การแบ่งสรรปันส่วนแบบสัดส่วนคู่
ส่วนหนึ่งของชุดการเมือง |
ระบบการลงคะแนน |
---|
สถานีย่อยการเมือง |
การแบ่งสรรปันส่วนแบบสัดส่วนคู่ (อังกฤษ: Biproportional apportionment) คือการเลือกตั้งระบบสัดส่วนแบบที่ใช้เพื่อการจัดสรรปันส่วนที่นั่งอย่างเป็นสัดส่วนในสองลักษณะ ซึ่งจะแบบเป็นสองส่วนโดยแต่ละส่วนนั้นจะได้รับจำนวนที่นั่งเป็นสัดส่วนของที่นั่งทั้งหมด ตัวอย่างเช่น วิธีนี้สามารถให้ผลลัพธ์อย่างเป็นสัดส่วนตามพรรคการเมืองและตามภูมิภาค หรือตามพรรคการเมืองและตามเพศ/เชื้อชาติ หรืออาจจะใช้เกณฑ์คู่อื่นๆ
- ตัวอย่าง: การจัดสัดส่วนโดยพรรคการเมืองและภูมิภาค
- ส่วนแบ่งที่นั่งของแต่ละพรรคการเมืองจะเป็นสัดส่วนเท่ากับคะแนนเสียงของพรรคนั้นๆ
- ส่วนแบ่งที่นั่งของแต่ละภูมิภาคจะเป็นสัดส่วนเท่ากับคะแนนเสียงของภูมิภาคนั้นๆ
- (หรือ อาจจะคำนวนจากขนาดประชากรหรือเกณฑ์อื่นๆ ได้)
- จากนั้นจะต้องจัดสรรที่นั่งให้ใกล้ที่สุดของแต่ละภูมิภาคและแต่ละพรรคการเมือง:
- ที่นั่งของแต่ละภูมิภาคจะถูกจัดสรรให้แก่แต่ละพรรคการเมืองตามสัดส่วนของคะแนนเสียงในภูมิภาคของพรรคการเมืองเหล่านั้น (ที่นั่งของภูมิภาคนั้นมักจะตกเป็นของพรรคการเมืองยอดนิยมในท้องถิ่นนั้น)
- ที่นั่งของแต่ละพรรคการเมืองจะถูกจัดสรรให้ระหว่างภูมิภาคต่างๆ ตามสัดส่วนคะแนนพรรคการเมืองในภูมิภาคเหล่านั้น (ที่นั่งของพรรคการเมืองจะมีมากในบริเวณภูมิภาคที่พรรคเป็นที่นิยมของประชาชน)
ขั้นตอน
[แก้]สมมติให้ใช้วิธีนี้ในการคำนวนผลลัพธ์ให้เป็นสัดส่วนตามแต่ละพรรคการเมืองและแต่ละภูมิภาค
แต่ละพรรคการเมืองจะต้องส่งชื่อผู้สมัครเข้าลงเลือกตั้งในทุกภูมิภาค โดยผู้ลงคะแนนออกเสียงลงคะแนนเลือกพรรคการเมืองในภูมิภาคของตน (หรือ/และผู้สมัครรายบุคคลในกรณีของระบบสัดส่วนแบบบัญชีรายชื่อทั้งบัญชีเปิดหรือบัญชีท้องถิ่น)
ผลการลงคะแนนสามารถคำนวนได้ในสองขั้นตอน:
- การแบ่งสรรปันส่วนบน (อังกฤษ: upper apportionment) คือการคำนวนหาจำนวนที่นั่งของแต่ละพรรคการเมือง (รวมทุกภูมิภาค) และจำนวนที่นั่งของแต่ละภูมิภาค (รวมทุกพรรคการเมือง)
- การแบ่งสรรปันส่วนล่าง (อังกฤษ: lower apportionment) คือการคำนวนหาเพื่อแบ่งจำนวนที่นั่งในบัญชีรายชื่อของแต่ละภูมิภาคโดยใช้ผลลัพธ์ตามการแบ่งสรรปันส่วนบน
วิธีนี้สามารถทำความเข้าใจอย่างง่ายคือการปรับคะแนนเสียงอย่างน้อยที่สุดของแต่ละพรรคการเมืองเพื่อให้ผลลัพธ์ของแต่ละภูมิภาคออกมามีสัดส่วนที่สุดของแต่ละพรรคการเมือง
การแบ่งสรรปันส่วนบน
