวีที่มีชื่อเสียงในวงการ

มาเลอร์เริ่มต้นอาชีพในฐานะวาทยกรในโรงละครโอเปราขนาดเล็ก เขาทำงานในหลายเมืองทั่วจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี เช่น บาทฮัล (Bad Hall), ลุบลิยานา (Ljubljana) และโอลมุทซ์ (Olomouc) ช่วงนี้เขาฝึกฝนทักษะการควบคุมวงและพัฒนาความสามารถในการจัดการกับคณะนักดนตรีและนักร้อง โดยเขามีความสามารถพิเศษในการทำให้วงดนตรีบรรเพลงด้วยพลังและความรู้สึกลึกซึ้ง มาเลอร์เริ่มมีชื่อเสียงเมื่อเขาได้รับตำแหน่งวาทยกรที่โรงโอเปราในเมืองคัสเซิล (Kassel) ในปี 1883 ที่นี่เขากำกับโอเปราจนมีชื่อเสียง และแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการตีความดนตรีที่ลึกซึ้งและความเป็นมืออาชีพในการจัดการวงดนตรี

ฮัมบวร์คและบูดาเปสต์

[แก้]
มาเลอร์ในปี 1892

ในปี 1888 มาเลอร์ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการดนตรีที่ราชอุปรากรฮังการีในบูดาเปสต์ เขาทำงานที่นี่เป็นเวลาไม่นานแต่ได้แสดงความสามารถในการจัดการกับผลงานที่ท้าทาย ในช่วงนี้เขาได้มีโอกาสควบคุมผลงานที่ยิ่งใหญ่ของริชชาร์ท วากเนอร์ และเป็นที่ยอมรับในวงการว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในดนตรีของวากเนอร์ ต่อมาในปี 1891 มาเลอร์ย้ายไปทำงานที่หออุปรากรรัฐฮัมบวร์ค ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาได้แสดงศักยภาพอย่างเต็มที่ในฐานะวาทยกรที่มีความสามารถสูง เขามีโอกาสควบคุมการแสดงผลงานดนตรีโอเปราหลายชิ้นที่มีความสำคัญ เช่น ผลงานของโมทซาร์ท เบทโฮเฟิน และวากเนอร์ ซึ่งที่ฮัมบวร์ค มาเลอร์ได้รับการยกย่องอย่างสูงจากผู้ฟังและนักวิจารณ์ เขากลายเป็นบุคคลสำคัญในวงการดนตรีเยอรมัน

คืนสู่เวียนนา

[แก้]

จุดสูงสุดในอาชีพของมาเลอร์เริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการดนตรีของ Vienna Court Opera ในปี 1897 ตำแหน่งนี้ถือเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติอย่างยิ่งในวงการดนตรีโลก ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในอาชีพของเขาในฐานะวาทยกร ด้วยการควบคุมที่เข้มงวดและการเน้นคุณภาพ ทำให้โรงอุปรากรแห่งนี้กลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางดนตรีที่สำคัญที่สุดในยุโรป แม้ว่าผลงานของมาเลอร์จะได้รับการยอมรับในเวียนนา แต่เขาก็เผชิญกับอุปสรรคทางการเมืองและสังคม โดยเฉพาะความเป็นชาวยิวของเขา ซึ่งทำให้เขาได้รับแรงกดดันจากสังคมออสเตรียที่ยังคงมีการต่อต้านชาวยิวอย่างแพร่หลาย

สหรัฐอเมริกา

[แก้]

ในปี 1908 มาเลอร์ตัดสินใจย้ายไปทำงานในสหรัฐอเมริกา โดยเขาได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการดนตรีที่ Metropolitan Opera ในนครนิวยอร์ก การมาถึงของมาเลอร์ในอเมริกาทำให้วงการดนตรีคลาสสิกของอเมริกาก้าวหน้าอย่างมาก เพราะเขานำประสบการณ์การทำงานในยุโรปที่ยิ่งใหญ่มารวมกับความตั้งใจในการยกระดับมาตรฐานการแสดง หนึ่งในผลงานที่สำคัญของมาเลอร์ในอเมริกาคือการเป็นวาทยกรประจำนิวยอร์กฟิลฮาร์มอนิกในปี 1909 ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในการทำให้วงนี้เติบโตและพัฒนาขึ้น มาเลอร์นำเสนองานดนตรีร่วมสมัยและงานจากคีตกวีชั้นนำของยุโรป ทำให้วงการดนตรีอเมริกันได้สัมผัสกับผลงานที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น

