เบอร์นาร์ด มอนต์โกเมอรี
ไวเคานต์มอนต์โกเมอรีแห่งอลามีน | |
---|---|
17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1887 – 24 มีนาคม ค.ศ. 1976 (88ปี) | |
ฉายา/ราชทินนาม | "นายพลสปาร์ตัน" (อังกฤษ: The Spartan General) |
เกิดที่ | เคนซิงตัน ลอนดอน สหราชอาณาจักร |
อนิจกรรมที่ | อัลตัน แฮมป์เชอร์ สหราชอาณาจักร |
เหล่าทัพ | กองทัพบก |
ปีปฏิบัติงาน | ค.ศ. 1908–1958 |
ยศสูงสุด | จอมพล |
รับใช้ | สหราชอาณาจักร |
บัญชาการ | กองพลแฟลนเดอที่ 17 กองพันทหารราบริลล์ที่ 1 กองพลทหารราบที่ 9 กองพลทหารราบที่ 8 กองพลทหารราบที่ 3 กองพลที่2 กองพลที่5 กองพลที่12 กองบัญชาการตะวันออกเฉียงใต้ กองทัพที่8 กองกำลังที่21 รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดของนาโต |
การยุทธ | สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง |
บำเหน็จ | Knight of the Order of the Garter Knight Grand Cross of the Order of the Bath Distinguished Service Order Mentioned in dispatches |
จอมพล เซอร์เบอร์นาร์ด ลอว์ มอนต์โกเมอรี ไวเคานต์มอนต์โกเมอรีแห่งอลามีน (อังกฤษ: Bernard Law Montgomery, 1st Viscount Montgomery of Alamein; 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1887 – 24 มีนาคม ค.ศ. 1976) ผู้ซึ่งได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์(KG), เครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งบาธ ระดับไนท์ แกรนด์ คลอส(GCB), เครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความโดดเด่น(DSO) คณะองคมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร(PC) และรองผู้หมวด(Deputy lieutenant, DL) ชื่อเล่นว่า "มอนตี้" และ "นายพลสปาร์ตัน"[1]เป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพบกบริติชที่เข้าร่วมสู้รบทั้งในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสงครามโลกครั้งที่สอง
มอนต์โกเมอรีได้แสดงการปฏิบัติหน้าที่เป็นครั้งแรกในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในฐานะที่เป็นนายทหารระดับชั้นผู้น้อยในกรมทหารรอยัล วอร์วิกเชียร์(Royal Warwickshire Regiment) ที่ Méteren ใกล้กับชายแดนเบลเยียมที่ Bailleul เขาถูกยิงทะลุปอดข้างขวาโดยพลซุ่มยิงในช่วงระหว่างยุทธการที่อิพร์ครั้งที่หนึ่ง เมื่อกลับไปที่แนวรบด้านตะวันตกในฐานะที่เป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการ เขาได้เข้าร่วมในยุทธการที่อารัสในเดือนเมษายน/พฤษภาคม ค.ศ. 1917 เขายังได้เข้าร่วมในยุทธการที่ Passchendaele ในปลายปี ค.ศ. 1917 ก่อนที่สงครามจะยุติลงในฐานะที่เป็นหัวหน้าเสนาธิการแห่งกองพล(ลอนดอนที่ 2) ที่ 47
ในช่วงสมัยระหว่างสงคราม เขาได้บัญชาการกองพัน(หน่วย)ที่ 17 รอยัล ฟิวซิเลียร์(Royal Fusiliers) และต่อมา กองพันที่ 1 กรมทหารรอยัล วอร์วิกเชียร์ ก่อนที่จะมาเป็นผู้บัญชาการกองพลน้อยทหารราบที่ 9 และนายทหารของนายพลผู้ซึ่งบังคับบัญชา(GOC) ในกองพลทหารราบที่ 8
