ประเทศอิรัก
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
สาธารณรัฐอิรัก | |
---|---|
เมืองหลวง และเมืองใหญ่สุด | แบกแดด 33°20′N 44°23′E / 33.333°N 44.383°E |
ภาษาราชการ | |
| |
กลุ่มชาติพันธุ์ | |
ศาสนา | |
เดมะนิม | ชาวอิรัก |
การปกครอง | สหพันธ์ ระบบรัฐสภา สาธารณรัฐรัฐธรรมนูญ |
อับดุลละฏีฟ เราะชีด | |
มุฮัมมัด ชิยาอ์ อัสซูดานี | |
มุฮัมมัด อัลฮัลบูซี | |
มิดฮัต อัลมะห์มูด | |
สภานิติบัญญัติ | สภาผู้แทนราษฎร |
ก่อตั้ง | |
3 ตุลาคม ค.ศ. 1932 | |
14 กรกฎาคม ค.ศ. 1958 | |
15 ตุลาคม ค.ศ. 2005 | |
พื้นที่ | |
• รวม | 438,317 ตารางกิโลเมตร (169,235 ตารางไมล์) (อันดับที่ 58) |
4.62 (ใน ค.ศ. 2015)[4] | |
ประชากร | |
• ค.ศ. 2020 ประมาณ | 40,222,503[5] (อันดับที่ 36) |
82.7 ต่อตารางกิโลเมตร (214.2 ต่อตารางไมล์) (อันดับที่ 125) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | ค.ศ. 2020 (ประมาณ) |
• รวม | 399.400 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[6] (46) |
• ต่อหัว | 10,175 ดอลลาร์สหรัฐ[7] (อันดับที่ 111) |
จีดีพี (ราคาตลาด) | ค.ศ. 2019 (ประมาณ) |
• รวม | 250.070 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[8] (อันดับที่ 48) |
• ต่อหัว | 4,474 ดอลลาร์สหรัฐ[8] (อันดับที่ 97) |
จีนี (ค.ศ. 2012) | 29.5[9] ต่ำ |
เอชดีไอ (ค.ศ. 2019) | 0.674[10] ปานกลาง · อันดับที่ 123 |
สกุลเงิน | ดีนาร์อิรัก (IQD) |
เขตเวลา | UTC+3 (AST) |
ขับรถด้าน | ขวา |
รหัสโทรศัพท์ | +964 |
โดเมนบนสุด | .iq |
|
ประเทศอิรัก (อังกฤษ: Iraq; อาหรับ: الْعِرَاق, อักษรโรมัน: al-ʿIrāq; เคิร์ด: عێراق, อักษรโรมัน: Êraq) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐอิรัก (อังกฤษ: Republic of Iraq; อาหรับ: جُمْهُورِيَّة ٱلْعِرَاق ; เคิร์ด: کۆماری عێراق, อักษรโรมัน: Komarî Êraq) มีพรมแดนทางทิศเหนือติดประเทศตุรกี, ทิศใต้ติดซาอุดีอาระเบีย, ทิศตะวันออกติดอิหร่าน และเชื่อมกับอ่าวเปอร์เซียและประเทศคูเวตทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และยังมีพรมแดนติดกับจอร์แดนทางตะวันตกเฉียงใต้ และติดซีเรียทางทิศตะวันตก มีประชากรราว 46 ล้านคนซึ่งมากเป็นอันดับที่ 35 ของโลก อิรักแบ่งการปกครองออกเป็น 18 เขตผู้ว่าการ เมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดคือแบกแดด อิรักเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและชีวภาพสูง ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม โดยมีเชื้อสายซุนนีย์, ชีอะฮ์และเคิร์ด ตามมาด้วย คริสต์ศาสนิกชน, ศาสนาโซโรอัสเตอร์, ศาสนามันดาอี และ ศาสนายูดาห์[11][12] อิรักยังเต็มไปด้วยกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ได้แก่ ชาวเคิร์ด, ชาวอิรักเชื้อสายเติร์กเมน, ชาวยาซิดี, ชาวอัสซีเรีย, ชาวเปอร์เซีย, ชาวแมนเดียน และ อัชชะบัก ภาษาราชการคือภาษาอาหรับ และภาษาเคิร์ด โดยมีการใช้ภาษาถิ่นบ้างในบางภูมิภาค เช่น ภาษาแอราเมอิกใหม่อัสซีเรีย, ภาษาอาร์มีเนีย และภาษาเติร์กเมนอิรัก
ดินแดนของอิรักเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดของอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดของโลก เริ่มต้นตั้งแต่สหัสวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช ที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์ระหว่างแม่น้ำไทกริสและแม่น้ำยูเฟรทีสของอิรัก เป็นที่รู้จักในชื่อภูมิภาคเมโสโปเตเมีย บริเวณนี้เป็นต้นกำเนิดของสังคมเมือง ตลอดจนอารยธรรมโบราณและจักรวรรดิที่แรก ๆ ของโลก ได้รับการขนานนามให้เป็น "แหล่งกำเนิดอารยธรรมโลก" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการประดิษฐ์ระบบการเขียน, คณิตศาสตร์, การสร้างอุปกรณ์บอกเวลา, การทำปฏิทิน, การศึกษาดาราศาสตร์ และริเริ่มประมวลกฎหมายอูร์-นัมมู ภายหลังการพิชิตจักรวรรดิเปอร์เซียโดยมุสลิม ดินแดนของกรุงแบกแดดในปัจจุบันกลายเป็นศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดของรัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์ ในช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นยุคทองของอิสลาม เมืองนี้พัฒนาจนเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่สำคัญ และได้รับชื่อเสียงไปทั่วโลกในด้านการศึกษา ได้รับการขนานนามในฐานะ "ศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้" [13] ก่อนที่จะถูกทำลายอย่างย่อยยับโดยจักรวรรดิมองโกลในต้นศตวรรษที่ 13 (ค.ศ. 1258) จากเหตุการณ์การล้อมกรุงแบกแดด นอกจากนี้ ผลกระทบจากโรคระบาดและความไม่มั่นคงทางการปกครองโดยจักรวรรดิต่าง ๆ ส่งผลให้ดินแดนทั้งหมดพบกับความเสื่่อมถอยซึ่งกินเวลาไปอีกหลายศตวรรษ[14][15][16]
อิรักยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมันจนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก่อนจะกลายสภาพเป็นรัฐในอาณัติของสหราชอาณาจักร เมื่อ ค.ศ. 1921 และได้รับเอกราชในฐานะราชอาณาจักรอิรัก สถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ค.ศ. 1922 ภายหลังที่จักรวรรดิออตโตมันพ่ายในการทัพเมโสโปเตเมียในสงครามโลก ต่อมา อิรักกลายสภาพเป็นสาธารณรัฐใน ค.ศ. 1958 โดยอับดุลกะรีม กอซิม ตามด้วยการปกครองโดยผู้นำคนต่อมาอย่าง อับดุล ซาลาม อารีฟ และอับดุล ราห์แมน อารีฟ ตามลำดับ การฏิวัติใน ค.ศ. 1968 เป็นจุดเริ่มต้นของการครองอำนาจโดยพรรคบะอษ์ ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มลัทธินิยมรวมชาติอาหรับโดยไม่อ้างอิงกับศาสนา นำโดยอาห์เหม็ด ฮัสซัน อัล-บักร์ ตามมาด้วยการเถลิงอำนาจของซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งเป็นผู้นำประเทศตั้งแต่ ค.ศ. 1979 ยาวนานถึง ค.ศ. 2003 มีส่วนสำคัญในการนำประเทศเข้าสู่สงครามความขัดแย้งหลายครั้ง รวมถึงสงครามอ่าว และสงครามอิรัก–อิหร่าน ในยุคของซัดดัม ประเทศต้องเผชิญความท้าทายสำคัญหลายครั้ง อิรักได้รับการวิจารณ์จากนานาชาติในด้านสิทธิมนุษยชน และการกดขี่ประชาชนซึ่งเห็นต่างทางการเมือง การบุกครองอิรักอุบัติขึ้นใน ค.ศ. 2003 จากกองกำลังผสมนำโดยสหรัฐ มีจุดประสงค์เพื่อล้มล้างการปกครองของซัดดัม และความพยายามสร้างประเทศขึ้นมาใหม่ เป็นชนวนไปสู่สงครามอิรักซึ่งกินเวลาเกือบหนึ่งทศวรรษ สงครามยุติลงสิ้นเชิงจากการถอนกำลังทหารของสหรัฐใน ค.ศ. 2011 อย่างไรก็ตาม การเรืองอำนาจและการล่มสลายของรัฐอิสลามส่งผลให้อิรักเข้าสู่ภาวะสงครามอีกครั้งในช่วงระหว่าง ค.ศ. 2013 ถึง 2017 ปัจจุบัน อิรักยังเผชิญปัญหาความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำแม้สงครามจะยุติลงในทางพฤตินัย อันเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาประเทศ[17]
อิรักมีการปกครองแบบสหพันธ์สาธารณรัฐด้วยระบบรัฐสภา เป็นประเทศอำนาจปลานกลาง และเป็นสมาชิกผู้ร่วมก่อตั้งสหประชาชาติ, โอเปก, สันนิบาตอาหรับ, องค์การความร่วมมืออิสลาม, ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และด้วยทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมในภูมิภาค ส่งผลให้อิรักมีทรัพยากรสำคัญจำนวนมาก โดยมีแหล่งน้ำมันสำรองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นหนึ่งในศูนย์กลางของอุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊สธรรมชาติของโลก อิรักยังมีจุดเด่นในด้านเกษตรกรรม และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และนับตั้งแต่ได้รับการประกาศเอกราช อิรักมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจและการทหารมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ปัจจุบันประเทศอิรักอยู่ระหว่างการพัฒนา และสร้างเมืองขึ้นใหม่หลังได้รับผลกระทบจากสงคราม โดยได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ[18][19]
ภูมิศาสตร์
แก้อิรักมีพื้นที่ทั้งหมด 437,072 ตารางกิโลเมตร ทิศตะวันออกติดกับ อิหร่าน ทิศเหนือ ติดกับตุรกี ทิศใต้ติดกับคูเวต ทิศตะวันตกติดกับ ซีเรีย และจอร์แดน สภาพทางภูมิศาสตร์ของอิรัก เป็นทะเลทรายร้อยละ 40 ที่ราบสูง ยากแต่การทำการเกษตรทำให้อิรักต้องนำเข้าสินค้าภาคการเกษตรเช่น ข้าวสาลี ข้าวจ้าว ธัญพืช แต่อย่างไรก็ดี อิรักก็มีแม่น้ำไหลผ่าน 2 สาย คือ แม่น้ำไทกริส และแม่น้ำยูเฟรทีส ทำให้ยังพอมีความอุดมสมบูรณ์อยู่บ้าง
ประวัติศาสตร์
แก้รัฐในอาณัติ และ ราชอาณาจักร
แก้ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลงอาณาจักรออตโตมันที่เคยเป็นมหาอำนาจในตะวันออกกลางตกเป็นผู้แพ้สงคราม ดินแดนต่าง ๆ ที่ออตโตมันปกครองก็ถูกแบ่งแยกออกเป็นรัฐต่าง ๆ อิรักเป็นหนึ่งในรัฐที่ถูกแบ่งแยกออกมาโดยอังกฤษที่สามารถยึดครองอิรักจากออตโตมันได้ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1