แม้ว่าการทำงานในสหรัฐอเมริกาจะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันกลับเต็มไปด้วยความกดดันทางสุขภาพและจิตใจ เขาต้องเผชิญกับความเหนื่อยล้าจากการทำงานและอาการป่วยที่ทรุดลง ในปี 1911 มาเลอร์ตัดสินใจเดินทางกลับยุโรปด้วยอาการป่วยหนักและเสียชีวิตในปีนั้นเอง

ผลงานสำคัญ

[แก้]

ซิมโฟนี (Symphony)

[แก้]

ผลงานที่สำคัญและทรงอิทธิพลของมาเลอร์คือซิมโฟนี ซึ่งเขาเขียนทั้งหมด 9 บทเต็มและบทที่ 10 ที่ยังไม่สมบูรณ์ ซิมโฟนีเหล่านี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานดนตรีที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก มาเลอร์มักจะผสมผสานเสียงเครื่องดนตรีขนาดใหญ่และโครงสร้างดนตรีที่ซับซ้อนเข้ากับท่วงทำนองที่แสดงความรู้สึกทางจิตวิญญาณและการเผชิญหน้ากับชีวิตและความตาย

  • ซิมโฟนีหมายเลข 1 หรือรู้จักในชื่อ Titan (ไททัน) เป็นซิมโฟนีที่เขียนในช่วงต้นของชีวิต สะท้อนความสดใสและชีวิตชีวา แต่ยังมีท่อนที่ลึกซึ้งและโศกเศร้า ซึ่งสะท้อนถึงอิทธิพลของดนตรีพื้นบ้าน
  • ซิมโฟนีหมายเลข 2 หรือรู้จักในชื่อ Auferstehung (การคืนชีพ) เป็นหนึ่งในซิมโฟนีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมาเลอร์ สะท้อนถึงการดิ้นรนของมนุษย์และการแสวงหาความหมายของชีวิตผ่านทางความตายไปสู่การคืนชีพ
  • ซิมโฟนีหมายเลข 5 เป็นอีกบทที่มีชื่อเสียง ซิมโฟนีนี้ประกอบด้วยท่อนเพลงที่มีความหลากหลายทั้งในแง่ของอารมณ์และรูปแบบ โดยเฉพาะท่อน Adagietto ซึ่งเป็นท่อนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของมาเลอร์ และมักถูกใช้ในภาพยนตร์
  • ซิมโฟนีหมายเลข 9 เป็นผลงานชิ้นสุดท้ายที่มาห์เลอร์เขียนจบ ซิมโฟนีชิ้นยี้แสดงถึงการอำลาอย่างลึกซึ้ง เป็นเหมือนการพิจารณาชีวิตที่ผ่านพ้นไป และการเตรียมพร้อมสำหรับความตาย

เพลงขับร้อง (Lieder)

[แก้]

นอกจากซิมโฟนี มาห์เลอร์ยังเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ประพันธ์เพลงขับร้อง เขาได้เขียนเพลงชุดสำหรับขับร้องหลายชุดที่มักมีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิต ความตาย ความรัก และความสูญเสีย ผลงานเหล่านี้มักสะท้อนถึงประสบการณ์ส่วนตัวของมาเลอร์ โดยเฉพาะความรู้สึกเกี่ยวกับความสูญเสียที่เขาเผชิญในชีวิต

  • "Das Lied von der Erde" ("ลำนำจากธรณี") เป็นเพลงขับร้องที่ผสมผสานระหว่างซิมโฟนีและเพลงขับร้อง เนื้อเพลงนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากบทกวีจีนโบราณ และแสดงถึงความไม่เที่ยงของชีวิตและความงดงามที่สลายไป
  • "Kindertotenlieder" ("ลำนำทารก") เป็นชุดเพลงที่เขียนขึ้นจากบทกวีของฟรีดริช รึคแอร์ท (Friedrich Rückert) สะท้อนถึงความเจ็บปวดและความทุกข์จากการสูญเสียบุตร และสะท้อนความเศร้าของมาเลอร์ในฐานะบิดา

อ้างอิง

[แก้]
  1. Franklin, (1. Background, childhood education 1860–80)
  2. Blaukopf, pp. 20–22
  3. Sadie, p. 505