ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เติ้ง เสี่ยวผิง"
Add 6 books for WP:V (20241214)) #IABot (v2.0.9.5) (GreenC bot |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข ป้ายระบุ: แก้ไขแบบเห็นภาพ แก้ไขด้วยอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขด้วยเว็บอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
||
(ไม่แสดง 1 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน) | |||
บรรทัด 4: | บรรทัด 4: | ||
| native_name_lang = zh |
| native_name_lang = zh |
||
| image = Deng Xiaoping at the arrival ceremony for the Vice Premier of China (cropped).jpg |
| image = Deng Xiaoping at the arrival ceremony for the Vice Premier of China (cropped).jpg |
||
| caption = เติ้งระหว่าง[[การเยือนสหรัฐอเมริกาของเติ้ง เสี่ยวผิง|การเยือนสหรัฐอเมริกา]]ใน |
| caption = เติ้งระหว่าง[[การเยือนสหรัฐอเมริกาของเติ้ง เสี่ยวผิง|การเยือนสหรัฐอเมริกา]]ใน ค.ศ. 1979 |
||
| office = ประธาน[[คณะกรรมการที่ปรึกษาส่วนกลาง]] |
| office = ประธาน[[คณะกรรมการที่ปรึกษาส่วนกลาง]] |
||
| 1blankname1 = {{nowrap|เลขาธิการ}} |
| 1blankname1 = {{nowrap|เลขาธิการ}} |
||
บรรทัด 20: | บรรทัด 20: | ||
* [[สวี เซี่ยงเฉียน]] |
* [[สวี เซี่ยงเฉียน]] |
||
}} |
}} |
||
| term1 = {{longitem|''' |
| term1 = {{longitem|'''คณะกรรมการพรรค''': {{avoid wrap|{{nowrap|28 มิถุนายน ค.ศ. 1981}} – {{nowrap|9 กันยายน ค.ศ. 1989<br />({{อายุปีและวัน|1981|6|28|1989|9|9}})}}}}}} |
||
| predecessor1 = [[ฮฺว่า กั๋วเฟิง]] |
| predecessor1 = [[ฮฺว่า กั๋วเฟิง]] |
||
| successor1 = [[เจียง เจ๋อหมิน]] |
| successor1 = [[เจียง เจ๋อหมิน]] |
||
| term2 = {{longitem|''' |
| term2 = {{longitem|'''คณะกรรมการรัฐ''':<br />{{avoid wrap|{{nowrap|6 มิถุนายน ค.ศ. 1983}}{{snd}}{{nowrap|19 มีนาคม ค.ศ. 1990<br />({{อายุปีและวัน|1983|6|6|1990|3|19}})}}}}}} |
||
| predecessor2 = ''สถาปนาตำแหน่ง'' |
| predecessor2 = ''สถาปนาตำแหน่ง'' |
||
| successor2 = [[เจียง เจ๋อหมิน]] |
| successor2 = [[เจียง เจ๋อหมิน]] |
||
บรรทัด 50: | บรรทัด 50: | ||
| term_start3 = 8 มีนาคม ค.ศ. 1978 |
| term_start3 = 8 มีนาคม ค.ศ. 1978 |
||
| term_end3 = 17 มิถุนายน ค.ศ. 1983<br />({{อายุปีและวัน|1978|3|8|1983|6|17}}) |
| term_end3 = 17 มิถุนายน ค.ศ. 1983<br />({{อายุปีและวัน|1978|3|8|1983|6|17}}) |
||
| predecessor3 = [[โจว เอินไหล]] (ถึง |
| predecessor3 = [[โจว เอินไหล]] (ถึง ค.ศ. 1976) |
||
| successor3 = [[เติ้ง อิ่งเชา]] |
| successor3 = [[เติ้ง อิ่งเชา]] |
||
| birth_name = เติ้ง เซียนเชิ่ง |
| birth_name = เติ้ง เซียนเชิ่ง |
||
| birth_date = {{birth date|1904|08|22|df=y}} |
| birth_date = {{birth date|1904|08|22|df=y}} |
||
| birth_place = [[กว่าง |
| birth_place = [[กว่างอาน]], มณฑลเสฉวน, [[จักรวรรดิชิง]] |
||
| death_date = {{death date and age|1997|2|19|1904|8|22|df=y}} |
| death_date = {{death date and age|1997|2|19|1904|8|22|df=y}} |
||
| death_place = [[ปักกิ่ง]], ประเทศจีน |
| death_place = [[ปักกิ่ง]], ประเทศจีน |
||
| party = [[พรรคคอมมิวนิสต์จีน]] (ตั้งแต่ |
| party = [[พรรคคอมมิวนิสต์จีน]] (ตั้งแต่ ค.ศ. 1924) |
||
| spouse = {{plainlist| |
| spouse = {{plainlist| |
||
* {{marriage|จาง ซี-ยฺเวี่ยน ({{lang|zh|张锡瑗}})|1928|1929|end=d}} |
* {{marriage|จาง ซี-ยฺเวี่ยน ({{lang|zh|张锡瑗}})|1928|1929|end=d}} |
||
บรรทัด 73: | บรรทัด 73: | ||
| serviceyears = 1929–1952, 1975–1980 |
| serviceyears = 1929–1952, 1975–1980 |
||
| rank = {{indented plainlist| |
| rank = {{indented plainlist| |
||
* [[ผู้ตรวจการ |
* [[ผู้ตรวจการการเมือง]] (1929–1952) |
||
* [[ประธานคณะเสนาธิการ]] (1975–1976, 1977–1980) |
* [[ประธานคณะเสนาธิการ]] (1975–1976, 1977–1980) |
||
* ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางแห่งรัฐ}} |
* ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางแห่งรัฐ}} |
||
บรรทัด 84: | บรรทัด 84: | ||
| battles = {{indented plainlist| |
| battles = {{indented plainlist| |
||
* [[สงครามกลางเมืองจีน]] |
* [[สงครามกลางเมืองจีน]] |
||
* [[สงคราม |
* [[สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง]] |
||
}} |
}} |
||
| signature = Signature of Deng Xiaoping 19840126.svg |
| signature = Signature of Deng Xiaoping 19840126.svg |
||
บรรทัด 101: | บรรทัด 101: | ||
}} |
}} |
||
'''เติ้ง เสี่ยวผิง''' ({{zh|s=邓小平|p=Dèng Xiǎopíng}}; 22 สิงหาคม ค.ศ. 1904{{snd}}19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997) เป็นนักปฏิวัติและรัฐบุรุษชาวจีน เขาดำรงตำแหน่ง[[ผู้นำสูงสุดของจีน|ผู้นำสูงสุด]]ของ[[สาธารณรัฐประชาชนจีน]]ตั้งแต่ |
'''เติ้ง เสี่ยวผิง''' ({{zh|s=邓小平|p=Dèng Xiǎopíng}}; 22 สิงหาคม ค.ศ. 1904{{snd}}19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997) เป็นนักปฏิวัติและรัฐบุรุษชาวจีน เขาดำรงตำแหน่ง[[ผู้นำสูงสุดของจีน|ผู้นำสูงสุด]]ของ[[สาธารณรัฐประชาชนจีน]]ตั้งแต่ ค.ศ. 1978 ถึง 1989 ภายหลังการ[[อสัญกรรมและรัฐพิธีศพของเหมา เจ๋อตง|ถึงแก่อสัญกรรม]]ของ[[เหมา เจ๋อตง]]ใน ค.ศ. 1976 เติ้งได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจและนำพาประเทศจีนผ่านยุคสมัยของ[[การปฏิรูปเศรษฐกิจจีน|การปฏิรูปและเปิดประเทศ]] ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของจีนให้เป็น[[เศรษฐกิจตลาดสังคมนิยม]] เขาได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็น “สถาปนิกแห่งจีนสมัยใหม่” จากการพัฒนา[[สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน]] และริเริ่ม[[ทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง]]<ref>{{Cite news |last=Faison |first=Seth |date=20 February 1997 |title=Deng Xiaoping is Dead at 92; Architect of Modern China |url=https://www.nytimes.com/1997/02/20/world/deng-xiaoping-is-dead-at-92-architect-of-modern-china.html |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20170123203613/http://www.nytimes.com/1997/02/20/world/deng-xiaoping-is-dead-at-92-architect-of-modern-china.html |archive-date=23 January 2017 |access-date=19 April 2021 |work=[[The New York Times]] |issn=0362-4331}}</ref><ref>{{Cite web |year=2014 |title=Deng Xiaoping: Architect of modern China |url=https://www.chinadaily.com.cn/opinion/dengxiaoping.html |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20240623152008/https://www.chinadaily.com.cn/opinion/dengxiaoping.html |archive-date=2024-06-23 |website=[[China Daily]]}}</ref>{{sfn|Vogel|2011}} |
||
เติ้งเกิดใน[[มณฑลเสฉวน]]ในช่วงปลาย[[ราชวงศ์ชิง]] และเริ่มสนใจ[[ลัทธิมากซ์–เลนิน]]ในช่วงทศวรรษ |
เติ้งเกิดใน[[มณฑลเสฉวน]]ในช่วงปลาย[[ราชวงศ์ชิง]] และเริ่มสนใจ[[ลัทธิมากซ์–เลนิน]]ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ขณะศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ใน ค.ศ. 1924 เขาเข้าร่วม[[พรรคคอมมิวนิสต์จีน]]และเดินทางไปยังกรุงมอสโกเพื่อศึกษาต่อ ก่อนจะเดินทางกลับมายังประเทศจีน และดำรงตำแหน่ง[[ผู้ตรวจการการเมือง]]ในกองทัพแดง เติ้งมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำคนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนระหว่าง[[สงครามกลางเมืองจีน]] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการรักษาความอยู่รอดของพรรคระหว่าง[[การเดินทัพทางไกล]] ต่อมาเขาช่วยนำ[[กองทัพปลดปล่อยประชาชน]]สู่ชัยชนะในสงครามกลางเมือง รวมถึงการมีส่วนร่วมร่วมในการยึดเมือง[[หนานจิง]]ของกองทัพปลดปล่อยประชาชน |
||
ภายหลังการ |
ภายหลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1949 เติ้งได้ดำรงตำแหน่งสำคัญระดับภูมิภาคหลายตำแหน่ง และในที่สุดก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญใน[[คณะมนตรีรัฐกิจสาธารณรัฐประชาชนจีน|คณะมนตรีรัฐกิจ]]ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 ในฐานะ[[รองนายกรัฐมนตรีจีน|รองนายกรัฐมนตรี]]และ[[เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน]] ภายใต้การนำของเา เติ้งได้เป็นประธานการดำเนินงานฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ มีบทบาทสำคัญใน[[การรณรงค์ต่อต้านฝ่ายขวา]] ซึ่งเป็นการกวาดล้างกลุ่มปัญญาชนและผู้วิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีน การรณรงค์ดังกล่าวส่งผลให้มีการกดขี่ข่มเหงประชาชนประมาณ 550,000 คน ซึ่งรวมถึงนักเขียนและนักกิจกรรมทางการเมือง และถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในการเสริมสร้างการสนับสนุนนโยบายหัวรุนแรงของเหมาในขณะนั้น<ref>{{Cite web |date=May 2006 |title=The Anti-Rightist Campaign of 1957 |url=https://www.cia.gov/readingroom/docs/CIA-RDP88-01350R000200180001-9.pdf |archive-url=https://web.archive.org/web/20190508043643/https://www.cia.gov/readingroom/docs/CIA-RDP88-01350R000200180001-9.pdf |archive-date=8 May 2019}}</ref> เขาหลุดจากอำนาจในช่วง[[การปฏิวัติทางวัฒนธรรม]] เนื่องจากมีความเห็นชอบต่อนโยบายที่เน้นปฏิบัติและการตลาด เขาถูกเหมากำจัดสองครั้ง แต่หลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา เติ้งก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดด้วยความสามารถในการเอาชนะคู่แข่งทางการเมือง |
||
เมื่อขึ้นสู่อำนาจ เติ้งได้ดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานและระบบการเมืองของประเทศจีนอย่างครอบคลุม |