[แก้]ในการแบ่งสรรปันส่วนบนนั้น จำนวนที่นั่งของแต่พรรคการเมืองจะถูกคำนวนออกมาโดยวิธีค่าเฉลี่ยสูงสุด (เช่น วิธีแซ็งต์-ลากูว์) ซึ่งจะกำหนดว่าแต่ละพรรคการเมืองจะได้รับที่นั่งจำนวนทั้งหมดกี่ที่นั่งโดยยึดจากคะแนนเสียงทั้งหมดที่ได้รับ (ผลรวมของคะแนนเสียงของพรรคการเมืองนั้นๆ จากทุกภูมิภาครวมกัน) ซึ่งคล้ายคลึงกันกับการคำนวนหาจำนวนที่นั่งทั้งหมดที่แต่ละภูมิภาคพึงได้รับ ซึ่งใช้วิธีค่าเฉลี่ยสูงสุดเช่นกัน
ผลลัพธ์จากการแบ่งสรรปันส่วนบนนั้นถือเป็นผลลัพธ์สิ้นสุดในการคำนวนหาจำนวนที่นั่งของพรรคการเมืองหนึ่ง (และจำนวนที่นั่งของภูมิภาคหนึ่ง) ภายในทั่วทั้งภูมิภาค ส่วนการแบ่งสรรปันส่วนล่างจะใช้หาเพียงแค่ว่าในภูมิภาคใดบ้างที่พรรคการเมืองนั้นได้รับที่นั่ง ดังนั้น ภายหลังจากการแบ่งสรรปันส่วนบนเสร็จสิ้นแล้ว ถึงจะสามารถรู้ถึงความเข้มแข็งภายในสภาของพรรคการเมือง/ภูมิภาคได้
การแบ่งสรรปันส่วนล่าง
[แก้]การแบ่งสรรปันส่วนล่างมีจุดประสงค์เพื่อแบ่งที่นั่งให้แก่บัญชีรายชื่อของแต่ละภูมิภาคในวิธีที่คงไว้ซึ่งความเป็นสัดส่วนของที่นั่งของแต่ละพรรคการเมืองและการแบ่งสรรปันส่วนของที่นั่งในภูมิภาค
ผลลัพธ์นั้นสามารถคำนวนได้โดยขั้นตอนวนซ้ำ โดยแต่ละภูมิภาคจะต้องเลือก ตัวหารภูมิภาค (regional divisor) โดยการใช้วิธีค่าเฉลี่ยสูงสุดสำหรับการแบ่งคะแนนเสียงให้กับแต่ละบัญชีรายชื่อพรรคในแต่ละภูมิภาค สำหรับแต่ละพรรคการเมืองจะมี ตัวหารพรรค (party divisor) เริ่มที่ 1 เป็นต้นไป
จุดประสงค์ของการทำซ้ำนั้นเพื่อปรับแต่งตัวหารภูมิภาคและตัวหารพรรค เพื่อที่จะ:
- ทำให้จำนวนที่นั่งของแต่ละบัญชีรายชื่อพรรคในภูมิภาคนั้นเท่ากับจำนวนคะแนนเสียงหารด้วยตัวหารทั้งสองตัว แล้วจึงปัดเศษโดยใช้วิธีค่าเฉลี่ยสูงสุด และ
- ผลรวมของที่นั่งของทุกบัญชีรายชื่อพรรคในภูมิภาคของพรรคการเมืองหนึ่งจะเท่ากับจำนวนที่นั่งที่คำนวนได้ในการแบ่งสรรปันส่วนบนของพรรคการเมืองนั้น
- ผลรวมของที่นั่งของทุกบัญชีรายชื่อพรรคในภูมิภาคของภูมิภาคหนึ่งจะเท่ากับจำนวนที่นั่งที่คำนวนได้ในการแบ่งสรรปันส่วนบนของภูมิภาคนั้น
ขั้นตอนต่อไปนี้เป็นการแก้ไขซึ่งจะต้องทำจนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์:
- ปรับตัวหารพรรคเพื่อให้การแบ่งสรรปันส่วนภายในแต่ละพรรคการเมืองนั้นมีความถูกต้องกับวิธีค่าเฉลี่ยสูงสุดที่เลือก
- ปรับตัวหารภูมิภาคเพื่อให้การแบ่งสรรปันส่วนภายในภูมิภาคนั้นมีความถูกต้องกับวิธีค่าเฉลี่ยสูงสุดที่เลือก
การใช้วิธีแซ็งต์-ลากูว์เป็นขั้นตอนทำซ้ำสามารถรับรองได้ว่าจะสำเร็จด้วยจำนวนที่นั่งที่เหมาะสมในแต่ละบัญชีรายชื่อพรรคในแต่ละภูมิภาค
ตัวอย่าง
[แก้]สมมติให้มีสามพรรคการเมือง ได้แก่ A B และ C และสามภูมิภาค ได้แก่ I II และ III และมีจำนวนที่นั่งทั้งหมด 20 ที่นั่ง ซึ่งจะต้องจัดสรรปันส่วนโดยใช้วิธีแซ็งต์-ลากูว์ คะแนนเสียงรวมสำหรับบัญชีรายชื่อพรรคในภูมิภาคมีดังนี้:
พรรคการเมือง | ภูมิภาค | รวม | ||