ในช่วงการทัพทะเลทรายตะวันตกในสงครามโลกครั้งที่สอง มอนต์โกเมอรีได้บัญชาการกองทัพบริติชที่ 8 ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ค.ศ. 1942 ตลอดจนถึงยุทธการที่อัลอะละมัยน์ครั้งที่สอง และชัยชนะครั้งสุดท้ายของฝ่ายสัมพันธมิตรในตูนีเซียในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1943 ต่อมาเขาก็ได้บัญชาการกองทัพบริติชที่ 8 ในช่วงระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรบุกครองเกาะซิซิลีและอิตาลี และเป็นผู้บัญชาการกองทัพบกฝ่ายสัมพันธมิตรทั้งหมดในช่วงยุทธการที่นอร์ม็องดี(ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด) ตั้งแต่ดีเดย์ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1944 จนถึง 1 กันยายน ค.ศ. 1944 เขายังคงบัญชาการกองทัพกลุ่มที่ 21 สำหรับส่วนที่เหลือของการทัพยุโรปตะวันตกเหนือ รวมทั้งความพยายามที่ล้มเหลวในการข้ามแม่น้ำไรน์ในช่วงปฏิบัติการมาร์เก็ตการ์เดน
เมื่อกองทัพบกเยอรมันได้บุกทะลวงผ่านแนวป้องกันของอเมริกันในเบลเยียมในช่วงยุทธการตอกลิ่ม มอนต์โกเมอรีได้รับคำสั่งจากทางด้านเหนือของส่วนที่ยื่นออกมา(Bulge) รวมทั้งได้บัญชาการเป็นการชั่วคราวต่อกองทัพสหรัฐที่หนึ่งและเก้า ซึ่งได้ปล่อยให้เยอรมันเข้ารุกไปยังทางเหนือของส่วนที่ยื่นออกมา ในขณะที่กองทัพสหรัฐที่สามภายใต้บัญชาการของนายพลแพตตันได้เข้ามาคลายวงล้อมที่บัสตอญจากทางใต้
กองทัพกลุ่มที่ 21 ของมอนต์โกเมอรี รวมทั้งกองทัพสหรัฐที่เก้าและกองทัพพลโดดร่มฝ่ายสัมพันธมิตรที่หนึ่ง ทำการข้ามแม่น้ำไรน์ในปฏิบัติการปล้น(Operation Plunder) ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 สองสัปดาห์ต่อมา ภายหลังจากกองทัพสหรัฐที่หนึ่งได้ทำการข้ามแม่น้ำไรน์ในยุทธการที่เรเมเกิน ในช่วงท้ายสงคราม ทหารภายใต้บัญชาการของมอนต์โกเมอรีได้มีส่วนร่วมในการโอบล้อมที่รูร์ พ็อกเก็ค(Ruhr Pocket) ทำการปลดปล่อยเนเธอร์แลนด์ และเข้ายึดครองเยอรมนีทางด้านตะวันตกเหนือเป็นส่วนใหญ่ ในวันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 มอนต์โกเมอรีได้ยอมรับการยอมจำนนของกองทัพเยอรมันในยุโรปตะวันตก-เหนือที่ Lüneburg Heath ทางด้านตะวันออกของฮัมบวร์ค ภายหลังการยอมจำนนที่เบอร์ลินต่อสหภาพโซเวียต เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม
ภายหลังสงคราม เขาได้กลายเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดในกองทัพบกบริติชแห่งแม่น้ำไรน์(BAOR) ในเยอรมนี และได้เป็นหัวหน้าทหารฝ่ายเสนาธิการจักรวรรดิ(ค.ศ. 1946-1948) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 ถึง 1951 เขาได้รับหน้าที่เป็นประธานของคณะร่วมผู้บัญชาการทหารสูงสุด(Commanders-in-Chief Committee)แห่งสหภาพตะวันตก เขาได้รับหน้าที่เป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดฝ่ายสัมพันธมิตรในยุโรปแห่งเนโท จนกระทั่งเขาเกษียณราชการในปี ค.ศ. 1958
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Various Authors (1969). Illustrated Story of World War II. The Reader's Digest Association. p. 284. ISBN 0-89577-029-6.