เมื่อขึ้นสู่อำนาจ เติ้งได้ดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานและระบบการเมืองของประเทศจีนอย่างครอบคลุม ด้วยความระส่ำระสายของสถาบันและความปั่นป่วนทางการเมืองจาก[[ประวัติศาสตร์สาธารณรัฐประชาชนจีน (ค.ศ. 1949–1976)|ยุคเหมา]] เขาและพันธมิตรจึงริเริ่มโครงการ "[[ปัวล่วนฝ่านเจิ้ง]]" เพื่อฟื้นความสงบเรียบร้อยโดยการคืนความยุติธรรมให้แก่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนรุ่นเก่า ตลอดจนประชาชนหลายล้านคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เขายังริเริ่ม[[การปฏิรูปเศรษฐกิจจีน|โครงการปฏิรูปและเปิดประเทศ]] ซึ่งนำเอาองค์ประกอบของระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศจีนโดยการกำหนด[[เขตเศรษฐกิจพิเศษ]]ทั่วประเทศ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1980 เติ้งริเริ่ม[[ประวัติศาสตร์สาธารณรัฐประชาชนจีน#การปฏิรูปการเมือง|การปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่]]โดยกำหนดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของเจ้าหน้าที่รัฐไว้ในรัฐธรรมนูญ และมีการปรับปรุงแก้ไขระบบต่าง ๆ ซึ่งรวมอยู่ใน[[รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2525|รัฐธรรมนูญฉบับที่สี่ของประเทศ]] ต่อมาเติ้งให้การสนับสนุน[[นโยบายลูกคนเดียว]]เพื่อแก้ไข[[ปัญหาประชากรล้นเมือง]]ที่ประเทศจีนเผชิญอยู่ ทั้งยังมีส่วนสำคัญในการจัดตั้งระบบ[[การศึกษาภาคบังคับ|การศึกษาภาคบังคับ 9 ปี]]และเป็นผู้กำกับดูแลการเริ่ม[[โครงการ 863]] เพื่อส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การปฏิรูปที่ดำเนินโดยเติ้งและพันธมิตรของเขานำพาประเทศจีนให้ค่อย ๆ เปลี่ยนจาก[[ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผน|ระบบเศรษฐกิจแบบบังคับ]]และ[[ลัทธิเหมา]] เป็นการเปิดรับการลงทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และนำแรงงานจำนวนมหาศาลของประเทศเข้าสู่[[โลกาภิวัตน์ในประเทศจีน|ตลาดโลก]] ส่งผลให้จีนกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก<ref>{{Cite news |last=Denmark |first=Abraham |title=40 years ago, Deng Xiaoping changed China — and the world |newspaper=[[The Washington Post]] |url=https://www.washingtonpost.com/news/monkey-cage/wp/2018/12/19/40-years-ago-deng-xiaoping-changed-china-and-the-world/ |url-status=live |access-date=19 April 2021 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190508043643/https://www.washingtonpost.com/news/monkey-cage/wp/2018/12/19/40-years-ago-deng-xiaoping-changed-china-and-the-world/ |archive-date=8 May 2019 |issn=0190-8286}}</ref> |
||
ในระหว่างการดำรงตำแหน่งผู้นำของตน เติ้งได้รับการยกย่องให้เป็น[[บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์]]ถึงสองครั้ง ใน |
ในระหว่างการดำรงตำแหน่งผู้นำของตน เติ้งได้รับการยกย่องให้เป็น[[บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์]]ถึงสองครั้ง ใน ค.ศ. 1978 และ 1985<ref>{{Cite magazine |date=1 January 1979 |title=Man of the Year: Teng Hsiao-p'ing: Visions of a New China |url=http://content.time.com/time/covers/0,16641,19790101,00.html |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20210419041030/http://content.time.com/time/covers/0,16641,19790101,00.html |archive-date=19 April 2021 |access-date=19 April 2021 |magazine=[[Time (magazine)|Time]]}}</ref><ref>{{Cite magazine |date=6 January 1986 |title=Man of the Year: Deng Xiaoping |url=http://content.time.com/time/covers/0,16641,19860106,00.html |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20191209202013/http://content.time.com/time/covers/0,16641,19860106,00.html |archive-date=9 December 2019 |access-date=19 April 2021 |magazine=Time}}</ref> แม้เติ้งจะมีส่วนสำคัญในการนำพาประเทศจีนให้ทันสมัย แต่ผลงานของเขาก็ยังคงเป็นที่ถกเถียง เขาสั่งให้กองทัพเข้าปราบปราม[[การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พ.ศ. 2532|การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989]] ซึ่งเป็นเหตุให้การปฏิรูปทางการเมืองสิ้นสุดลง และยังคงเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลก<ref>{{cite web |last=Wu |first=Wei |date=4 June 2015 |title=Why China's Political Reforms Failed |url=https://thediplomat.com/2015/06/why-chinas-political-reforms-failed/ |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20230413104706/https://thediplomat.com/2015/06/why-chinas-political-reforms-failed/ |archive-date=13 April 2023 |access-date=3 May 2020 |website=[[The Diplomat]]}}</ref> [[นโยบายลูกคนเดียว]]ซึ่งริเริ่มขึ้นในยุคของเติ้งนั้นก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน อย่างไรก็ตาม นโยบายของเขาก่อให้เกิดรากฐานที่มั่นคงสำหรับการก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจระดับโลกของจีน<ref>{{Cite news |last=Denmark |first=Abraham |title=40 years ago, Deng Xiaoping changed China — and the world |newspaper=[[The Washington Post]] |url=https://www.washingtonpost.com/news/monkey-cage/wp/2018/12/19/40-years-ago-deng-xiaoping-changed-china-and-the-world/ |url-status=live |access-date=19 April 2021 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190508043643/https://www.washingtonpost.com/news/monkey-cage/wp/2018/12/19/40-years-ago-deng-xiaoping-changed-china-and-the-world/ |archive-date=8 May 2019}}</ref> |
||
== ชีวิตช่วงต้น == |
== ชีวิตช่วงต้น == |
||
[[File:Student Deng Xiaoping in France.jpg|thumb|left| |
[[File:Student Deng Xiaoping in France.jpg|thumb|left|เติ้งในวัย 16 ปี ขณะศึกษาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส (ค.ศ 1921)]] |
||
บรรพบุรุษของเติ้งสามารถสืบย้อนไปถึง[[อำเภอเหมย์เซี่ยน (เหมย์โจว)|อำเภอเจียอิง]] (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นเหมย์เซี่ยน) [[มณฑลกวางตุ้ง]]<ref name="Asiawind.com">{{Cite web |date=29 December 1997 |title=The arrival of the Hakkas in Sichuan Province |url=http://www.asiawind.com/pub/forum/fhakka/mhonarc/msg00475.html |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20101104074554/http://www.asiawind.com/pub/forum/fhakka/mhonarc/msg00475.html |archive-date=4 November 2010 |access-date=13 March 2010 |publisher=Asiawind.com}}</ref> ซึ่งเป็นถิ่นฐานดั้งเดิมที่สำคัญของ[[ชาวฮากกา]] และได้อพยพมาตั้งรกรากอยู่ในมณฑลเสฉวนต่อเนื่องกันมาหลายชั่วอายุคน<ref>{{Cite web |date=14 January 2008 |title=Luodai, a Hakkanese town in Sichuan Province |url=http://www.gov.cn/english/2008-01/14/content_857292.htm |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20180917215533/http://www.gov.cn/english/2008-01/14/content_857292.htm |archive-date=17 September 2018 |access-date=14 May 2010 |publisher=GOV.cn}}</ref> [[เติ้ง หรง]] บุตรสาวของเติ้งได้กล่าวไว้ในหนังสือ บิดาของข้าพเจ้า เติ้ง เสี่ยวผิง (我的父亲邓小平) ว่าบรรพบุรุษของเขาอาจ |
บรรพบุรุษของเติ้งสามารถสืบย้อนไปถึง[[อำเภอเหมย์เซี่ยน (เหมย์โจว)|อำเภอเจียอิง]] (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นเหมย์เซี่ยน) [[มณฑลกวางตุ้ง]]<ref name="Asiawind.com">{{Cite web |date=29 December 1997 |title=The arrival of the Hakkas in Sichuan Province |url=http://www.asiawind.com/pub/forum/fhakka/mhonarc/msg00475.html |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20101104074554/http://www.asiawind.com/pub/forum/fhakka/mhonarc/msg00475.html |archive-date=4 November 2010 |access-date=13 March 2010 |publisher=Asiawind.com}}</ref> ซึ่งเป็นถิ่นฐานดั้งเดิมที่สำคัญของ[[ชาวฮากกา]] และได้อพยพมาตั้งรกรากอยู่ในมณฑลเสฉวนต่อเนื่องกันมาหลายชั่วอายุคน<ref>{{Cite web |date=14 January 2008 |title=Luodai, a Hakkanese town in Sichuan Province |url=http://www.gov.cn/english/2008-01/14/content_857292.htm |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20180917215533/http://www.gov.cn/english/2008-01/14/content_857292.htm |archive-date=17 September 2018 |access-date=14 May 2010 |publisher=GOV.cn}}</ref> [[เติ้ง หรง]] บุตรสาวของเติ้งได้กล่าวไว้ในหนังสือ ''บิดาของข้าพเจ้า เติ้ง เสี่ยวผิง'' (''我的父亲邓小平'') ว่าบรรพบุรุษของเขาอาจมีเชื้อสายฮากกา แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัด สกุลเติ้งมีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในมณฑลเสฉวน แต่ในช่วง[[ราชวงศ์หมิง]] มีบุคคลสกุลเติ้งคนหนึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งราชการในมณฑลกวางตุ้ง อย่างไรก็ตาม เมื่อ[[ราชวงศ์ชิง]]มีนโยบายส่งเสริมการเพิ่มจำนวนประชากรใน ค.ศ. 1671 ตระกูลเติ้งจึงอพยพกลับมายังมณฑลเสฉวน เติ้ง เสี่ยวผิง เกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 1904 ใน[[เขตกว่างอัน]] [[กว่างอัน|เมืองกว่างอัน]] [[มณฑลเสฉวน]]<ref name="Dai2009">{{Cite book |last=Yingcong Dai |url=https://books.google.com/books?id=DYHfVVAAf_kC&pg=PA25 |title=The Sichuan Frontier and Tibet: Imperial Strategy in the Early Qing |publisher=University of Washington Press |year=2009 |isbn=978-0-295-98952-5 |pages=25– |access-date=20 July 2016 |archive-url=https://web.archive.org/web/20161128154047/https://books.google.com/books?id=DYHfVVAAf_kC&pg=PA25 |archive-date=28 November 2016 |url-status=live}}</ref> |
||
บิดาของ |
บิดาของเติ้งคือเติ้ง เหวินหมิง เจ้าของที่ดินขนาดกลางที่เคยศึกษา ณ มหาวิทยาลัยกฎหมายและรัฐศาสตร์ [[เฉิงตู|เมืองเฉิงตู]] มณฑลเสฉวน เขามีชื่อเสียงในระดับท้องถิ่น{{sfn|Yang|1997|pp=11-12}} มารดาของเติ้งมีสกุลต้าน ได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่เติ้งยังเยาว์วัย ทำให้เติ้งและพี่น้องร่วมสายโลหิตอีกสามคนและน้องสาวอีกสามคนต้องเผชิญการสูญเสียครั้งใหญ่<ref>{{Cite web |title=Deng Xiaoping – Childhood |url=http://www.china.org.cn/english/features/dengxiaoping/103417.htm |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20180917215455/http://www.china.org.cn/english/features/dengxiaoping/103417.htm |archive-date=17 September 2018 |access-date=14 May 2010 |publisher=China.org.cn}}</ref> เมื่ออายุได้ 5 ปี เติ้งได้ถูกส่งไปศึกษา ณ โรงเรียนประถมศึกษาเอกชนแบบจีนดั้งเดิม จากนั้นเมื่ออายุได้ 7 ปีได้ย้ายไปศึกษาต่อ ณ โรงเรียนประถมศึกษาที่ทันสมัยขึ้น |
||
ภรรยาคนแรกของเติ้งเป็นเพื่อนร่วมชั้นจากมอสโก เสียชีวิตด้วยวัย 24 ปี เพียงไม่กี่วันหลัง |
ภรรยาคนแรกของเติ้งเป็นเพื่อนร่วมชั้นจากมอสโก เสียชีวิตด้วยวัย 24 ปี เพียงไม่กี่วันหลังคลอดบุตรสาวคนแรกซึ่งก็เสียชีวิตลงด้วยเช่นกัน ภรรยาคนที่สองคือจิน เหวย์อิ้ง ได้แยกทางกับเติ้งหลังจากที่เขาถูกโจมตีทางการเมืองใน ค.ศ. 1933 ภรรยาคนที่สามของเขาคือ[[จัว หลิน]] บุตรสาวของนักอุตสาหกรรมใน[[มณฑลยูนนาน]] เธอเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ใน ค.ศ. 1938 และได้แต่งงานกับเติ้งในปีต่อมา ณ บริเวณหน้าถ้ำที่พักอาศัยของเหมาใน[[เหยียนอาน]] ทั้งสองมีบุตรด้วยกัน 5 คน ได้แก่ บุตรสาว 3 คนคือ เติ้ง หลิน [[เติ้ง หนาน]] และเติ้ง หรง และบุตรชาย 2 คนคือ [[เติ้ง ผู่ฟาง]] และเติ้ง จื่อฟาง เติ้งเลิกสูบบุหรี่เมื่ออายุ 86 ปี<ref name="UPI 1991 e838">{{cite web | title=Deng Xiaoping quits smoking | website=UPI | date=1 Apr 1991 | url=https://www.upi.com/amp/Archives/1991/04/01/Deng-Xiaoping-quits-smoking/6011670482000/ | access-date=23 Oct 2023}}</ref> |
||
=== การศึกษาและอาชีพช่วงต้น === |
=== การศึกษาและอาชีพช่วงต้น === |
||
[[File:Deng xxixian.jpg|thumb|upright|left|บัตรประจำตัวพนักงานของโรงงานผลิตรองเท้า[[ฮัตชินสัน]] ใน |