อังกฤษได้เข้ามาปกครองอิรัก ในฐานะรัฐอารักขาตั้งแต่ ค.ศ. 1920 จนกระทั่งใน ค.ศ. 1932 อังกฤษได้ให้เอกราชแก่อิรักโดยมีราชวงศ์ฮัชไมต์ปกครองประเทศอิรัก
สาธารณรัฐ และ พรรคบะอษ์
แก้ในปี 1958 เกิดการรัฐประหารที่เรียกว่าการปฏิวัติ 14 กรกฎาคม นำโดยนายพลอับด์ อัล-คาริม กาซิม การก่อจลาจลครั้งนี้เป็นการต่อต้านจักรวรรดินิยมและต่อต้านสถาบันกษัตริย์อย่างรุนแรง และมีองค์ประกอบสังคมนิยมที่เข้มแข็ง ทำให้กษัตริย์ฟัยศ็อลที่ 2 เจ้าชายอับดุลอิลาห์ และนูริ อัล-ซาอิด ถูกปลงพระชนม์[20]กาซิมควบคุมอิรักผ่านการปกครองของทหาร และในปี 1958 เขาเริ่มกระบวนการบังคับลดที่ดินส่วนเกินที่มีพลเมืองเพียงไม่กี่คนเป็นเจ้าของ และให้รัฐจัดสรรที่ดินใหม่ เขาถูกโค่นล้มโดยพันเอกอับดุล สลาม อารีฟ ในการรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1963 หลังจากการเสียชีวิตของฝ่ายหลังในปี 1966 อับดุลเราะห์มาน อารีฟ น้องชายของเขาสืบต่อจากเขา ซึ่งถูกพรรคบะอัธล้มล้างในปี 1968[21][22]
อาห์เหม็ด ฮัสซัน อัล-บักร์ กลายเป็นประธานาธิบดีจากพรรคบะอษ์คนแรกของอิรัก แต่แล้วการเคลื่อนไหวก็ค่อยๆ เข้ามาอยู่ภายใต้การควบคุมของซัดดัม ฮุสเซน ซึ่งขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีและการควบคุมของสภาบัญชาการการปฏิวัติ (RCC) ซึ่งในขณะนั้นเป็นองค์กรบริหารสูงสุดของอิรัก กรกฎาคม 1979.
หลังจากการโจมตีข้ามพรมแดนกับอิหร่านเป็นเวลาหลายเดือน ซัดดัมได้ประกาศสงครามกับอิหร่านในเดือนกันยายน 1980 ทำให้เกิดสงครามอิรัก–อิหร่าน โดยใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายหลังการปฏิวัติอิหร่านในอิหร่าน อิรักยึดดินแดนบางส่วนทางตะวันตกเฉียงใต้ของอิหร่านได้ แต่อิหร่านยึดคืนดินแดนที่สูญเสียไปทั้งหมดได้ภายในสองปี และอีกหกปีถัดมา อิหร่านก็เป็นฝ่ายรุก[23] [24]ในช่วงสงคราม ซัดดัม ฮุสเซนใช้อาวุธเคมีโจมตีชาวอิหร่านอย่างกว้างขวาง[25] ในช่วงสุดท้ายของสงครามอิรัก–อิหร่าน รัฐบาลอิรักของพรรคบะอษ์ ได้เป็นผู้นำการรณรงค์ Al-Anfal ซึ่งเป็นการรณรงค์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่มุ่งเป้าไปที่ชาวเคิร์ดในอิรัก[26] [27][28][29] และนำไปสู่การสังหารพลเรือน 50,000–100,000 คน[30]
เนื่องจากอิรักไม่สามารถจ่ายเงินให้กับคูเวตได้มากกว่า 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ยืมมาเพื่อใช้สนับสนุนสงครามอิรัก-อิหร่าน และการเพิ่มขึ้นของระดับการผลิตปิโตรเลียมของคูเวตซึ่งทำให้รายได้ลดลง อิรักตีความการที่คูเวตปฏิเสธที่จะลดการผลิตน้ำมันถือเป็นการกระทำที่ก้าวร้าว[31] ในเดือนสิงหาคม 1990 อิรักรุกรานและผนวกคูเวต สิ่งนี้นำไปสู่การแทรกแซงทางทหารโดยกองกำลังที่นำโดยสหรัฐอเมริกาในสงครามอ่าวครั้งแรก กองกำลังพันธมิตรดำเนินการปฏิบัติการทิ้งระเบิดโดยมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหาร[32][33]จากนั้นจึงทำการโจมตีภาคพื้นดินต่อกองกำลังอิรักทางตอนใต้ของอิรักและคูเวตเป็นเวลา 100 ชั่วโมง
กองทัพอิรักได้รับความเสียหายในช่วงสงคราม ไม่นานหลังจากเหตุการณ์สิ้นสุดลงในปี 1991 ชาวอิรักและชาวเคิร์ดได้นำการลุกฮือหลายครั้งเพื่อต่อต้านระบอบการปกครองของซัดดัม ฮุสเซน แต่ถูกปราบปราม คาดว่ามีผู้เสียชีวิตมากถึง 100,000 คน รวมทั้งพลเรือนจำนวนมาก[34] ในระหว่างการลุกฮือ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และตุรกี โดยอ้างอำนาจภายใต้ UNSCR 688 ได้จัดตั้งเขตห้ามบินของอิรักขึ้นเพื่อปกป้องประชากรชาวเคิร์ดจากการโจมตี
อิรักได้รับคำสั่งให้ทำลายอาวุธเคมีและชีวภาพของตน และสหประชาชาติพยายามบังคับให้รัฐบาลของซัดดัมปลดอาวุธและตกลงหยุดยิง ความล้มเหลวของรัฐบาลอิรักในการปลดอาวุธและตกลงหยุดยิงส่งผลให้เกิดการคว่ำบาตรซึ่งยังคงมีอยู่จนถึงปี 2003 ผลกระทบของการคว่ำบาตรต่อประชากรพลเรือนในอิรักยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่[35][36] ในขณะที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าการคว่ำบาตรทำให้การเสียชีวิตของเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมาก การวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้แสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่อ้างถึงโดยทั่วไปนั้นถูกสร้างขึ้นมา และ "ไม่มีการเสียชีวิตของเด็กเพิ่มขึ้นอย่างมากในอิรัก"[37][38][39]โครงการน้ำมันสำหรับอาหารก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1996 เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการคว่ำบาตร