---|---|---|---|---|
I | II | III | ||
A | 123 | 45 | 815 | 983 |
B | 912 | 714 | 414 | 2040 |
C | 312 | 255 | 215 | 782 |
รวม | 1347 | 1014 | 1444 | 3805 |
การแบ่งสรรปันส่วนบน
[แก้]สำหรับการแบ่งสรรปันส่วนบนนั้น จำนวนที่นั่งโดยรวมของทุกพรรคการเมืองและทุกภูมิภาคจะถูกคำนวนออกมา
โดยมีคะแนนเสียงรวมทั้งสิ้น 3805 คะแนน และ 20 ที่นั่ง คำนวนเป็นอัตราส่วนได้ 190 คะแนน (ปัดเศษแล้ว) ต่อที่นั่ง ดังนั้นผลการแบ่งจำนวนที่นั่งของแต่ละพรรคการเมืองเป็นดังนี้:
พรรคการเมือง | A | B | C |
---|---|---|---|
#คะแนนเสียง | 983 | 2040 | 782 |
#คะแนน/ตัวหาร | 5.2 | 10.7 | 4.1 |
#ที่นั่ง | 5 | 11 | 4 |
โดยใช้ตัวหาร คือ 190 ผลลัพธ์ในการแบ่งที่นั่งของแต่ละภูมิภาคเป็นดังนี้:
ภูมิภาค | I | II | III |
---|---|---|---|
#คะแนนเสียง | 1347 | 1014 | 1444 |
#คะแนน/ตัวหาร | 7.1 | 5.3 | 7.6 |
#ที่นั่ง | 7 | 5 | 8 |
การแบ่งสรรปันส่วนล่าง
[แก้]ในตอนแรกนั้น ตัวหารภูมิภาคจะต้องมีเพื่อใช้ในการจัดสรรที่นั่งของแต่ละภูมิภาคตามแต่ละบัญชีรายชื่อพรรคในภูมิภาคนั้น ในตารางต่อไปนี้ สำหรับแต่ละบัญชีรายชื่อพรรคในภูมิภาคประกอบด้วยสองช่อง โดยช่องแรกแสดงจำนวนคะแนนเสียง และช่องที่สองคือจำนวนที่นั่งที่ได้รับ
พรรคการเมือง | ภูมิภาค | |||||
---|---|---|---|---|---|---|
I | II | III | ||||
A | 123 | 1 | 45 | 0 | 815 | 5 |
B | 912 | 4 | 714 | 4 | 414 | 2 |
C | 312 | 2 | 255 | 1 | 215 | 1 |
รวม | 1347 | 7 | 1014 | 5 | 1444 | 8 |
ตัวหารภูมิภาค | 205 | 200 | 180 |
ตัวหารพรรคการเมืองเริ่มด้วยหนึ่ง และจำนวนที่นั่งของแต่ละพรรคการเมืองจะได้รับการตรวจสอบ (โดยการเปรียบเทียบกับตัวเลขที่คำนวนได้จากการแบ่งสรรปันส่วนบน):
พรรคการเมือง | ภูมิภาค | รวม | ตัวหารพรรค | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
I | II | III | |||||||
A | 123 | 1 | 45 | 0 | 815 | 5 | 983 | 6 | 1 |
B | 912 | 4 | 714 | 4 | 414 | 2 | 2040 | 10 | 1 |
C | 312 | 2 | 255 | 1 | 215 | 1 | 782 | 4 | 1 |
รวม | 1347 | 7 | 1014 | 5 | 1444 | 8 | 3805 | 20 | |
ตัวหารภูมิภาค | 205 | 200 | 180 |
เนื่องจากจำนวนที่นั่งยังไม่ถูกต้องในบางพรรคการเมือง จึงต้องมีขั้นตอนการแก้ไข: สำหรับพรรค A และ B ตัวหารจะต้องปรับแก้ โดยตัวหารสำหรับ A จะต้องเพิ่ม และตัวหารของ B จะต้องลดลง:
พรรคการเมือง | ภูมิภาค | รวม | ตัวหารพรรค | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
I | II | III | |||||||
A | 123 | 1 | 45 | 0 | 815 | 4 | 983 | 5 | 1.1 |
B | 912 | 5 | 714 | 4 | 414 | 2 | 2040 | 11 | 0.95 |