[[File:Deng xxixian.jpg|thumb|upright|left|บัตรประจำตัวพนักงานของโรงงานผลิตรองเท้า[[ฮัตชินสัน]] ใน[[ชาเล็ต-ซูร์-ล็วง]] ประเทศฝรั่งเศสระบุชื่อของเติ้งว่า "เติ้ง ซีเซี่ยน" ซึ่งเป็นชื่อที่เขาทำงานด้วยในระหว่างที่ทำงาน ณ โรงงานแห่งนี้เป็นเวลา 8 เดือนใน ค.ศ. 1922 และอีกครั้งหนึ่งใน ค.ศ. 1923 แต่ถูกเลิกจ้างหลังทำงานได้เพียงหนึ่งเดือน โดยมีข้อความระบุเหตุผลการเลิกจ้างไว้ว่า "ปฏิเสธที่จะทำงาน ห้ามรับกลับเข้าทำงาน"]] |
||
เมื่อเติ้งเข้าศึกษา |
เมื่อเติ้งเข้าศึกษาเป็นครั้งแรก ครูผู้สอนได้คัดค้านชื่อที่ได้รับมาแต่เดิมคือ "เซียนเชิ่ง" (先圣) และเรียกเขาว่า "ซีเซี่ยน" (希贤) ที่ประกอบด้วยอักษรจีนที่มีความหมายถึง "การปรารถนา" และ "ความดี" แฝงไว้ด้วยความหมายที่สื่อถึงความฉลาด<ref>{{Cite book |last=Evans |first=Richard |title=Deng Xiaoping and the Making of Modern China |title-link=Deng Xiaoping and the Making of Modern China |date=1995 |publisher=Penguin |isbn=978-0-14-013945-7 |edition=2 |page=[https://archive.org/details/dengxiaopingmak00evan/page/5 5]}}</ref><ref>{{Cite book |last=Xia |first=Zhengnong |publisher=Shanghai Dictionary Publishing House |year=2003 |isbn=9787532612369 |volume={{lang|zh-hant|哲學卷}} |location=Shanghai |page=38 |script-title=zh:大辭海}}</ref> |
||
ในฤดูร้อน ค.ศ 1919 เติ้ง |
ในฤดูร้อน ค.ศ 1919 เติ้งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียน[[ฉงชิ่ง]] เขาและเพื่อนร่วมชั้นอีก 80 คนได้เดินทางโดยเรือ[[ชั้นสาม]]ไปยังประเทศฝรั่งเศส เพื่อเข้าร่วมโครงการ "[[โครงการขยันทำงาน อดออมศึกษา|ขยันทำงาน อดออมศึกษา]]" (Diligent Work-Frugal Study Movement), ซึ่งเป็นโครงการการศึกษาควบคู่กับการทำงาน<ref name=":10">{{Cite book |last1=Marquis |first1=Christopher |title=Mao and Markets: The Communist Roots of Chinese Enterprise |last2=Qiao |first2=Kunyuan |date=2022 |publisher=[[Yale University Press]] |isbn=978-0-300-26883-6 |location=New Haven |doi=10.2307/j.ctv3006z6k |jstor=j.ctv3006z6k |oclc=1348572572 |author-link=Christopher Marquis |s2cid=253067190}}</ref>{{Rp|page=37}} โดยมีชาวจีนจำนวน 4,001 คนเข้าร่วมโครงการนี้ภายใน ค.ศ. 1927 เติ้งเป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนักเรียนชาวจีน เพิ่งมีอายุครบ 15 ปี<ref>Spence, Jonathan (1999), "In Search of Modern China", 310</ref> อู๋ ยฺวี่จาง ผู้นำท้องถิ่นของโครงการในฉงชิ่ง ได้รับสมัครเติ้งและเติ้ง เช่าเชิ่ง ลุงฝ่ายบิดาของเติ้งเข้าร่วมโครงการ บิดาของเติ้งให้การสนับสนุนการเข้าร่วมโครงการศึกษาและทำงานในต่างประเทศของบุตรชายอย่างเต็มที่{{sfnb|Vogel|2011| p= 18–20}} ในคืนก่อนวันเดินทางไปฝรั่งเศส บิดาของเติ้งได้เรียกบุตรชายมาพูดคุยเป็นการส่วนตัว และได้สอบถามถึงความคาดหวังที่บุตรชายมีต่อการศึกษาในประเทศฝรั่งเศส เขาได้กล่าวคำที่ได้เรียนรู้มาจากครูของเขาว่า "การศึกษาหาความรู้และสัจธรรมจากตะวันตกเพื่อนำมาใช้ในการกอบกู้ประเทศจีน" เติ้งตระหนักดีว่าประเทศจีนกำลังประสบความทุกข์ยากอย่างมาก และประชาชนชาวจีนจำเป็นต้องได้รับการศึกษาสมัยใหม่จึงจะสามารถช่วยเหลือประเทศของตนได้<ref>{{Cite book |last=Stewart |first=Whitney |title=Deng Xiaoping: Leader in a Changing China |url=https://archive.org/details/dengxiaopinglead0000stew |date=2001 |publisher=Twenty-First Century Books |isbn=9780822549628 |page=[https://archive.org/details/dengxiaopinglead0000stew/page/n26 23]}}</ref> |
||
วันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1920 เรือโดยสารฝรั่งเศสชื่ออังเดร เลอบง (''André Lebon'') ได้แล่นเข้าสู่ท่าเรือ[[มาร์แซย์|มาร์เซย์]]พร้อมกับนักศึกษาชาวจีน 210 คนบนเรือ |
วันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1920 เรือโดยสารฝรั่งเศสชื่ออังเดร เลอบง (''André Lebon'') ได้แล่นเข้าสู่ท่าเรือ[[มาร์แซย์|มาร์เซย์]]พร้อมกับนักศึกษาชาวจีน 210 คนบนเรือรวมทั้งเติ้งด้วย เติ้งในวัย 16 ปีได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนมัธยมศึกษาใน[[บาเยอ]]และ[[ชาตีญง]]เป็นเวลาสั้น ๆ แต่เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในฝรั่งเศสเพื่อทำงาน รวมถึงที่โรงงานรถยนต์[[เรอโน]] และเป็นช่างประกอบที่โรงงานเหล็กและเหล็กกล้า[[เลอครูโซต์]] ใน[[ลาแกเรน-โกลอมบ์|ลาแกเรน-โคลอมบ์]] ย่านชานเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปารีส ที่ซึ่งเขาย้ายไปอาศัยอยู่ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1921<ref>{{Cite book |last=Mair |first=Victor H. |title=Chinese Lives: The people who made a civilization |url=https://archive.org/details/chineselivespeop0000mair |date=2013 |publisher=Thames & Hudson |isbn=9780500251928 |location=London |page=[https://archive.org/details/chineselivespeop0000mair/page/n218 215]}}</ref> บังเอิญว่าเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองของเติ้งย่ำแย่ลงในช่วงหลัง และถูกส่งไปทำงานในโรงงานผลิตรถแทรกเตอร์ใน ค.ศ. 1969 ระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เขาก็ได้กลับมาปฏิบัติงานในฐานะช่างประกอบอีกครั้งและแสดงให้เห็นว่าเขายังคงเชี่ยวชาญในทักษะดังกล่าว<ref name="sacu.org">[http://www.sacu.org/dengfrance.html] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20101127081058/http://sacu.org/dengfrance.html|date=27 November 2010}}, Wang Song. "Chinese Revolutionaries in France".</ref> |
||
ที่ลาแกเรน-โกลอมบ์ เติ้งพบกับผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนในอนาคต ได้แก่ [[โจว เอินไหล]] [[เฉิน อี้ (จอมพล)|เฉิน อี้]] [[เนี่ย หรงเจิน]] [[หลี่ ฟู่ชุน]] [[หลี่ ลี่ซาน]] และ[[หลี่ เหวย์ฮั่น]]<ref>{{Cite journal |last=Bailey |first=Paul |year=1988 |title=The Chinese Work-Study Movement in France |url=https://www.jstor.org/stable/654865 |url-status=live |journal=The China Quarterly |volume=115 |issue=115 |pages=441–461 |doi=10.1017/S030574100002751X |jstor=654865 |s2cid=154375449 |archive-url=https://web.archive.org/web/20210413085436/https://www.jstor.org/stable/654865 |archive-date=13 April 2021 |access-date=19 February 2021|url-access=subscription }}</ref> ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1923 เขาเข้าร่วมสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์จีนในยุโรป{{sfnb|Pantsov|2015| p= 450}} ในช่วงครึ่งหลังของ ค.ศ. 1924 เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน และดำรงตำแหน่งหนึ่งในสมาชิกชั้นนำของสาขาใหญ่ของสันนิบาตเยาวชนในยุโรป ใน ค.ศ. 1924 เติ้งเดินทางไปยัง[[สหภาพโซเวียต]]และศึกษาต่อ ณ [[มหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น มอสโก]] ซึ่งมีเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งคือ[[เจี่ยง จิงกั๋ว]] บุตรชายของ[[เจียง ไคเชก]]<ref>{{Cite magazine |date=22 March 2002 |title=Exiled son who saved the state |url=http://www.timeshighereducation.co.uk/story.asp?storyCode=167965§ioncode=22 |url-status=live |magazine=[[Times Higher Education]] |archive-url=https://web.archive.org/web/20121201132001/http://www.timeshighereducation.co.uk/story.asp?storyCode=167965§ioncode=22 |archive-date=1 December 2012 |access-date=2 December 2010}}</ref> |
|||
=== กลับประเทศจีน === |
=== กลับประเทศจีน === |
||
ปลาย |
ปลาย ค.ศ. 1927 เติ้งเดินทางกลับจากกรุงมอสโกมายังประเทศจีนและเข้าร่วมกองทัพของ[[เฝิง ยฺวี่เสียง]] ผู้นำทหารในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ผู้ซึ่งขอความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตในการต่อสู้กับผู้นำท้องถิ่นคนอื่น ๆ ในภูมิภาค ในช่วงเวลานั้น สหภาพโซเวียตได้สนับสนุนการเป็นพันธมิตรระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับก๊กมินตั๋ง พรรคชาตินิยมที่ก่อตั้งโดย[[ซุน ยัตเซ็น|ซุน ยัตเซน]]ผ่าน[[องค์การคอมมิวนิสต์สากล]] องค์การระหว่างประเทศที่ให้การสนับสนุนขบวนการคอมมิวนิสต์ทั่วโลก |
||
เขา |
เขาเดินทางมาถึง[[ซีอาน]] ฐานที่มั่นของเฝิงในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1927 เขาเป็นส่วนหนึ่งของ[[กลุ่มเฟิ่งเทียน]]ที่พยายามยับยั้งการแตกแยกพันธมิตรระหว่างก๊กมินตั๋งและคอมมิวนิสต์ การแตกแยกครั้งนี้เกิดขึ้นส่วนหนึ่งจากการที่เจียง ไคเชกบังคับให้พวกเขาอพยพออกจากพื้นที่ที่ก๊กมินตั๋งควบคุม ภายหลังการแตกแยกของพันธมิตรระหว่างคอมมิวนิสต์และชาตินิยม เฝิงก็ได้เข้าร่วมกับเจียง ไคเชก ทำให้คอมมิวนิสต์ที่เข้าร่วมกองทัพขอเฝิงรวมถึงเติ้งถูกบังคับให้หลบหนี{{citation needed|date=May 2023}} |
||
== การเติบโตทางการเมือง == |
== การเติบโตทางการเมือง == |
||
แม้ |
แม้เติ้งจะเข้าร่วมขบวนการปฏิวัติมาร์กซิสต์ในจีน แต่เกา มั่วปัว นักประวัติศาสตร์ได้โต้แย้งว่า "เติ้ง เสี่ยวผิง และบุคคลอื่น ๆ ที่มีความเห็นคล้ายกันในพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นไม่ได้เป็นมาร์กซิสต์อย่างแท้จริง แต่เป็น[[นักชาตินิยมปฏิวัติ]]ที่ต้องการเห็นจีนยืนหยัดอย่างทัดเทียมกับมหาอำนาจโลก พวกเขาเป็นนักชาตินิยมเป็นหลัก และเข้าร่วมการปฏิวัติคอมมิวนิสต์เพราะเห็นว่าเป็นเส้นทางเดียวที่เป็นไปได้ในการบรรลุอุดมการณ์[[ชาตินิยมจีน]]"<ref>[[#Gao08|Gao 2008]]</ref> |
||
=== การเคลื่อนไหวในเซี่ยงไฮ้และอู่ฮั่น === |
=== การเคลื่อนไหวในเซี่ยงไฮ้และอู่ฮั่น === |
||
ภายหลัง |
ภายหลังการออกจากกองทัพของเฝิง ยฺวี่เสียงในภาคตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว เติ้งเดินทางมายัง[[อู่ฮั่น]] ซึ่งในขณะนั้นเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ ในช่วงเวลานั้นเขาได้เริ่มใช้ชื่อเล่นว่า "เสี่ยวผิง" และดำรงตำแหน่งสำคัญในพรรค เขาเข้าร่วมการประชุมฉุกเฉินครั้งประวัติศาสตร์ในวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1927 ซึ่งตามคำสั่งของโซเวียต พรรคได้ปลด[[เฉิน ตู๋ซิ่ว]] ผู้ก่อตั้งพรรคออก และ[[ฉิว ชฺวีไป๋]] ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่ง[[เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน|เลขาธิการ]] ที่อู่ฮั่น เติ้งได้พบปะและสร้างความสัมพันธ์กับ[[เหมา เจ๋อตง]]เป็นครั้งแรก ผู้ซึ่งในตอนนั้นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์สายแข็งที่สนับสนุนโซเวียตยังไม่เห็นค่าของเขามากนัก |
||
ระหว่าง |
ระหว่าง ค.ศ. 1927 ถึง 1929 เติ้งอาศัยอยู่ในเซี่ยงไฮ้ และมีส่วนร่วมในการจัดการประท้วง ซึ่งต่อมาได้เผชิญกับการปราบปรามอย่างรุนแรงจากรัฐบาล[[ก๊กมินตั๋ง]] การเสียชีวิตของนักปฏิวัติคอมมิวนิสต์จำนวนมากในช่วงปีเหล่านั้นส่งผลให้จำนวนสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ลดลง เปิดโอกาสให้เติ้งสามารถเลื่อนตำแหน่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงนี้ที่เซี่ยงไฮ้ เติ้งได้แต่งงานกับนางจาง ซี-ยฺเวี่ยน หญิงสาวที่ได้พบกันในกรุงมอสโก |
||
=== การทัพในกว่างซี === |
=== การทัพในกว่างซี === |
||
ตั้งแต่ |