สหรัฐอเมริกาเข้ายึดอิรัก
แก้เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2003 กลุ่มพันธมิตรที่จัดตั้งโดยสหรัฐฯ ได้บุกอิรัก โดยอ้างว่าอิรักล้มเหลวที่จะละทิ้งโครงการอาวุธทำลายล้างสูง การกล่าวอ้างนี้อิงตามเอกสารที่ซีไอเอและรัฐบาลอังกฤษมอบให้ ซึ่งต่อมาพบว่าไม่น่าเชื่อถือ[40][41][42] มีข้อถกเถียงกันอยู่ว่าแท้จริงแล้วสหรัฐฯ กำลังดำเนินการตามวัตถุประสงค์ระดับชาติเพื่อขยายขอบเขตอำนาจของตน[43]
หลังจากการรุกราน สหรัฐฯ ได้จัดตั้งกองกำลังผสมชั่วคราวขึ้นเพื่อปกครองอิรัก ในเดือนพฤษภาคม 2003 แอล. พอล เบรเมอร์ ผู้บริหารระดับสูงของ CPA ได้ออกคำสั่งให้แยกสมาชิกพรรคบะอษ์ออกจากรัฐบาลอิรักชุดใหม่ (คำสั่ง CPA 1) และให้ยุบกองทัพอิรัก (คำสั่ง CPA 2)[44]การตัดสินใจดังกล่าวได้สลายกองทัพอิรักนิกายซุนนีซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวซุนนี และไม่รวมอดีตเจ้าหน้าที่รัฐบาลของประเทศจำนวนมาก[45]รวมทั้งครูโรงเรียน 40,000 คนที่เข้าร่วมพรรคบะอษ์เพียงเพื่อรักษางานไว้[46] ช่วยทำให้เกิดสภาพแวดล้อมหลังการรุกรานที่วุ่นวาย[47]
การก่อความไม่สงบต่อการปกครองอิรักโดยพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯ เริ่มขึ้นในฤดูร้อนปี 2003 ในส่วนของอดีตตำรวจและกองทัพลับของอิรัก ซึ่งก่อตั้งหน่วยรบแบบกองโจร ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2003 กลุ่ม 'ญิฮาด' เริ่มมุ่งเป้าไปที่กองกำลังพันธมิตร กองกำลังติดอาวุธซุนนีต่างๆ ถูกสร้างขึ้นในปี 2003 ตัวอย่างเช่น Jama'at al-Tawhid wal-Jihad ที่นำโดย อบู มูซาบ อัล-ซาร์กาวี การก่อความไม่สงบดังกล่าวรวมถึงความรุนแรงระหว่างชาติพันธุ์ที่รุนแรงระหว่างชาวซุนนีและชีอะห์[48]
กองทัพมะห์ดี ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธชีอะฮ์ที่ก่อตั้งขึ้นในฤดูร้อนปี 2003 โดยมุคตาดา อัล-ซาดร์ ได้เริ่มต่อสู้กับกองกำลังพันธมิตรในเดือนเมษายน 2004[49]และกลุ่มติดอาวุธซุนนีและชีอะห์ต่อสู้กันเอง และต่อต้านรัฐบาลชั่วคราวของอิรักชุดใหม่และต่อต้านกองกำลังพันธมิตร รวมถึงการสู้รบที่ฟัลลูจาห์ครั้งแรกในเดือนเมษายน และการสู้รบที่ฟัลลูจาห์ครั้งที่สองในเดือนพฤศจิกายน กองทัพมาห์ดีจะลักพาตัวพลเรือนชาวซุนนีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์[50]
ในเดือนมกราคม 2005 มีการเลือกตั้งครั้งแรกนับตั้งแต่การรุกรานเกิดขึ้น และในเดือนตุลาคม 2005 ได้มีการอนุมัติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่,[1] ซึ่งตามมาด้วยการเลือกตั้งรัฐสภาในเดือนธันวาคม อย่างไรก็ตาม การโจมตีของผู้ก่อความไม่สงบเพิ่มขึ้นเป็น 34,131 ครั้งในปี 2005 จาก 26,496 ครั้งในปี 2004[51]
การเมืองการปกครอง
แก้การแบ่งเขตการปกครอง
แก้ประเทศอิรักแบ่งออกเป็น 19 เขตผู้ว่าการ (อาหรับ: muhafazat, เคิร์ด: Pârizgah) ได้แก่
- ดะฮูก
- นิเนเวห์/นีนะวา
- อัรบีล
- คีร์คูก
- อัสซุลัยมานียะฮ์
- เศาะลาฮุดดีน
- อัลอันบาร
- แบกแดด/บัฆดาด
- ดิยาลา
- กัรบะลาอ์
- บาบิโลน/บาบิล
- วาซิฏ
- นาจาฟ/อันนัจญัฟ
- อัลกอดิซียะฮ์
- มัยซาน
- อัลมุษันนา
- ษีกอร
- บัสรา/อัลบัศเราะฮ์
- ฮะลับญะฮ์ (ไม่แสดงในแผนที่ อยู่ทางด้านตะวันออกของเขตผู้ว่าการอัสซุลัยมานียะฮ์หรือหมายเลข 5)
เขตปกครองตนเองเคอร์ดิสถาน (Kurdistan Autonomous Region) ซึ่งได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญ มีพื้นที่รวมบางส่วนของเขตผู้ว่าการทางเหนือ และปกครองตนเองในเรื่องราชการภายในส่วนใหญ่
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