C | 312 | 2 | 255 | 1 | 215 | 1 | 782 | 4 | 1 |
รวม | 1347 | 8 | 1014 | 5 | 1444 | 7 | 3805 | 20 | |
ตัวหารภูมิภาค | 205 | 200 | 180 |
ตัวหารภูมิภาค I และ III จะต้องได้รับการปรับ เนื่องจากภูมิภาค I มีที่นั่งเกินหนึ่งที่นั่ง (8 ที่นั่งจาก 7 ที่นั่งตามการคำนวนในการแบ่งสรรปันส่วนบน) จึงจะต้องเพิ่มตัวหาร และในทางกลับกัน ตัวหารของภูมิภาค III จะต้องถูกปรับลดลง
พรรคการเมือง | ภูมิภาค | total | ตัวหารพรรค | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
I | II | III | |||||||
A | 123 | 1 | 45 | 0 | 815 | 4 | 983 | 5 | 1.1 |
B | 912 | 5 | 714 | 4 | 414 | 3 | 2040 | 12 | 0.95 |
C | 312 | 1 | 255 | 1 | 215 | 1 | 782 | 3 | 1 |
รวม | 1347 | 7 | 1014 | 5 | 1444 | 8 | 3805 | 20 | |
ตัวหารภูมิภาค | 210 | 200 | 170 |
เนื่องจากจำนวนที่นั่งยังไม่ถูกต้อง จึงต้องปรับตัวหารอีกครั้ง:
พรรคการเมือง | ภูมิภาค | รวม | ตัวหารพรรค | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
I | II | III | |||||||
A | 123 | 1 | 45 | 0 | 815 | 4 | 983 | 5 | 1.1 |
B | 912 | 4 | 714 | 4 | 414 | 3 | 2040 | 11 | 0.97 |
C | 312 | 2 | 255 | 1 | 215 | 1 | 782 | 4 | 0.98 |
รวม | 1347 | 7 | 1014 | 5 | 1444 | 8 | 3805 | 20 | |
ตัวหารภูมิภาค | 210 | 200 | 170 |
เมื่อตัวเลขที่นั่งรวมของทั้งสามพรรคและทั้งสามภูมิภาคตรงกับจำนวนที่คำนวนไว้ในการแบ่งสรรปันส่วนบน ดังนั้นขั้นตอนการทำซ้ำจึงเป็นอันสิ้นสุด
จำนวนที่นั่งที่คำนวนได้สุดท้าย:
#ที่นั่ง | ภูมิภาค | รวม | ||
---|---|---|---|---|
พรรคการเมือง | I | II | III | |
A | 1 | 0 | 4 | 5 |
B | 4 | 4 | 3 | 11 |
C | 2 | 1 | 1 | 4 |
รวม | 7 | 5 | 8 | 20 |
การลงคะแนนโดยเสียงข้างมากแบบยุติธรรม
[แก้]การลงคะแนนโดยเสียงข้างมากแบบยุติธรรม (อังกฤษ: Fair majority voting) เป็นการแบ่งสรรปันส่วนแบบสัดส่วนคู่สำหรับใช้ในภูมิภาคที่มีผู้แทนเพียงคนเดียว หรือเรียกว่า "เขต" ดังนั้นแต่ละเขตจะมีผู้แทนเพียงคนเดียว ระบบนี้เสนอในปีค.ศ. 2008 โดยมิเชล บาลินสกี (ผู้คิดค้นระบบการลงคะแนนแบบที่มีผู้ชนะเพียงคนเดียวซึ่งเรียกว่า "การตัดสินแบบเสียงข้างมาก") เพื่อเป็นวิธีการกำจัดอำนาจของการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเอาเปรียบโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา[1]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Balinski, Michel (2008-02-01). "Fair Majority Voting (or How to Eliminate Gerrymandering)". The American Mathematical Monthly. 115 (2): 97–113. doi:10.1080/00029890.2008.11920503. ISSN 0002-9890.