ตั้งแต่ ค.ศ. 1929 ถึง 1931 เติ้งดำรงตำแหน่งผู้แทนสูงสุดของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลกว่างซี โดยมีบทบาทสำคัญในการช่วยนำ[[การก่อการกำเริบไป่เซ่อ|การก่อการกำเริบไป่เซ่อ]]และ[[การก่อการกำเริบหลงโจว|หลงโจว]] ทั้งในช่วงเหตุการณ์และภายหลัง การนำของเติ้งในช่วงการก่อกำเริบได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เขาเดินตาม "แนวทางหลี่ ลี่ซาน" ที่เรียกร้องให้มีการโจมตีเมืองอย่างรุนแรง ในทางปฏิบัติ นั่นหมายความว่าโซเวียตชนบทในกว่างซีถูกทอดทิ้ง และกองทัพแดงที่เจ็ดภายใต้การนำทางการเมืองของเติ้งได้ต่อสู้และพ่ายแพ้ในสงครามนองเลือดหลายครั้ง{{sfn|Yang|1997|pp=66-67}} ในที่สุด เติ้งและผู้นำคอมมิวนิสต์คนอื่น ๆ ในมณฑลกว่างซีก็ตัดสินใจถอยทัพไปยังมณฑลเจียงซีเพื่อรวมกำลังกับเหมา อย่างไรก็ดี หลังการเดินทัพอันแสนยาวนานผ่านภูมิประเทศที่ขรุขระ เติ้งได้ปล่อยให้กองทัพให้อยู่ในภาวะไร้ผู้นำโดยพลการ{{sfn|Franz|1988|pp=86-87}} ในการประชุมวิเคราะห์หลังเหตุการณ์ของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1934 ได้มีการระบุพฤติกรรมของเติ้งว่าเป็นตัวอย่างของ "ลัทธิโอกาสนิยมขวา และแนวทางของชาวนาผู้มั่งคั่ง"{{sfn|Yang|1997|pp=66-67}} ใน ค.ศ. 1945 อดีตผู้บัญชาการหลายนายของกองทัพแดงที่เจ็ดได้ออกมาพูดต่อต้านการกระทำของเติ้งในช่วงการก่อกำเริบ แม้ว่าเหมาจะให้การปกป้องเติ้งจากผลกระทบร้ายแรงใด ๆ ก็ตาม{{sfn|Goodman|1994|p=34}} ในช่วง[[การปฏิวัติทางวัฒนธรรม]] กลุ่ม[[ยุวชนแดง]]ได้รับทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์การก่อกำเริบไป่เซ่อ และกล่าวหาเติ้งว่าหนีทัพ{{sfn|Franz|1988|p=87}} เติ้งยอมรับว่าการหนีทัพเป็นหนึ่งใน "ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของตน" และ "แม้ว่าพรรคจะอนุญาตให้กระทำเช่นนี้ แต่ก็ถือเป็นสิ่งที่ผิดทางการเมืองอย่างร้ายแรง{{sfn|Deng|1968}} นักประวัติศาสตร์และนักเขียนชีวประวัติสมัยใหม่ต่างเห็นพ้องกัน อูลี ฟรานซ์ ได้เรียกการหนีจากกองทัพว่าเป็น "ความผิดพลาดร้ายแรง"{{sfn|Franz|1988|p=87}} เบนจามิน หยาง กล่าวว่าช่วงเวลานั้นเป็น "ความล้มเหลวอันน่าเศร้าและช่วงเวลาอันมืดมนในชีวิตทางการเมืองของเติ้ง"{{sfn|Yang|1997|p=70}} อีกด้านหนึ่ง ไดอานา แลรี มองว่าความล้มเหลวในการรับมือภัยพิบัติครั้งนี้เกิดจาก "ความไร้ประสิทธิภาพ" ของทั้งผู้นำท้องถิ่นและคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน |
||
=== โซเวียตเจียงซี === |
=== โซเวียตเจียงซี === |
||
การปราบปรามคอมมิวนิสต์ในเมืองต่าง ๆ นับเป็นอุปสรรคสำคัญของพรรค และเป็นการสกัดกั้นความหวังของที่ปรึกษาของโซเวียตแห่งองค์การคอมมิวนิสต์สากล ที่เห็นว่าการระดมกำลังชนชั้นกรรมมาชีพในเมืองคือพลังขับเคลื่อนสำคัญในการเผยแผ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ตรงข้ามกับวิสัยทัศน์การปฏิวัติที่มุ่งเน้นในเมืองซึ่งได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ของสหภาพโซเวียต เหมา เจ๋อตง ผู้นำคอมมิวนิสต์จีน เห็นว่าชาวนาในชนบทเป็นกำลังสำคัญในการปฏิวัติของจีน ในพื้นที่ภูเขาของมณฑลเจียงซี ที่ซึ่งเหมาได้เดินทางไปเพื่อสถาปนาระบอบคอมมิวนิสต์นั้น ได้มีการพัฒนารากฐานของรัฐคอมมิวนิสต์ในอนาคตของจีนขึ้นมา ซึ่งได้ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า[[สาธารณรัฐโซเวียตจีน]] แต่เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ "[[โซเวียตเจียงซี]]" |
การปราบปรามคอมมิวนิสต์ในเมืองต่าง ๆ นับเป็นอุปสรรคสำคัญของพรรค และเป็นการสกัดกั้นความหวังของที่ปรึกษาของโซเวียตแห่งองค์การคอมมิวนิสต์สากล ที่เห็นว่าการระดมกำลังชนชั้นกรรมมาชีพในเมืองคือพลังขับเคลื่อนสำคัญในการเผยแผ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ตรงข้ามกับวิสัยทัศน์การปฏิวัติที่มุ่งเน้นในเมืองซึ่งได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ของสหภาพโซเวียต เหมา เจ๋อตง ผู้นำคอมมิวนิสต์จีน เห็นว่าชาวนาในชนบทเป็นกำลังสำคัญในการปฏิวัติของจีน ในพื้นที่ภูเขาของมณฑลเจียงซี ที่ซึ่งเหมาได้เดินทางไปเพื่อสถาปนาระบอบคอมมิวนิสต์นั้น ได้มีการพัฒนารากฐานของรัฐคอมมิวนิสต์ในอนาคตของจีนขึ้นมา ซึ่งได้ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า[[สาธารณรัฐโซเวียตจีน]] แต่เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ "[[โซเวียตเจียงซี]]" |
||
ในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1931 เติ้งได้เข้ารับตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำเมือง[[รุ่ยจิน]] เมืองที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเขตโซเวียต ในช่วงฤดูหนาวปี ค.ศ. 1932 เติ้งได้ดำรงตำแหน่งเดิมต่อไปใน[[อำเภอฮุ่ยชาง]]ซึ่งอยู่ใกล้เคียง ใน |
ในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1931 เติ้งได้เข้ารับตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำเมือง[[รุ่ยจิน]] เมืองที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเขตโซเวียต ในช่วงฤดูหนาวปี ค.ศ. 1932 เติ้งได้ดำรงตำแหน่งเดิมต่อไปใน[[อำเภอฮุ่ยชาง]]ซึ่งอยู่ใกล้เคียง ใน ค.ศ. 1933 เขาได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อของคณะกรรมาธิการพรรคประจำมณฑลเจียงซี ตอนนั้นเองเขาได้แต่งงานกับนางจิน เหวย์อิ้ง หญิงสาวที่เขาพบในเซี่ยงไฮ้ |
||
ความสำเร็จของโซเวียตในมณฑลเจียงซีทำให้ผู้นำพรรคตัดสินใจย้ายฐานที่มั่นจากเซี่ยงไฮ้ไปยังมณฑลเจียงซี ความขัดแย้งระหว่างเหมา ผู้นำพรรค กับที่ปรึกษาของโซเวียตทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการชิงอำนาจระหว่างทั้งสองกลุ่มส่งผลให้เติ้ง ผู้สนับสนุน |
ความสำเร็จของโซเวียตในมณฑลเจียงซีทำให้ผู้นำพรรคตัดสินใจย้ายฐานที่มั่นจากเซี่ยงไฮ้ไปยังมณฑลเจียงซี ความขัดแย้งระหว่างเหมา ผู้นำพรรค กับที่ปรึกษาของโซเวียตทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการชิงอำนาจระหว่างทั้งสองกลุ่มส่งผลให้เติ้ง ผู้สนับสนุนความคิดของเหมาถูกปลดจากตำแหน่งในฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อ แม้จะเผชิญกับความขัดแย้งภายในพรรค แต่โซเวียตเจียงซีก็ประสบความสำเร็จในการเป็นรัฐบาลคอมมิวนิสต์แห่งแรกในชนบทของจีน รัฐบาลได้ดำเนินการออกแสตมป์และธนบัตรโดยใช้หัวกระดาษของ "สาธารณรัฐโซเวียตจีน" ซึ่งเป็นการประกาศอำนาจอธิปไตยอย่างเป็นทางการ และในที่สุด กองทัพของเจียง ไคเชกก็ตัดสินใจเข้าโจมตีพื้นที่ที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ครอบครอง |
||
=== เดินทัพทางไกล === |
=== เดินทัพทางไกล === |
||
บรรทัด 157: | บรรทัด 157: | ||
เมื่อถูกกองทัพชาตินิยมที่มีกำลังเหนือกว่าปิดล้อม พรรคคอมมิวนิสต์จึงได้หลบหนีออกจากมณฑลเจียงซีในเดือนตุลาคม ค.ศ 1934 นับแต่นั้นเป็นต้นมาจึงได้เริ่มต้นขบวนการอันยิ่งใหญ่ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพัฒนาของลัทธิคอมมิวนิสต์จีน การอพยพเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากกองทัพชาตินิยมได้เข้ายึดครองพื้นที่ที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์เคยครอบครองอยู่ทั้งหมด ด้วยการเคลื่อนทัพผ่านภูมิประเทศที่ห่างไกลและภูเขาสูงชัน กองทัพจำนวนประมาณ 100,000 นายสามารถหลบหนีออกจากมณฑลเจียงซีได้สำเร็จ ก่อให้เกิดการล่าถอยทางยุทธศาสตร์ที่ยาวนานผ่านภายในประเทศจีน ซึ่งสิ้นสุดลงในหนึ่งปีต่อมาเมื่อทหารที่รอดชีวิตราว 8,000 ถึง 9,000 นายเดินทางมาถึง[[มณฑลฉ่านซี]]ทางตอนเหนือ |
เมื่อถูกกองทัพชาตินิยมที่มีกำลังเหนือกว่าปิดล้อม พรรคคอมมิวนิสต์จึงได้หลบหนีออกจากมณฑลเจียงซีในเดือนตุลาคม ค.ศ 1934 นับแต่นั้นเป็นต้นมาจึงได้เริ่มต้นขบวนการอันยิ่งใหญ่ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพัฒนาของลัทธิคอมมิวนิสต์จีน การอพยพเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากกองทัพชาตินิยมได้เข้ายึดครองพื้นที่ที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์เคยครอบครองอยู่ทั้งหมด ด้วยการเคลื่อนทัพผ่านภูมิประเทศที่ห่างไกลและภูเขาสูงชัน กองทัพจำนวนประมาณ 100,000 นายสามารถหลบหนีออกจากมณฑลเจียงซีได้สำเร็จ ก่อให้เกิดการล่าถอยทางยุทธศาสตร์ที่ยาวนานผ่านภายในประเทศจีน ซึ่งสิ้นสุดลงในหนึ่งปีต่อมาเมื่อทหารที่รอดชีวิตราว 8,000 ถึง 9,000 นายเดินทางมาถึง[[มณฑลฉ่านซี]]ทางตอนเหนือ |
||
ในระหว่าง[[การประชุมจุนอี้]]ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของการเดินทัพทางไกล กลุ่มบุคคลที่เรียกว่า "28 บอลเชวิค" นำโดย[[ปั๋ว กู่]] และ[[หวัง หมิง]] ถูกปลดจากอำนาจ และเหมา |
ในระหว่าง[[การประชุมจุนอี้]]ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของการเดินทัพทางไกล กลุ่มบุคคลที่เรียกว่า "28 บอลเชวิค" นำโดย[[ปั๋ว กู่]] และ[[หวัง หมิง]] ถูกปลดจากอำนาจ และเหมาได้ขึ้นเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนใหม่ สร้างความไม่พอใจให้แก่สหภาพโซเวียต พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่สนับสนุนโซเวียตได้สิ้นสุดลง และมีการก่อตั้งพรรคใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชนบทขึ้นมาภายใต้การนำของเหมา เติ้งได้กลับมาเป็นแกนนำสำคัญของพรรคอีกครั้งหนึ่ง |
||
อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองพรรคถูกยุติลงชั่วคราวจากการรุกรานของญี่ปุ่น ซึ่งบีบบังคับให้พรรคก๊กมินตั๋งต้องร่วมมือเป็นพันธมิตรกับพรรคคอมมิวนิสต์เป็นครั้งที่สอง เพื่อปกป้องประเทศจากการรุกรานจากภายนอก |
อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองพรรคถูกยุติลงชั่วคราวจากการรุกรานของญี่ปุ่น ซึ่งบีบบังคับให้พรรคก๊กมินตั๋งต้องร่วมมือเป็นพันธมิตรกับพรรคคอมมิวนิสต์เป็นครั้งที่สอง เพื่อปกป้องประเทศจากการรุกรานจากภายนอก |
||
=== การรุกรานของญี่ปุ่น === |
=== การรุกรานของญี่ปุ่น === |
||
การรุกรานของกองทัพญี่ปุ่นใน |
การรุกรานของกองทัพญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1937 นับเป็นจุดเริ่มต้นของ[[สงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง]] ในระหว่างการรุกราน เติ้งยังคงอยู่ในพื้นที่ที่คอมมิวนิสต์ควบคุมอยู่ในภาคเหนือ และดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองของกองทัพคอมมิวนิสต์ที่ปรับโครงสร้างใหม่ทั้งสามกองพล ตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 1937 จนถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 1938 เขาได้พำนักอยู่ในวัดและอารามพุทธศาสนาบน[[เขาอู่ไถ]] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1938 เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการทางการเมืองประจำกองพลที่ 129 [[กองทัพลู่ที่แปด]] ซึ่งมีนายพล[[หลิว ปั๋วเฉิง]]เป็นผู้บัญชาการ ทำให้เกิดความร่วมมืออันยาวนานระหว่างเขากับนายพลหลิว |
||