แก้อิรักมีฐานะเป็นสมาชิกของสหประชาชาติ, สันนิบาตอาหรับ และองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ มีนโยบายต่างประเทศที่แตกต่างกันภายใต้ระบอบการปกครองต่างๆ ก่อนหน้านี้ ภายใต้การปกครองแบบราชาธิปไตย อิรักอิงนโยบายการต่างประเทศตามชาติตะวันตก และเป็นส่วนหนึ่งขององค์การสนธิสัญญากลางซึ่งเป็นพันธมิตรต่อต้านสหภาพโซเวียตในช่วงสงครามเย็น[52] อย่างไรก็ตาม ในช่วงการปกครองของอับดุลกะรีม กอซิม อิรักถอนตัวออกจากข้อตกลงและสร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับกลุ่มตะวันออก เขายังอ้างกรรมสิทธิ์ในการครอบครองคูเวตในฐานะส่วนหนึ่งของอิรัก[53] ในขณะที่ผู้นำคนต่อมายอมรับการคงเอกราชของคูเวต ภายใต้การนำของซัดดัม ฮุสเซน อิรักยังคงรักษาความสัมพันธ์กับประเทศที่่ฝักใฝ่สหภาพโซเวียต อิรักยังให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เวียดนามเหนือในช่วงสงครามเวียดนาม รวมทั้งความช่วยเหลือในการบูรณะประเทศหลังสงคราม ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่แม้แต่ฝ่ายตรงข้ามยังให้ความเคารพ มหาอำนาจบางประเทศ เช่น ฝรั่งเศส, รัสเซีย และจีน ประณามการรุกรานอิรักสหรัฐอย่างรุนแรง
หลังจากสงครามอิรักสิ้นสุดลง อิรักได้แสวงหาและเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาค และพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ[54] เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 อิรักได้เข้าเป็นภาคีลำดับที่ 186 ของอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี และอิรักกลายเป็นผู้มีสิทธิ์อันชอบธรรมในการถือครองคลังอาวุธเคมีตามบทบัญญัติสนธิสัญญานี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการลงนามร่วมช้า อิรักจึงเป็นรัฐภาคีแห่งเดียวที่ได้รับการยกเว้นจากกรอบเวลาสำหรับการทำลายอาวุธเคมี เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง อิรักก็กลับมาติดต่อกับเพื่อนบ้านอาหรับอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็รักษาความสัมพันธ์กับอิหร่าน เพื่อพยายามวางตำแหน่งอิรักให้เป็นประเทศที่ไม่ทำให้ความกังวลด้านความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านเลวร้ายลง และแสวงหาสมดุลที่เป็นรูปธรรมในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ[55]
ความสัมพันธ์กับอิหร่านแน่นแฟ้นมาตั้งแต่ปี 2005 โดยมีการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงหลายครั้ง ก่อนที่ความขัดแย้งจะเริ่มอุบัติขึ้นใน ค.ศ. 2009 โดยอิรักกล่าวหาว่าอิหร่านยึดแหล่งน้ำมันบริเวณชายแดน ในขณะที่ความสัมพันธฺกับตุรกีเป็นไปด้วยความตึงเครียดโดยความไม่ลงรอยระหว่างพรรคแรงงานเคอร์ดิสถานและรัฐบาลตุรกียังดำเนินต่อไป[56] อิรักพยายามเสริมสร้างความสัมพันธ์กับประเทศสมาชิกสภาความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับอีกด้วย ในขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิรักและคูเวตประกาศว่าพวกเขากำลังดำเนินการจัดทำข้อตกลงขั้นสุดท้ายว่าด้วยการกำหนดเขตแดน[57][58]
เมื่อวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 2020 รัฐสภาอิรักลงมติเห็นชอบมติซึางกระตุ้นให้รัฐบาลดำเนินการขับไล่ทหารสหรัฐออกจากอิรัก[59] มติดังกล่าวได้รับความเห็นชอบสองวันหลังจากเหตุโจมตีทางอากาศที่ท่าอากาศยานนานาชาติแบกแดด มติฉบับนี้ยังถือเป็นการยุติข้อตกลงร่วมกับสหรัฐในการประจำการทหารในอิรัก เนื่องจากอิหร่านให้คำมั่นว่าจะตอบโต้หลังเกิดเหตุสังหารดังกล่าว[60]
แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองหลายครั้ง แต่อิรักก็ยังคงเป็นศัตรูกับอิสราเอลอย่างเปิดเผย โดยเข้าร่วมในสงครามอาหรับ-อิสราเอลครั้งใหญ่ในปี 1948, 1967 และ 1973
กองทัพ
แก้กองกำลังรักษาความปลอดภัยของอิรักประกอบด้วย: กองกำลังที่ปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กระทรวงมหาดไทย (MOI) และกระทรวงกลาโหม (MOD) รวมถึงหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายแห่งอิรัก (CTB) ซึ่งทำหน้าที่กำกับดูแลกองกำลังปฏิบัติการพิเศษอิรัก และคณะกรรมการระดมพลประชาชน (PMC) ทั้ง CTB และ PMC ต่างก็ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีอิรัก กำลังพลซึ่งอยู่ภายใต้กระทรวงกลาโหมประกอบไปด้วยกองทัพบกอิรัก, กองทัพอากาศอิรัก, กองทัพเรืออิรัก และกองบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศแห่งอิรัก
กระทรวงกลาโหมอิรักยังเปิดวิทยาลัยเสนาธิการทหารซึ่งฝึกอบรมเจ้าหน้าที่กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ โดยได้รับการสนับสนุนจากคณะผู้แทนฝึกอบรมเนโทในอิรัก วิทยาลัยแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นที่ Ar Rustamiyah เมื่อวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 2005 สถาบันแห่งนี้เปิดสอนหลักสูตรเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการชั้นต้น และนายทหารชั้นสัญญาบัตรตั้งแต่ยศร้อยโทจนถึงพันตรี
กองกำลังติดอาวุธของอิรักในปัจจุบัน จัดตั้งขึ้นโดยอยู่บนรากฐานของกองทัพสหรัฐ และได้รับความช่วยเหลือทางกลาโหมจากสหรัฐเป็นจำนวนมากในทุกระดับ กองกำลังนี้ประกอบด้วยกองทหารราบจำนวนถึง 13 กองพล และหน่วยทหารราบติดเครื่องยนต์ 1 กองพล แต่ละกองพลประกอบด้วย 4 กองพลย่อย และประกอบด้วยทหาร 14,000 นาย ในอดีตจนถึงช่วงก่อนปี 2003 กองทัพอิรักมีอุปกรณ์ทางทหารที่สร้างโดยสหภาพโซเวียต ทว่าหลังจากนั้น อิรักก็หันไปพึ่งพาการนำเข้ายุทโธปกรณ์จากตะวันตก กองทัพอากาศอิรักได้รับการออกแบบมาเพื่อสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นดินด้วยภารกิจในการเฝ้าระวัง, ลาดตระเวน และการขนส่งทหาร กองร้อยลาดตระเวนใช้อากาศยายแบบเบา และกองร้อยขนส่งทางอากาศใช้เครื่องบินขนส่งซี-130 เฮอร์คิวลิส ในการเคลื่อนย้ายทหาร อุปกรณ์ และเสบียง ปัจจุบัน กองทัพอากาศอิรักมีกำลังพลกว่า 5,000 นาย[61]
ณ เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 กองทัพเรืออิรักมีกำลังพลประจำการประมาณ 5,000 นาย รวมถึงนาวิกโยธิน 800 นาย กองทัพเรือประกอบกองบัญชาการปฏิบัติการ ฝูงเรือลำเลียงทางยุทธศาสตร์ 5 ฝูง และกองพันนาวิกโยธิน 2 กองพัน ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อปกป้องแนวชายฝั่งและทางน้ำภายในประเทศจากการโจมตีของศัตรู
เศรษฐกิจ
แก้โครงสร้าง
แก้ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ระบอบเศรษฐกิจของอิรักเป็นแบบสังคมนิยมรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางนั่นคือรัฐบาลกลางของอิรัก มีระบบรัฐสวัสดิการมีการแจก ข้าว น้ำตาล ยารักษาโรคบางชนิด นม เสื้อผ้า ให้แก่ประชากรของอิรัก เศรษฐกิจของอิรักค่อนข้างถูกกดดันจากประชาคมโลกโดยเฉพาะในช่วงวิกฤติการณ์อ่าวเปอร์เซีย สงครามอิรัก และช่วงเหตุการณ์ 9/11 ทำให้เศรษฐกิจของอิรักบอบช้ำ แต่ยุทธปัจจัยทางเศรษฐกิจที่สำคัญของอิรักคือ น้ำมัน อิรักเป็นประเทศที่มีน้ำมันไว้ในครอบครองเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากซาอุดีอาระเบีย โดยผลิตได้วันละ 2.58 ล้านบาร์เรลต่อวัน ส่งผลให้อิรักกลายเป็นดินแดนที่น่าสนใจอย่างยิ่งโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจน้ำมันจากสหรัฐอเมริกาที่มุ่งหวังเข้าไปกอบโกยทรัพยากรล้ำค่าอย่างทองคำดำในอิรัก
ประชากรศาสตร์
แก้เชื้อชาติ
แก้สังคมของอิรักเป็นสังคมหลากหลายชาติพันธุ์ เป็นเหตุมาจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ที่เป็นแหล่งอารยธรรมมาหลายพันปี พลเมืองของอิรักที่นับถือศาสนาอิสลามนั้น ได้แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ มุสลิมชีอะห์(ร้อยละ 65) และ มุสลิมสุหนี่ (ร้อยละ 20) นอกจากนี้ยังมีชาวเคิร์ด อยู่ในบริเวณเคอร์ดิสถาน ชาวเคริ์ดในอิรักมีอยู่ประมาณ 3,700,000 คน นับว่าเป็นคนส่วนน้อยในอิรัก และเนื่องด้วยรูปแบบการปกครองที่ให้สิทธิของชนชาติอาหรับ และผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจให้กับมุสลิมสุหนี่ ส่งผลให้ กลายเป็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างศาสนา และชาติพันธุ์ในอิรัก ทั้งกับมุสลิมด้วยกันเองคือ สุหนี่และชีอะห์ และ ยังปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวคิร์ดกับรัฐบาลกลางของอิรัก เพื่อเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมอีกด้วย
ภาษา
แก้ภาษาทางการของอิรัก คือ ภาษาอาหรับ และส่วนอื่นคือ ภาษาเคิร์ด
เมืองใหญ่
แก้ศาสนา
แก้ชาวอิรักส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม 96% แบ่งเป็นนิกาย ชีอะห์ 31.5% กับ ซุนนีย์ 64.5% ลัทธิเหตุผล กับ Yazdânism 2.0% ศาสนาคริสต์ 1.2% ศาสนาอื่น ๆ 0.8%
อ้างอิง
แก้- ↑ 1.0 1.1 Iraq, Ministry of Interior – General Directorate for Nationality: Iraqi Constitution (2005)
- ↑ 2.0 2.1 "Iraq". The World Factbook.
- ↑ "Why Iraqi Turkmens are excluded from the new government".
- ↑ "Surface water and surface water change". Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD). สืบค้นเมื่อ 11 October 2020.
- ↑ "Population, total - Iraq | Data".
- ↑ "World Economic Outlook Database, October 2020". IMF.org. International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 14 March 2020.