เติ้งประจำการอยู่ในแนวรบที่ติดต่อกับมณฑล[[มณฑลฉ่านซี|ฉ่านซี]] เหอหนาน และ[[มณฑลเหอเป่ย์|เหอเป่ย์]] ตลอดระยะเวลาที่เกิดความขัดแย้งกับญี่ปุ่น จากนั้นได้เดินทางไปยังเมือง[[เหยียนอาน]]หลายครั้ง ซึ่งเป็นที่ที่เหมาได้วางรากฐานสำหรับการนำพรรคคอมมิวนิสต์ไว้ ระหว่างอยู่ในเหอหนาน เขาได้กล่าวสุนทรพจน์อันโด่งดังเรื่อง "สถานการณ์ชัยชนะในการก้าวเข้าสู่ภาคกลาง และนโยบายกลยุทธ์ในอนาคต" ณ โบสถ์แห่งหนึ่งที่เขาเคยพำนักอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง<ref>{{Cite web |title=豫西革命纪念馆和鲁山邓小平旧居扩建工程竣工 |url=http://www.gov.cn/jrzg/2008-04/25/content_954586.htm |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20220711211823/http://www.gov.cn/jrzg/2008-04/25/content_954586.htm |archive-date=11 July 2022 |access-date=11 July 2022}}</ref><ref>{{Cite web |title=西关大街,从历史中走来 |url=https://www.pds.gov.cn/contents/5380/181.html |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20220711211824/https://www.pds.gov.cn/contents/5380/181.html |archive-date=11 July 2022 |access-date=11 July 2022}}</ref> ในการเดินทางไปยังเหยียนอานครั้งหนึ่งใน |
เติ้งประจำการอยู่ในแนวรบที่ติดต่อกับมณฑล[[มณฑลฉ่านซี|ฉ่านซี]] เหอหนาน และ[[มณฑลเหอเป่ย์|เหอเป่ย์]] ตลอดระยะเวลาที่เกิดความขัดแย้งกับญี่ปุ่น จากนั้นได้เดินทางไปยังเมือง[[เหยียนอาน]]หลายครั้ง ซึ่งเป็นที่ที่เหมาได้วางรากฐานสำหรับการนำพรรคคอมมิวนิสต์ไว้ ระหว่างอยู่ในเหอหนาน เขาได้กล่าวสุนทรพจน์อันโด่งดังเรื่อง "สถานการณ์ชัยชนะในการก้าวเข้าสู่ภาคกลาง และนโยบายกลยุทธ์ในอนาคต" ณ โบสถ์แห่งหนึ่งที่เขาเคยพำนักอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง<ref>{{Cite web |title=豫西革命纪念馆和鲁山邓小平旧居扩建工程竣工 |url=http://www.gov.cn/jrzg/2008-04/25/content_954586.htm |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20220711211823/http://www.gov.cn/jrzg/2008-04/25/content_954586.htm |archive-date=11 July 2022 |access-date=11 July 2022}}</ref><ref>{{Cite web |title=西关大街,从历史中走来 |url=https://www.pds.gov.cn/contents/5380/181.html |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20220711211824/https://www.pds.gov.cn/contents/5380/181.html |archive-date=11 July 2022 |access-date=11 July 2022}}</ref> ในการเดินทางไปยังเหยียนอานครั้งหนึ่งใน ค.ศ. 1939 เขาได้แต่งงานครั้งที่สามและครั้งสุดท้ายในชีวิตกับนาง[[จัว หลิน]] ชาวเมือง[[คุนหมิง]] ผู้ซึ่งได้เดินทางไปยังเหยียนอานเพื่อเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เช่นเดียวกับเยาวชนผู้มีอุดมการณ์คนอื่น ๆ ในยุคนั้น |
||
เติ้งได้รับการยกย่องว่าเป็น "ทหารผ่านศึกปฏิวัติ" จากการมีเข้าร่วม[[การเดินทัพทางไกล]]<ref>{{Cite book |last=Cheng Li |url=https://archive.org/details/chinasleadersnew00lich |title=China's leaders |publisher=Rowman & Littlefield |year=2001 |isbn=9780847694976 |page=[https://archive.org/details/chinasleadersnew00lich/page/131 131] |access-date=6 March 2016 |url-access=registration}}</ref> เขาเป็นผู้นำใน[[ปฏิบัติการร้อยกองพัน]] ซึ่งช่วยยกสถานะของเขาในหมู่สหายร่วมอุดมการณ์<ref name="jac">{{Cite web |last=GREGOR BENTON |title=Assessing Deng Xiaoping |url=https://www.jacobinmag.com/2019/01/deng-xiaoping-china-mao-communist-party |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20190129064154/https://www.jacobinmag.com/2019/01/deng-xiaoping-china-mao-communist-party |archive-date=29 January 2019 |access-date=28 January 2019 |website=jacobinmag.com}}</ref> |
เติ้งได้รับการยกย่องว่าเป็น "ทหารผ่านศึกปฏิวัติ" จากการมีเข้าร่วม[[การเดินทัพทางไกล]]<ref>{{Cite book |last=Cheng Li |url=https://archive.org/details/chinasleadersnew00lich |title=China's leaders |publisher=Rowman & Littlefield |year=2001 |isbn=9780847694976 |page=[https://archive.org/details/chinasleadersnew00lich/page/131 131] |access-date=6 March 2016 |url-access=registration}}</ref> เขาเป็นผู้นำใน[[ปฏิบัติการร้อยกองพัน]] ซึ่งช่วยยกสถานะของเขาในหมู่สหายร่วมอุดมการณ์<ref name="jac">{{Cite web |last=GREGOR BENTON |title=Assessing Deng Xiaoping |url=https://www.jacobinmag.com/2019/01/deng-xiaoping-china-mao-communist-party |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20190129064154/https://www.jacobinmag.com/2019/01/deng-xiaoping-china-mao-communist-party |archive-date=29 January 2019 |access-date=28 January 2019 |website=jacobinmag.com}}</ref> |
||
บรรทัด 177: | บรรทัด 177: | ||
เติ้งมีส่วนร่วมอย่างมากใน[[การทัพหวยไห่]]เพื่อโค่นล้มรัฐบาลชาตินิยม<ref name=jac/> |
เติ้งมีส่วนร่วมอย่างมากใน[[การทัพหวยไห่]]เพื่อโค่นล้มรัฐบาลชาตินิยม<ref name=jac/> |
||
ในช่วงสุดท้ายของสงคราม เติ้งได้กลับมามีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำทางการเมืองและผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อ ในฐานะผู้ตรวจการทางการเมืองประจำ[[กองทัพภาคสนามที่ 2]] ซึ่งมีนายพลหลิว ปั๋วเฉิงเป็นผู้บัญชาการ โดยเติ้งมีส่วนสำคัญในการนำกองทัพปลดปล่อยประชาชนเข้าสู่ทิเบต นอกจากนี้เขายังมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ |
ในช่วงสุดท้ายของสงคราม เติ้งได้กลับมามีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำทางการเมืองและผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อ ในฐานะผู้ตรวจการทางการเมืองประจำ[[กองทัพภาคสนามที่ 2]] ซึ่งมีนายพลหลิว ปั๋วเฉิงเป็นผู้บัญชาการ โดยเติ้งมีส่วนสำคัญในการนำกองทัพปลดปล่อยประชาชนเข้าสู่ทิเบต นอกจากนี้เขายังมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ความคิดของเหมา เจ๋อตง ซึ่งได้กลายมาเป็นรากฐานทางอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ ผลงานทางการเมืองและอุดมการณ์อันโดดเด่น รวมถึงสถานะของเขาในฐานะทหารผ่านศึกการเดินทัพทางไกล ทำให้เขาได้รับตำแหน่งที่มีอำนาจภายในพรรคหลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์สามารถเอาชนะเจียง ไคเชก และก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นมาได้ |
||
[[File:Deng Xiaoping, He Long and Zhu De.jpg|thumb|เติ้ง เสี่ยวผิง กับ[[เฮ่อ หลง]] (กลาง) และ[[จู เต๋อ]] (ขวา) (ค.ศ. 1949)]] |
[[File:Deng Xiaoping, He Long and Zhu De.jpg|thumb|เติ้ง เสี่ยวผิง กับ[[เฮ่อ หลง]] (กลาง) และ[[จู เต๋อ]] (ขวา) (ค.ศ. 1949)]] |
||
บรรทัด 188: | บรรทัด 188: | ||
รัฐบาลก๊กมินตั๋งถูกบีบให้ย้ายออกจากเมือง[[กว่างโจว]] และได้สถาปนาเมือง[[ฉงชิ่ง]]ขึ้นเป็นเมืองหลวงชั่วคราวแห่งใหม่ ณ ที่นั้น เจียง ไคเชก และ[[เจี่ยง จิงกั๋ว]] บุตรชายผู้เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับเติ้งในกรุงมอสโก ต่างปรารถนาที่จะหยุดยั้งการก้าวหน้าของกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์ |
รัฐบาลก๊กมินตั๋งถูกบีบให้ย้ายออกจากเมือง[[กว่างโจว]] และได้สถาปนาเมือง[[ฉงชิ่ง]]ขึ้นเป็นเมืองหลวงชั่วคราวแห่งใหม่ ณ ที่นั้น เจียง ไคเชก และ[[เจี่ยง จิงกั๋ว]] บุตรชายผู้เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับเติ้งในกรุงมอสโก ต่างปรารถนาที่จะหยุดยั้งการก้าวหน้าของกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์ |
||
ภายใต้การควบคุมทางการเมืองของเติ้ง กองทัพคอมมิวนิสต์ได้เข้ายึดครองเมืองฉงชิ่งในปลายเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1949 และได้เคลื่อนทัพเข้าสู่เมืองเฉิงตู ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของเจียง ไคเชกในอีกไม่กี่วันต่อมา ในช่วงเวลานั้น เติ้งได้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองฉงชิ่ง พร้อมกันนั้นยังเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งกองทัพคอมมิวนิสต์ที่ขณะนี้ได้ประกาศตนเป็น[[กองทัพปลดปล่อยประชาชน]] ได้ปราบปรามการต่อต้านจากกลุ่มผู้ภักดีต่อระบอบก๊กมินตั๋งเก่า ใน |
ภายใต้การควบคุมทางการเมืองของเติ้ง กองทัพคอมมิวนิสต์ได้เข้ายึดครองเมืองฉงชิ่งในปลายเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1949 และได้เคลื่อนทัพเข้าสู่เมืองเฉิงตู ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของเจียง ไคเชกในอีกไม่กี่วันต่อมา ในช่วงเวลานั้น เติ้งได้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองฉงชิ่ง พร้อมกันนั้นยังเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งกองทัพคอมมิวนิสต์ที่ขณะนี้ได้ประกาศตนเป็น[[กองทัพปลดปล่อยประชาชน]] ได้ปราบปรามการต่อต้านจากกลุ่มผู้ภักดีต่อระบอบก๊กมินตั๋งเก่า ใน ค.ศ. 1950 รัฐที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ได้เข้ายึดครองทิเบต |
||
ในคำปราศรัยต่อ[[ระบบคณะทำงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีน|คณะทำงาน]]เตรียมการกำกับดูแลการรณรงค์ใน[[ขบวนการปฏิรูปที่ดิน]]ใน |
ในคำปราศรัยต่อ[[ระบบคณะทำงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีน|คณะทำงาน]]เตรียมการกำกับดูแลการรณรงค์ใน[[ขบวนการปฏิรูปที่ดิน]]ใน ค.ศ. 1951 เติ้งได้กำชับว่าขณะที่คณะทำงานควรช่วยเหลือชาวนาในการดำเนินการ "การต่อสู้ด้วยเหตุผล" ที่ปราศจากความรุนแรง พวกเขายังต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ในฐานะขบวนการประชาชน การปฏิรูปที่ดินมิใช่ช่วงเวลาที่ต้อง "นุ่มนวลละมุนละม่อม" |
||
ในคำกล่าวสุนทรพจน์ปี ค.ศ. 1951 แก่[[ระบบคณะทำงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีน|คณะทำงาน]]ที่เตรียมการกำกับดูแลการรณรงค์ใน[[ขบวนการปฏิรูปที่ดิน]] เติ้งได้กำชับว่าขณะที่คณะทำงานควรช่วยเหลือชาวนาในการดำเนินการ "การต่อสู้ด้วยเหตุผล" ที่ปราศจากความรุนแรง พวกเขายังต้องตระหนักอยู่เสมอว่าในฐานะขบวนการประชาชน การปฏิรูปที่ดินไม่ใช่เวลาที่จะต้อง "นุ่มนวลละมุนละม่อม"<ref>{{Cite book |last=DeMare |first=Brian James |title=Land wars : the story of China's agrarian revolution |url=https://archive.org/details/landwarsstoryofc0000dema |date=2019 |publisher=[[Stanford University Press]] |isbn=978-1-5036-0849-8 |location=Stanford, California |pages=[https://archive.org/details/landwarsstoryofc0000dema/page/n134 117] |oclc=1048940018}}</ref> และได้แสดงความเห็นในลักษณะคำถามเชิงวาทศิลป์ว่า แม้ในอุดมคติแล้วจะไม่มีเจ้าของที่ดินคนใดต้องเสียชีวิตในกระบวนการนี้ "หากเจ้าของที่ดินใจแคบบางคนฆ่าตัวตาย นั่นหมายความว่านโยบายของเรามีปัญหาหรือไม่? เราต้องรับผิดชอบหรือ?"<ref>{{Cite book |last=DeMare |first=Brian James |title=Land wars : the story of China's agrarian revolution |url=https://archive.org/details/landwarsstoryofc0000dema |date=2019 |publisher=[[Stanford University Press]] |isbn=978-1-5036-0849-8 |location=Stanford, California |pages=[https://archive.org/details/landwarsstoryofc0000dema/page/n135 118] |oclc=1048940018}}</ref> |
ในคำกล่าวสุนทรพจน์ปี ค.ศ. 1951 แก่[[ระบบคณะทำงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีน|คณะทำงาน]]ที่เตรียมการกำกับดูแลการรณรงค์ใน[[ขบวนการปฏิรูปที่ดิน]] เติ้งได้กำชับว่าขณะที่คณะทำงานควรช่วยเหลือชาวนาในการดำเนินการ "การต่อสู้ด้วยเหตุผล" ที่ปราศจากความรุนแรง พวกเขายังต้องตระหนักอยู่เสมอว่าในฐานะขบวนการประชาชน การปฏิรูปที่ดินไม่ใช่เวลาที่จะต้อง "นุ่มนวลละมุนละม่อม"<ref>{{Cite book |last=DeMare |first=Brian James |title=Land wars : the story of China's agrarian revolution |url=https://archive.org/details/landwarsstoryofc0000dema |date=2019 |publisher=[[Stanford University Press]] |isbn=978-1-5036-0849-8 |location=Stanford, California |pages=[https://archive.org/details/landwarsstoryofc0000dema/page/n134 117] |oclc=1048940018}}</ref> และได้แสดงความเห็นในลักษณะคำถามเชิงวาทศิลป์ว่า แม้ในอุดมคติแล้วจะไม่มีเจ้าของที่ดินคนใดต้องเสียชีวิตในกระบวนการนี้ "หากเจ้าของที่ดินใจแคบบางคนฆ่าตัวตาย นั่นหมายความว่านโยบายของเรามีปัญหาหรือไม่? เราต้องรับผิดชอบหรือ?"<ref>{{Cite book |last=DeMare |first=Brian James |title=Land wars : the story of China's agrarian revolution |url=https://archive.org/details/landwarsstoryofc0000dema |date=2019 |publisher=[[Stanford University Press]] |isbn=978-1-5036-0849-8 |location=Stanford, California |pages=[https://archive.org/details/landwarsstoryofc0000dema/page/n135 118] |oclc=1048940018}}</ref> |
||
เติ้ง เสี่ยวผิง ใช้เวลาสามปีในเมืองฉงชิ่ง ซึ่งเป็นเมืองที่เขาเคยศึกษาเล่าเรียนในช่วงวัยรุ่นก่อนที่จะเดินทางไปศึกษาต่อยังประเทศฝรั่งเศส ใน |
เติ้ง เสี่ยวผิง ใช้เวลาสามปีในเมืองฉงชิ่ง ซึ่งเป็นเมืองที่เขาเคยศึกษาเล่าเรียนในช่วงวัยรุ่นก่อนที่จะเดินทางไปศึกษาต่อยังประเทศฝรั่งเศส ใน ค.ศ. 1951 เขาได้ย้ายไปปักกิ่ง และดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในรัฐบาลกลาง |
||
=== การขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองในปักกิ่ง === |
=== การขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองในปักกิ่ง === |
||
{{Main|ขบวนการต่อต้านฝ่ายขวา|การก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า}} |
{{Main|ขบวนการต่อต้านฝ่ายขวา|การก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า}} |
||
[[File:Dalai-dengxiaoping1954.jpg|thumb|เติ้ง เสี่ยวผิง (ซ้าย) พบกับองค์[[ทะไลลามะที่ 14]] (ขวา) ใน |
[[File:Dalai-dengxiaoping1954.jpg|thumb|เติ้ง เสี่ยวผิง (ซ้าย) พบกับองค์[[ทะไลลามะที่ 14]] (ขวา) ใน ค.ศ. 1954]] |
||
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1952 เติ้งเดินทางมายังกรุงปักกิ่งเพื่อเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรองประธานคณะกรรมการการเงิน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้อำนวยการสำนักสื่อสาร ใน |
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1952 เติ้งเดินทางมายังกรุงปักกิ่งเพื่อเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรองประธานคณะกรรมการการเงิน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้อำนวยการสำนักสื่อสาร ใน ค.ศ. 1954 เขาถูกปลดจากตำแหน่งดังกล่าวทั้งหมด เหลือเพียงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ใน ค.ศ. 1956 เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายองค์กรของพรรคคอมมิวนิสต์ และสมาชิก[[คณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง (จีน)|คณะกรรมการการทหารส่วนกลาง]] |
||
หลังจากให้การสนับสนุนเหมา |
หลังจากให้การสนับสนุนเหมาอย่างเป็นทางการในการ[[ขบวนต่อต้านฝ่ายขวา]]ใน ค.ศ. 1957 เติ้งก็ได้รับตำแหน่งเลขาธิการ[[สำนักงานเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน|สำนักเลขาธิการ]] และรับผิดชอบการบริหารกิจการประจำวันของประเทศร่วมกับประธานาธิบดี[[หลิว เช่าฉี]] และนายกรัฐมนตรี[[โจว เอินไหล]] นโยบายของเติ้งและหลิวมุ่งเน้นไปที่เศรษฐกิจมากกว่าอุดมการณ์ เป็นการเบี่ยงเบนจากความกระตือรือร้นอันมหาศาลของนโยบายก้าวกระโดดไกลไปโดยปริยาย ทั้งหลิวและเติ้งต่างให้การสนับสนุนเหมาในการรณรงค์ครั้งใหญ่ในคริสต์ทศวรรษ 1950 ซึ่งทั้งสองได้ร่วมกันโจมตีชนชั้นกลางและทุนนิยม และส่งเสริมอุดมการณ์ของเหมา<ref name=":3">{{Cite web |title=The Man Who Re-Invented China |url=https://origins.osu.edu/review/man-who-re-invented-china |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20190725131635/https://origins.osu.edu/review/man-who-re-invented-china |archive-date=25 July 2019 |access-date=27 July 2019 |website=origins.osu.edu|date=17 September 2012 }}</ref> อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวของนโยบาย[[การก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า|ก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า]]ได้ถูกมองว่าเป็นการตำหนิความสามารถในการบริหารจัดการเศรษฐกิจของเหมา [[เผิง เต๋อหวย]]เริ่มวิพากษ์วิจารณ์เหมาอย่างเปิดเผย ขณะที่หลิวและเติ้งยังคงสงวนท่าทีที่ระมัดระวังมากขึ้น และในที่สุดก็เข้ามารับผิดชอบนโยบายเศรษฐกิจเมื่อเหมาเลิกยุ่งเกี่ยวกับกิจการประจำวันของพรรคและประเทศ เหมาเหมาตกลงที่จะสละตำแหน่งประธานาธิบดี (ตำแหน่ง[[ประมุขแห่งรัฐ]]โดยนิตินัย) ให้แก่หลิว ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำพรรคและกองทัพไว้ |
||
ใน |
ใน ค.ศ. 1955 เติ้งได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้มีสิทธิ์รับยศ[[จอมพลแห่งกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน]] แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้รับยศดังกล่าว |
||
ใน[[การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 8|การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 8]] ใน |
ใน[[การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 8|การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 8]] ใน ค.ศ. 1956 เติ้งได้สนับสนุนให้มีการลบข้อความที่อ้างถึง "ความคิดของเหมา เจ๋อตง" ออกจากข้อบังคับของพรรคทั้งหมด<ref name="jac" /> |
||
ใน |
ใน ค.ศ. 1963 เติ้งได้เดินทางไปยังกรุงมอสโกเพื่อเป็นประธานในการประชุมคณะผู้แทนจากประเทศจีนกับ[[นีกีตา ครุชชอฟ]] ผู้สืบทอดอำนาจของ[[โจเซฟ สตาลิน|สตาลิน]] ความสัมพันธ์ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสหภาพโซเวียตนั้นเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การถึงแก่อสัญกรรมของสตาลิน ภายหลังการประชุมครั้งนี้ ผลการเจรจาไม่เป็นผลสำเร็จ และ[[ความแตกแยกระหว่างจีน–โซเวียต|ความแตกแยกระหว่างจีนกับโซเวียต]]ก็ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจคอมมิวนิสต์ทั้งสองในยุคนั้นหยุดชะงักลงเกือบทั้งหมด<ref>Jacques Guillermaz, ''The Chinese Communist Party in Power, 1949–1976'' (1976) pp. 320–331.</ref> |
||
ภายหลัง[[การประชุมคณะทำงาน 7,000 คน]]ใน |
ภายหลัง[[การประชุมคณะทำงาน 7,000 คน]]ใน ค.ศ. 1962 การปฏิรูปเศรษฐกิจของหลิวและเติ้งในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และได้ฟื้นฟูสถาบันทางเศรษฐกิจหลายแห่งที่ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้ในช่วงการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า<ref name=":3" /> เหมาเริ่มรู้สึกว่าตนเองจะสูญเสียอำนาจ จึงได้ดำเนินการเพื่อยึดอำนาจการปกครองประเทศกลับคืนมา เหมาได้อ้างถึงจิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติของตนและริเริ่มการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปร่วมกันขจัดกลุ่มทุนนิยมขวาจัดที่ได้ "แทรกซึมเข้าสู่พรรค" เติ้งถูกเย้ยหยันว่าเป็น "[[ผู้สนับสนุนทุนนิยม]]หมายเลขสอง"<ref>{{Cite book |last=Henry He |url=https://books.google.com/books?id=YCm3DAAAQBAJ&pg=PT713 |title=Dictionary of the Political Thought of the People's Republic of China |publisher=Taylor & Francis |year=2016 |isbn=9781315500430 |page=713 |access-date=3 October 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20210308070316/https://books.google.com/books?id=YCm3DAAAQBAJ&pg=PT713 |archive-date=8 March 2021 |url-status=live}}</ref> |
||
เติ้งเป็นหนึ่งในผู้ร่างหลักแผนพัฒนาเศรษฐกิจ (แผนห้าปี) ฉบับที่สาม<ref name=":05">{{Cite book |last=Meyskens |first=Covell F. |url= |title=Mao's Third Front: The Militarization of Cold War China |date=2020 |publisher=[[Cambridge University Press]] |isbn=978-1-108-78478-8 |location=Cambridge, United Kingdom |doi=10.1017/9781108784788 |oclc=1145096137 |s2cid=218936313}}</ref>{{Rp|page=29}} ในร่างฉบับดังกล่าวได้เน้นย้ำถึงการมุ่งเน้นผู้บริโภค และการพัฒนาเมืองชายฝั่งที่มีอุตสาหกรรมของจีนอย่างต่อเนื่อง<ref name=":05" />{{Rp|page=7}} เมื่อเหมาได้เสนอแนวคิดการรณรงค์ครั้งใหญ่เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมพื้นฐานและความมั่นคงของชาติภายในประเทศจีนในฐานะ[[แนวรบที่สาม]]เพื่อเตรียมรับมือกับการรุกรานที่อาจเกิดขึ้นจากสหรัฐหรือสหภาพโซเวียต เติ้งก็เป็นหนึ่งในผู้นำคนสำคัญที่คัดค้านแนวคิดดังกล่าว<ref name=":05" />{{Rp|page=7}} ภายหลัง[[อุบัติการณ์อ่าวตังเกี๋ย]]ซึ่งก่อให้เกิดความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการถูกสหรัฐโจมตี เติ้งและผู้นำระดับสูงคนอื่น ๆ จึงได้ให้การสนับสนุนการก่อสร้างแนวรบที่สามอย่างเต็มที่ และได้มีการปรับเปลี่ยนจุดเน้นของแผนห้าปีมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ<ref name=":05" />{{Rp|page=7}} |
เติ้งเป็นหนึ่งในผู้ร่างหลักแผนพัฒนาเศรษฐกิจ (แผนห้าปี) ฉบับที่สาม<ref name=":05">{{Cite book |last=Meyskens |first=Covell F. |url= |title=Mao's Third Front: The Militarization of Cold War China |date=2020 |publisher=[[Cambridge University Press]] |isbn=978-1-108-78478-8 |location=Cambridge, United Kingdom |doi=10.1017/9781108784788 |oclc=1145096137 |s2cid=218936313}}</ref>{{Rp|page=29}} ในร่างฉบับดังกล่าวได้เน้นย้ำถึงการมุ่งเน้นผู้บริโภค และการพัฒนาเมืองชายฝั่งที่มีอุตสาหกรรมของจีนอย่างต่อเนื่อง<ref name=":05" />{{Rp|page=7}} เมื่อเหมาได้เสนอแนวคิดการรณรงค์ครั้งใหญ่เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมพื้นฐานและความมั่นคงของชาติภายในประเทศจีนในฐานะ[[แนวรบที่สาม]]เพื่อเตรียมรับมือกับการรุกรานที่อาจเกิดขึ้นจากสหรัฐหรือสหภาพโซเวียต เติ้งก็เป็นหนึ่งในผู้นำคนสำคัญที่คัดค้านแนวคิดดังกล่าว<ref name=":05" />{{Rp|page=7}} ภายหลัง[[อุบัติการณ์อ่าวตังเกี๋ย]]ซึ่งก่อให้เกิดความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการถูกสหรัฐโจมตี เติ้งและผู้นำระดับสูงคนอื่น ๆ จึงได้ให้การสนับสนุนการก่อสร้างแนวรบที่สามอย่างเต็มที่ และได้มีการปรับเปลี่ยนจุดเน้นของแผนห้าปีมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ<ref name=":05" />{{Rp|page=7}} |
||
บรรทัด 219: | บรรทัด 219: | ||
==== การปฏิวัติทางวัฒนธรรม ==== |
==== การปฏิวัติทางวัฒนธรรม ==== |
||
[[File:Zhou Li Deng.jpg|thumb|left|เติ้ง เสี่ยวผิง (ซ้าย) กับ[[หลี่ เซียนเนี่ยน]] (กลาง) และนายกรัฐมนตรี[[โจว เอินไหล]] ในปี ค.ศ. 1963]] |
[[File:Zhou Li Deng.jpg|thumb|left|เติ้ง เสี่ยวผิง (ซ้าย) กับ[[หลี่ เซียนเนี่ยน]] (กลาง) และนายกรัฐมนตรี[[โจว เอินไหล]] ในปี ค.ศ. 1963]] |