- ↑ "World Economic Outlook Database, October 2020". IMF.org. International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 14 March 2020.
- ↑ 8.0 8.1 "World Economic Outlook Database, October 2018". IMF.org. International Monetary Fund. สืบค้นเมื่อ 7 March 2019.
- ↑ "World Bank GINI index". Data.worldbank.org. สืบค้นเมื่อ 17 August 2016.
- ↑ Human Development Report 2020 The Next Frontier: Human Development and the Anthropocene (PDF). United Nations Development Programme. 15 December 2020. pp. 343–346. ISBN 978-92-1-126442-5. สืบค้นเมื่อ 16 December 2020.
- ↑ Office, Great Britain Foreign (1958). Documents on British Foreign Policy, 1919-1939 (ภาษาอังกฤษ). H.M. Stationery Office.
- ↑ "2.15. Religious and ethnic minorities, and stateless persons | European Union Agency for Asylum". euaa.europa.eu (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Gutas, Dimitri (1998). Greek Thought, Arabic Culture: The Graeco-Arabic Translation Movement in Baghdad and Early Abbasid Society (2nd/8th–10th Centuries). London: Routledge.
- ↑ "Iraq | History, Map, Flag, Population, & Facts | Britannica". www.britannica.com (ภาษาอังกฤษ). 2024-10-24.
- ↑ Mark, Joshua J. "Mesopotamian Inventions". World History Encyclopedia (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Mark, Joshua J. "Mesopotamia". World History Encyclopedia (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ Basu, Moni (2011-12-18). "Deadly Iraq war ends with exit of last U.S. troops". CNN (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Iraq - Mountains, Deserts, Tigris | Britannica". www.britannica.com (ภาษาอังกฤษ). 2024-10-24.
- ↑ "A Balancing Act | Strategic Monitor 2018-2019". www.clingendael.org.
- ↑ Cleveland, William (2016). A History of the Modern Middle East. Boulder, CO: Westview Press.
- ↑ Polk (2005), p. 111
- ↑ Simons (1996), p. 221
- ↑ Karsh, Efraim (2002). The Iran–Iraq War, 1980–1988. Oxford, Oxfordshire: Osprey Publishing. ISBN 978-1841763712.
- ↑ Hardy, Roger (22 September 2005). "The Iran–Iraq war: 25 years on". BBC News. สืบค้นเมื่อ 19 June 2011.
- ↑ Tyler, Patrick E. "Officers Say U.S. Aided Iraq in War Despite Use of Gas" New York Times 18 August 2002.
- ↑ "The Anfal Campaign Against the Kurds A Middle East Watch Report". Human Rights Watch. 14 August 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 June 2015. สืบค้นเมื่อ 25 January 2013.
- ↑ Black, George (July 1993) [1993]. Genocide in Iraq: The Anfal Campaign against the Kurds / Western Asia Watch. New York • Washington • Los Angeles • London: Human Rights Watch. ISBN 978-1-56432-108-4. สืบค้นเมื่อ 10 February 2007.
- ↑ Hiltermann, Joost R. (February 1994) [1994]. Bureaucracy of Repression: The Iraqi Government in Its Own Words / Western Asia Watch. Human Rights Watch. ISBN 978-1-56432-127-5. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 October 2006. สืบค้นเมื่อ 10 February 2007.
- ↑ "Charges against Saddam dropped as genocide trial resumes". Agence France-Presse. 8 January 2007. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 January 2009.
- ↑ Hiltermann, J. R. (2007). A Poisonous Affair: America, Iraq, and the Gassing of Halabja. Cambridge University Press. pp. 134–135. ISBN 978-0-521-87686-5. สืบค้นเมื่อ 17 August 2016.
- ↑ Cooper, Tom; Sadik, Ahmad (6 สิงหาคม 2007). "Iraqi Invasion of Kuwait; 1990". Air Combat Information Group Journal. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 กรกฎาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 27 ตุลาคม 2016.
- ↑ Rick Atkinson (1993). Crusade: The Untold Story of the Persian Gulf War. Houghton Mifflin Harcourt. pp. 284–285. ISBN 978-0-395-71083-8. สืบค้นเมื่อ 17 August 2016.
- ↑ "The Ameriya Shelter – St. Valentine's Day Massacre". Uruknet.de. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 July 2011. สืบค้นเมื่อ 19 June 2011.
- ↑ Ian Black (22 August 2007). "'Chemical Ali'". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 19 June 2011.
- ↑ Iraq surveys show 'humanitarian emergency' เก็บถาวร 6 สิงหาคม 2009 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน UNICEF Newsline 12 August 1999
- ↑ Rubin, Michael (December 2001). "Sanctions on Iraq: A Valid Anti-American Grievance?". Middle East Review of International Affairs. 5 (4): 100–115. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 October 2012.
- ↑ Spagat, Michael (September 2010). "Truth and death in Iraq under sanctions" (PDF). Significance. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 11 July 2018. สืบค้นเมื่อ 1 April 2011.
- ↑ Dyson, Tim; Cetorelli, Valeria (1 July 2017). "Changing views on child mortality and economic sanctions in Iraq: a history of lies, damned lies and statistics". BMJ Global Health (ภาษาอังกฤษ). 2 (2): e000311. doi:10.1136/bmjgh-2017-000311. ISSN 2059-7908. PMC 5717930. PMID 29225933.
- ↑ "Saddam Hussein said sanctions killed 500,000 children. That was 'a spectacular lie.'". Washington Post. สืบค้นเมื่อ 4 August 2017.
- ↑ "Bush's "16 Words" on Iraq & Uranium: He May Have Been Wrong But He Wasn't Lying". FactCheck.org. 26 July 2004. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 March 2010.
- ↑ Borger, Julian (7 October 2004). "There were no weapons of mass destruction in Iraq". guardian.co.uk. London: Guardian Media Group. สืบค้นเมื่อ 28 April 2008.