||
เหมามีความกังวลว่านโยบาย[[ลัทธิปฏิรูป|ปฏิรูป]]เศรษฐกิจของเติ้งและหลิวอาจนำไปสู่การฟื้นระบบทุนนิยมและเป็นอันสิ้นสุดการปฏิวัติจีน<ref name="autogenerated1">{{Cite news |last=Minqi Li |date=December 2008 |title=Socialism, capitalism, and class struggle: The Political economy of Modern china |work=Economic & Political Weekly}}</ref> ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นและเหตุผลอื่น ๆ เหมาจึงได้ริเริ่มการปฏิวัติทางวัฒนธรรมใน |
เหมามีความกังวลว่านโยบาย[[ลัทธิปฏิรูป|ปฏิรูป]]เศรษฐกิจของเติ้งและหลิวอาจนำไปสู่การฟื้นระบบทุนนิยมและเป็นอันสิ้นสุดการปฏิวัติจีน<ref name="autogenerated1">{{Cite news |last=Minqi Li |date=December 2008 |title=Socialism, capitalism, and class struggle: The Political economy of Modern china |work=Economic & Political Weekly}}</ref> ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นและเหตุผลอื่น ๆ เหมาจึงได้ริเริ่มการปฏิวัติทางวัฒนธรรมใน ค.ศ. 1976 ซึ่งส่งผลให้เติ้งไม่ได้รัยความไว้วางใจและถูกบังคับให้ลาออกจากตำแหน่งทั้งหมด |
||
ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เขาและครอบครัวตกเป็นเป้าโจมตีของ[[ยุวชนแดง]] ซึ่งได้จับกุมเติ้ง ผู่ฟาง บุตรชายคนโตของเติ้งไว้ เติ้ง ผู่ฟางถูกทรมานและถูกโยนออกจากหน้าต่างอาคารสูงสี่ชั้นใน |
ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เขาและครอบครัวตกเป็นเป้าโจมตีของ[[ยุวชนแดง]] ซึ่งได้จับกุมเติ้ง ผู่ฟาง บุตรชายคนโตของเติ้งไว้ เติ้ง ผู่ฟางถูกทรมานและถูกโยนออกจากหน้าต่างอาคารสูงสี่ชั้นใน ค.ศ. 1968 ทำให้เขาเป็น[[อัมพาตครึ่งล่าง]] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1969 เติ้ง เสี่ยวผิงถูกส่งไปใช้แรงงานที่โรงงานรถแทรกเตอร์อำเภอซินเจียน ในเขตชนบทของมณฑลเจียงซี<ref>{{Cite journal |last=Shambaugh |first=David |date=1993 |title=Deng Xiaoping: The Politician |url=https://www.jstor.org/stable/654098 |journal=[[The China Quarterly]] |volume=135 |issue=135 |pages=457–490 |doi=10.1017/S0305741000013874 |issn=0305-7410 |jstor=654098 |s2cid=154440131 |access-date=23 February 2023 |url-access=subscription |archive-date=23 February 2023 |archive-url=https://web.archive.org/web/20230223193853/https://www.jstor.org/stable/654098 |url-status=live }}</ref>{{rp|466}} ในช่วงสี่ปีที่นั่น<ref>{{Cite news |date=26 July 2004 |title=Film makers flock to tractor factory to shoot Deng's stories |publisher=News Guandong |url=http://www.newsgd.com/specials/deng100thbirthanniversary/newspictures/200407280046.htm |url-status=live |access-date=18 February 2011 |archive-url=https://web.archive.org/web/20180917215515/http://www.newsgd.com/specials/deng100thbirthanniversary/newspictures/200407280046.htm |archive-date=17 September 2018}}</ref> เติ้งใช้เวลาว่างไปกับการเขียนหนังสือ เขาถูกกวาดล้างในระดับประเทศ แต่ในระดับน้อยกว่าประธานาธิบดี[[หลิว เช่าฉี]] |
||
ใน |
ใน ค.ศ. 1971 [[หลิน เปียว]] ผู้สืบทอดตำแหน่งอย่างเป็นทางการคนที่สองของเหมาและรองประธานพรรคเพียงคนเดียวได้เสียชีวิตจาก[[เหตุการณ์หลิน เปียว|อุบัติเหตุเครื่องบินตก]] ตามรายงานอย่างเป็นทางการ หลินพยายามหลบหนีออกจากประเทศจีนหลังจากการก่อรัฐประหารเพื่อโค่นล้มเหมาล้มเหลว เหมาได้สั่งกวาดล้างพันธมิตรของหลินทั้งหมด ซึ่งดำรงตำแหน่งระดับสูงเกือบทั้งหมดในกองทัพปลดปล่อยประชาชน ทำให้เติ้ง (ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการทางการเมืองของกองทัพภาคสนามที่ 2 ในช่วงสงครามกลางเมือง) กลายเป็นผู้นำกองทัพที่มีอิทธิพลมากที่สุด<ref name="autogenerated1" /> ในเวลาต่อมา เติ้งได้เขียนจดหมายถึงเหมาถึงสองครั้งเพื่อแสดงความสำนึกผิดจากเหตุการณ์หลิน เปียว ยอมรับว่าตนเองมี "แนวโน้มทุนนิยม" และไม่ได้ "ยึดมั่นในความคิดของเหมา เจ๋อตง" อย่างแน่วแน่ พร้อมทั้งแสดงเจตจำนงที่จะกลับเข้ามารับใช้พรรคเพื่อชดเชยความผิดพลาดที่ได้กระทำไป<ref name="Yan1996">{{Cite book |last=Yan |first=Jiaqi |url=https://www.degruyter.com/document/doi/10.1515/9780824865313/html |title=Turbulent decade : a history of the cultural revolution |date=1996 |publisher=[[University of Hawaii Press]] |isbn=9780824865313 |editor-last=Kwok |editor-first=Daniel W. Y. |location=[[Honolulu]] |doi=10.1515/9780824865313 |author-link=Yan Jiaqi |access-date=23 February 2023}}</ref>{{rp|454}} นายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล เคยเป็นผู้สืบทอดอำนาจคนที่สามของเหมา แต่ต่อมาประสบปัญหาสุขภาพด้วยโรคมะเร็ง จึงเลือกเติ้งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1976 เติ้งได้เดินทางกลับมายังกรุงปักกิ่ง หลังจากที่โจวได้เชิญตัวกลับจากการถูกเนรเทศเพื่อให้กลับมามีบทบาทในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจีน<ref>{{Cite book |last=Wood |first=Michael |url=https://books.google.com/books?id=wrueDwAAQBAJ&pg=PT341 |title=The Story of China: A portrait of a civilisation and its people |date=3 September 2020 |publisher=Simon & Schuster UK |isbn=978-1-4711-7600-5 |pages=341 |quote=In 1973, Premier Zhou Enlai had brought Deng back to Beijing from exile to focus on reconstructing the Chinese economy. |access-date=18 November 2021 |archive-url=https://web.archive.org/web/20211118180611/https://books.google.com/books?id=wrueDwAAQBAJ&pg=PT341 |archive-date=18 November 2021 |url-status=live}}</ref><ref name="Yan1996" />{{rp|455}} โจวสามารถโน้มน้าวเหมาให้นำเติ้งกลับเข้ามามีบทบาททางการเมืองอีกครั้งในตำแหน่ง[[รองนายกรัฐมนตรีจีน|รองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง]]ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1974 ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วจะผู้ดูแลกิจการประจำวัน<ref>{{Cite book |last=Dillon |first=Michael |url=https://books.google.com/books?id=qBGMDwAAQBAJ&pg=PA201 |title=Deng Xiaoping: The Man who Made Modern China |date=27 October 2014 |publisher=Bloomsbury Publishing |isbn=978-0-85772-467-0 |pages=201 |quote=A major confrontation erupted on 4 October 1974 when Mao agreed, on the advice of Zhou Enlai, that Deng should be appointed first deputy premier of the State Council. |access-date=18 November 2021 |archive-url=https://web.archive.org/web/20211118180612/https://books.google.com/books?id=qBGMDwAAQBAJ&pg=PA201 |archive-date=18 November 2021 |url-status=live}}</ref> อย่างไรก็ตาม เขายังคงระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งกับอุดมการณ์ลัทธิเหมาบนเอกสาร ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1975 [[คณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 10|คณะกรรมาธิการกลางพรรคชุดที่ 10]] ได้มีมติเลือกเติ้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานพรรคเป็นครั้งแรกในชีวิตทางการเมือง ทำให้[[หลี่ เต๋อเชิง]]จำต้องลาออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้ เติ้งเป็นหนึ่งในรองประธานทั้งห้าคน โดยมีโจวเป็นรองประธานคนแรก |
||
[[File:Gerald and Betty Ford meet with Deng Xiaoping, 1975 A7598-20A.jpg|thumb|เติ้ง เสี่ยวผิง (กลาง) กับ[[เจอรัลด์ ฟอร์ด]] ประธานาธิบดีสหรัฐ (ซ้าย) ค.ศ. 1975]] |
[[File:Gerald and Betty Ford meet with Deng Xiaoping, 1975 A7598-20A.jpg|thumb|เติ้ง เสี่ยวผิง (กลาง) กับ[[เจอรัลด์ ฟอร์ด]] ประธานาธิบดีสหรัฐ (ซ้าย) ค.ศ. 1975]] |
||
ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดในระยะเวลาอันสั้นใน |
ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดในระยะเวลาอันสั้นใน ค.ศ. 1973 เติ้งได้จัดตั้งสำนักวิจัยการเมืองขึ้น โดยมีปัญญาชน อาทิ [[หู เฉียวมู่]] [[ยฺหวี กวาง-ยฺเหวี่ยน]] และ[[หู เฉิง]] เป็นหัวหน้า มีหน้าที่ในการศึกษาค้นคว้าแนวทางปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจ เขาเป็นผู้นำกลุ่มด้วยตนเองและบริหารโครงการภายใน[[คณะมนตรีรัฐกิจสาธารณรัฐประชาชนจีน|คณะรัฐมนตรี]] เพื่อป้องกันไม่ให้[[แก๊งออฟโฟร์]]เกิดความสงสัย |
||
ใน |
ใน ค.ศ. 1975 เติ้งมุ่งมั่นที่จะปรับเปลี่ยนทิศทางการดำเนินงานของ[[สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีน]]ให้หันมาให้ความสำคัญกับการวิจัยเชิงทฤษฎีมากขึ้น ซึ่งเป็นด้านที่ถูกละเลยไปในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม<ref name=":022">{{Cite book |last=Minami |first=Kazushi |title=People's Diplomacy: How Americans and Chinese Transformed US-China Relations during the Cold War |date=2024 |publisher=[[Cornell University Press]] |isbn=9781501774157 |location=Ithaca, NY}}</ref>{{Rp|page=74}} เติ้งกล่าวว่าการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในจีนนั้นล้าหลังเมื่อเทียบกับความต้องการในการสร้างสังคมนิยมและสถานะของประเทศที่พัฒนาแล้ว และได้กล่าวเพิ่มเติมว่าเพื่อให้ทันต่อความต้องการ จีนควรให้ความสำคัญกับ[[การวิจัย|วิทยาศาตร์ขั้นพื้นฐาน]]เพื่อสร้างรากฐานทางทฤษฎีที่มั่นคง<ref name=":022" />{{Rp|page=74}} แม้ว่าแนวทางนี้จะขาดความนิยมทางการเมืองในช่วงที่เติ้งถูกกวาดล้าง แต่แนวทางของเติ้งในการสร้างสมดุลระหว่างการวิจัย[[วิทยาศาสตร์ประยุกต์|ประยุกต์]]และการวิจัยพื้นฐานก็ได้รับการยอมรับให้เป็นนโยบายอย่างเป็นทางการของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีน (CAS) ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1977<ref name=":022" />{{Rp|page=75}} |
||
การปฏิวัติทางวัฒนธรรมยังคงดำเนินอยู่ และกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายหัวรุนแรงที่รู้จักกันในนาม "[[แก๊งออฟโฟร์]]" ที่นำโดยนาง[[เจียง ชิง]] ภริยาของเหมา ก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแย่งชิงอำนาจภายในพรรค กลุ่มดังกล่าวมองว่าเติ้งเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการชิงอำนาจขิงพวกเขา<ref>{{Cite web |title=Deng Rong's Memoirs: Chpt 49 |url=http://www.ls11.com/Article/jglx/gjjz/200408/4910.html |url-status=dead |archive-url=https://web.archive.org/web/20081227130702/http://www.ls11.com/Article/jglx/gjjz/200408/4910.html |archive-date=27 December 2008}}</ref> เหมาเองก็สงสัยว่าเติ้งจะทำลายภาพลักษณ์เชิงบวกของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งเหมามองว่าเป็นหนึ่งในนโยบายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตน ตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 1975 เป็นต้นมา เติ้งได้รับคำสั่งให้เขียนคำ[[การวิจารณ์ตนเอง (ลัทธิมากซ์–เลนิน)|วิจารณ์ตนเอง]]หลายฉบับ แม้เขาจะยอมรับว่าได้ยึดมั่นใน "แนวคิดอุดมการณ์ที่ไม่เหมาะสม" ในการปฏิบัติงานด้านกิจการของประเทศและพรรค แต่ก็ยังลังเลที่จะยอมรับว่านโยบายของตนนั้นผิดพลาดในสาระสำคัญ ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเขากับแก๊งออฟโฟ์นั้นชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเหมาก็ดูเหมือนจะเอนเอียงไปทางกลุ่มนั้น เหมาปฏิเสธที่จะยอมรับคำวิจารณ์ตนเองของเติ้ง และได้ขอให้คณะกรรมาธิการกลางพรรคดำเนินการ "พิจารณาข้อผิดพลาดของเติ้งอย่างละเอียด" |