- ↑ "John Simpson: 'The Iraq memories I can't rid myself of'". BBC News. 19 March 2013. สืบค้นเมื่อ 19 March 2013.
- ↑ Wood, Ruairidh (2019). "Promoting democracy or pursuing hegemony? An analysis of U.S. involvement in the Middle East". Journal of Global Faultlines. 6 (2): 166–167, 171–172, 174, 179. doi:10.13169/jglobfaul.6.2.0166. ISSN 2397-7825. JSTOR 10.13169/jglobfaul.6.2.0166. S2CID 216721272. สืบค้นเมื่อ 12 February 2023.
- ↑ Pfiffner, James (February 2010). "US Blunders in Iraq: De-Baathification and Disbanding the Army" (PDF). Intelligence and National Security. 25 (1): 76–85. doi:10.1080/02684521003588120. ISSN 0268-4527. S2CID 153595453. สืบค้นเมื่อ 16 December 2013.
- ↑ Gordon, Michael R. (17 March 2008). "Fateful Choice on Iraq Army Bypassed Debate". New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-03-21.
- ↑ Pfiffner, James P (February 2010). US Blunders in Iraq: De-Baathification and Disbanding the Army (PDF). Intelligence and National Security (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). Vol. 25 (1st ed.). Routledge. pp. 76–85.
- ↑ "Can the joy last?". The Economist. 3 September 2011.
- ↑ "U.S. cracks down on Iraq death squads". CNN. 24 July 2006.
- ↑ Jackson, Patrick (30 May 2007). "Who are Iraq's Mehdi Army?". BBC News. สืบค้นเมื่อ 4 March 2013.
- ↑ "Al Qaeda's hand in tipping Iraq toward civil war". Christian Science Monitor. 20 March 2006.
- ↑ Thomas Ricks (2006) Fiasco: 414
- ↑ Rawat, Yash (2022-12-30). "Reminiscing Saddam Hussein and India-Iraq Ties". The Pamphlet (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Who used whom? Baathist Iraq and the Cold War, 1968-1990, an article from History in Focus". archives.history.ac.uk.
- ↑ "Iraq's Relations with its Arab Neighbours and Iran: Quest for a Pragmatic Balance - Indian Council of World Affairs (Government of India)". www.icwa.in.
- ↑ "Iraq Joins the Chemical Weapons Convention". OPCW (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "TURKEY: Relations with Iraq Become Explosive". Inter Press Service. 2007-10-30.
- ↑ Presse, AFP-Agence France. "Iraq And Kuwait Seek To Solve Contested Border Issue". www.barrons.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
- ↑ "Iraqi PM Sudani, Syria's Assad hold talks on security, water in Damascus". Reuters (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-12-27.
- ↑ "What is the Iran-backed 'Axis of Resistance' and what does it mean for Israel?". Los Angeles Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2024-09-26.
- ↑ "US to send more troops to Middle East — as it happened – DW – 01/03/2020". dw.com (ภาษาอังกฤษ).
- ↑ "Arab Aviation > Air Power > Iraqi Air Force". www.arabaviation.com.
- ↑ http://citypopulation.de/Iraq-Cities.html
- ประเทศอิรัก เก็บถาวร 2011-05-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน จากเว็บไซต์กระทรวงต่างประเทศ
บรรณานุรม
แก้- Bosworth, C. E. (1998). "ʿERĀQ-E ʿAJAM(Ī)". Encyclopaedia Iranica, Vol. VIII, Fasc. 5. p. 538.
- Shadid, Anthony 2005. Night Draws Near. Henry Holt and Co., NY, US ISBN 0-8050-7602-6
- Hanna Batatu, "The Old Social Classes and the Revolutionary Movements of Iraq", Princeton: Princeton University Press, 1978
- Charles Glass, "The Northern Front: A Wartime Diary"' Saqi Books, London, 2004, ISBN 0-86356-770-3
- A Dweller in Mesopotamia, being the adventures of an official artist in the garden of Eden, by Donald Maxwell, 1921. (a searchable facsimile at the University of Georgia Libraries; DjVu & layered PDF format)
- By Desert Ways to Baghdad, by Louisa Jebb (Mrs. Roland Wilkins) With illustrations and a map, 1908 (1909 ed). (a searchable facsimile at the University of Georgia Libraries; DjVu & layered PDF format)
- "Iraqi Constitution" (PDF). Ministry of Interior – General Directorate For Nationality. 30 January 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 28 November 2016. สืบค้นเมื่อ 18 February 2013.
- Benjamin Busch, "'Today is Better than Tomorrow'. A Marine returns to a divided Iraq", Harper's Magazine, October 2014, pp. 29–44.
- Global Arms Exports to Iraq 1960–1990, Rand Research report
อ่านเพิ่ม
แก้แหล่งข้อมูลอื่น
แก้บทความนี้ใช้ลิงก์ภายนอกไม่เป็นไปตามนโยบายหรือแนวทางการเขียนของวิกิพีเดีย(June 2021) |
รัฐบาล
- Presidency of Iraq เก็บถาวร 2019-01-18 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Cabinet of Iraq
ข้อมูลทั่วไป
- Iraq. The World Factbook. Central Intelligence Agency.
- Wikimedia Atlas of Iraq
- ประเทศอิรัก แหล่งข้อมูลบนเครือข่ายเว็บจัดทำโดย GovPubs ที่หอสมุดมหาวิทยาลัยโคโลราโด โบลเดอร์
- คู่มือการท่องเที่ยว ประเทศอิรัก จากวิกิท่องเที่ยว (ในภาษาอังกฤษ)
- ดูข้อมูลทางภูมิศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ ประเทศอิรัก ที่โอเพินสตรีตแมป
- ประเทศอิรัก ที่เว็บไซต์ Curlie
- Iraq profile from the BBC News