การปฏิวัติทางวัฒนธรรมยังคงดำเนินอยู่ และกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายหัวรุนแรงที่รู้จักกันในนาม "[[แก๊งออฟโฟร์]]" ที่นำโดยนาง[[เจียง ชิง]] ภริยาของเหมา ก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแย่งชิงอำนาจภายในพรรค กลุ่มดังกล่าวมองว่าเติ้งเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการชิงอำนาจขิงพวกเขา<ref>{{Cite web |title=Deng Rong's Memoirs: Chpt 49 |url=http://www.ls11.com/Article/jglx/gjjz/200408/4910.html |url-status=dead |archive-url=https://web.archive.org/web/20081227130702/http://www.ls11.com/Article/jglx/gjjz/200408/4910.html |archive-date=27 December 2008}}</ref> เหมาเองก็สงสัยว่าเติ้งจะทำลายภาพลักษณ์เชิงบวกของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งเหมามองว่าเป็นหนึ่งในนโยบายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตน ตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 1975 เป็นต้นมา เติ้งได้รับคำสั่งให้เขียนคำ[[การวิจารณ์ตนเอง (ลัทธิมากซ์–เลนิน)|วิจารณ์ตนเอง]]หลายฉบับ แม้เขาจะยอมรับว่าได้ยึดมั่นใน "แนวคิดอุดมการณ์ที่ไม่เหมาะสม" ในการปฏิบัติงานด้านกิจการของประเทศและพรรค แต่ก็ยังลังเลที่จะยอมรับว่านโยบายของตนนั้นผิดพลาดในสาระสำคัญ ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเขากับแก๊งออฟโฟ์นั้นชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเหมาก็ดูเหมือนจะเอนเอียงไปทางกลุ่มนั้น เหมาปฏิเสธที่จะยอมรับคำวิจารณ์ตนเองของเติ้ง และได้ขอให้คณะกรรมาธิการกลางพรรคดำเนินการ "พิจารณาข้อผิดพลาดของเติ้งอย่างละเอียด" |
||
บรรทัด 248: | บรรทัด 248: | ||
ภายหลังการถึงแก่อสัญกรรมของเหมาในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1976 และการกวาดล้างแก๊งออฟโฟร์ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน นายกรัฐมนตรี[[ฮฺว่า กั๋วเฟิง]]ได้เข้าดำรงตำแหน่ง[[ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน]] และค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของจีน ก่อนการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา ตำแหน่งในรัฐบาลเพียงตำแหน่งเดียวเดียวที่เติ้งดำรงอยู่คือรองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง<ref>1975–1976 and 1977–1980, Europa Publications (2002) "The People's Republic of Chine: Introductory Survey" ''The Europa World Year Book 2003'' volume 1, (44th edition) Europa Publications, London, p. 1075, col. 1, {{ISBN|1-85743-227-4}}; and Bo, Zhiyue (2007) ''China's Elite Politics: Political Transition and Power Balancing'' World Scientific, Hackensack, New Jersey, p. 59, {{ISBN|981-270-041-2}}</ref> อย่างไรก็ดี ฮฺว่า กั๋วเฟิงต้องการจะขจัดกลุ่มหัวรุนแรงออกจากพรรค และขับไล่แก๊งออฟโฟร์ออกไปได้สำเร็จ วันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1977 เติ้งได้รับการแต่งตั้งกลับคืนสู่ตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน รองประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง และประธานคณะเสนาธิการกองทัพปลดปล่อยประชาชน<ref>{{Cite news |date=22 July 1977 |title=1977: Deng Xiaoping back in power |work=BBC News |url=http://news.bbc.co.uk/onthisday/hi/dates/stories/july/22/newsid_2516000/2516339.stm |url-status=live |access-date=21 July 2011 |archive-url=https://web.archive.org/web/20170728025020/http://news.bbc.co.uk/onthisday/hi/dates/stories/july/22/newsid_2516000/2516339.stm |archive-date=28 July 2017}}</ref> |
ภายหลังการถึงแก่อสัญกรรมของเหมาในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1976 และการกวาดล้างแก๊งออฟโฟร์ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน นายกรัฐมนตรี[[ฮฺว่า กั๋วเฟิง]]ได้เข้าดำรงตำแหน่ง[[ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน]] และค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของจีน ก่อนการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา ตำแหน่งในรัฐบาลเพียงตำแหน่งเดียวเดียวที่เติ้งดำรงอยู่คือรองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง<ref>1975–1976 and 1977–1980, Europa Publications (2002) "The People's Republic of Chine: Introductory Survey" ''The Europa World Year Book 2003'' volume 1, (44th edition) Europa Publications, London, p. 1075, col. 1, {{ISBN|1-85743-227-4}}; and Bo, Zhiyue (2007) ''China's Elite Politics: Political Transition and Power Balancing'' World Scientific, Hackensack, New Jersey, p. 59, {{ISBN|981-270-041-2}}</ref> อย่างไรก็ดี ฮฺว่า กั๋วเฟิงต้องการจะขจัดกลุ่มหัวรุนแรงออกจากพรรค และขับไล่แก๊งออฟโฟร์ออกไปได้สำเร็จ วันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1977 เติ้งได้รับการแต่งตั้งกลับคืนสู่ตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน รองประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง และประธานคณะเสนาธิการกองทัพปลดปล่อยประชาชน<ref>{{Cite news |date=22 July 1977 |title=1977: Deng Xiaoping back in power |work=BBC News |url=http://news.bbc.co.uk/onthisday/hi/dates/stories/july/22/newsid_2516000/2516339.stm |url-status=live |access-date=21 July 2011 |archive-url=https://web.archive.org/web/20170728025020/http://news.bbc.co.uk/onthisday/hi/dates/stories/july/22/newsid_2516000/2516339.stm |archive-date=28 July 2017}}</ref> |
||
ด้วยการระดมกำลังสนับสนุนจากพรรคอย่างรอบคอบ เติ้งจึงสามารถเอาชนะฮฺว่า ผู้ซึ่งเคยอภัยโทษให้แก่ตนได้ และได้ขับไล่ฮฺว่าออกจากตำแหน่งผู้นำสูงสุดภายใน |
ด้วยการระดมกำลังสนับสนุนจากพรรคอย่างรอบคอบ เติ้งจึงสามารถเอาชนะฮฺว่า ผู้ซึ่งเคยอภัยโทษให้แก่ตนได้ และได้ขับไล่ฮฺว่าออกจากตำแหน่งผู้นำสูงสุดภายใน ค.ศ. 1980 แตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงผู้นำในครั้งก่อน เติ้งอนุญาตให้ฮฺว่าคงสถานะเป็นสมาชิกคณะกรรมธิการกลางและเกษียณอายุอย่างเงียบ ๆ ซึ่งเป็นการวางบรรทัดฐานใหม่ที่แสดงให้เห็นว่าการพ่ายแพ้ในการต่อสู้เพื่ออำนาจในระดับสูงจะไม่นำมาซึ่งอันตรายทางกาย |
||
ในช่วงที่เติ้งเป็นผู้นำสูงสุด เขาดำรงตำแหน่ง[[ประธานสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีน]]ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1978 ถึง 1983 และ[[ประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง (จีน)|ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง]] (หน่วยงานเฉพาะกิจที่ประกอบด้วยสมาชิกระดับสูงที่สุดของพรรค) ของสาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1983 ถึง 1990 ในขณะที่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการในพรรคของเขาคือ[[รองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน]]ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1977 ถึง 1982 ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 ถึง 1989 และประธาน[[คณะกรรมการที่ปรึกษาส่วนกลาง]]ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1982 ถึง 1987 ใน |
ในช่วงที่เติ้งเป็นผู้นำสูงสุด เขาดำรงตำแหน่ง[[ประธานสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีน]]ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1978 ถึง 1983 และ[[ประธานคณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง (จีน)|ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง]] (หน่วยงานเฉพาะกิจที่ประกอบด้วยสมาชิกระดับสูงที่สุดของพรรค) ของสาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1983 ถึง 1990 ในขณะที่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการในพรรคของเขาคือ[[รองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน]]ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1977 ถึง 1982 ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 ถึง 1989 และประธาน[[คณะกรรมการที่ปรึกษาส่วนกลาง]]ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1982 ถึง 1987 ใน ค.ศ. 1988 เมื่อกองทัพปลดปล่อยประชาชนได้ฟื้นฟูระบบยศทางทหารขึ้นมาใหม่ เขาได้รับการเสนอยศเป็นพลเอก แต่ก็ได้ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวไปเช่นเดียวกับเมื่อปี ค.ศ. 1955 แม้จะเกษียณจากตำแหน่ง[[คณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีน]]ใน ค.ศ. 1987 และคณะกรรมการทหารส่วนกลางใน ค.ศ. 1989 แต่เติ้งก็ยังคงมีอิทธิพลต่อนโยบายของประเทศจีนอย่างต่อเนื่องกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1997 |
||
การตัดสินใจที่สำคัญมักจะกระทำขึ้น ณ บ้านเลขที่ 11 ซอยหมี่เหลียงกู่ ของเติ้ง โดยมีสมาชิกอาวุโสระดับสูงในพรรคจำนวน 8 คนที่เรียกกันว่า "[[แปดผู้เฒ่า]]" รวมถึง [[เฉิน ยฺหวิน]] และหลี่ เซียนเนี่ยน ร่วมประชุมปรึกษาหารือ<ref>{{cite web |title=百年老胡同米粮库中的那些名人"住客" |url=https://www.visitbeijing.com.cn/article/47QrNuQyRVf |website=visitbeijing.com |publisher=Beijing Tourism Network |access-date=30 April 2023 |archive-date=30 April 2023 |archive-url=https://web.archive.org/web/20230430003858/https://www.visitbeijing.com.cn/article/47QrNuQyRVf |url-status=live }}</ref><ref>{{cite web |title="家庭园艺师"邓小平 |url=http://cpc.people.com.cn/n1/2018/0907/c69113-30278378.html |website=people.com |publisher=People's Daily |access-date=30 August 2024 |archive-date=30 August 2024 |archive-url=https://web.archive.org/web/20240830004907/http://cpc.people.com.cn/n1/2018/0907/c69113-30278378.html |url-status=live }}</ref> แม้เติ้งจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำสูงสุด แต่ในทางปฏิบัติ กลุ่มผู้อาวุโสเหล่านี้จะร่วมกันบริหารประเทศจีนในลักษณะคณะกรรมการขนาดเล็ก<ref name=":26">{{Cite book |last=Ang |first=Yuen Yuen |url=https://archive.org/details/howchinaescapedp0000angy|title=How China Escaped the Poverty Trap |date=2016 |publisher=[[Cornell University Press]] |isbn=978-1-5017-0020-0 |doi= |jstor=10.7591/j.ctt1zgwm1j |author-link=Yuen Yuen Ang}}</ref>{{Rp|page=78}} เติ้งครองอำนาจในฐานะ "ผู้นำสูงสุด" แม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของพรรคก็ตาม และสามารถปลดผู้นำพรรคได้สามคนติดต่อกัน รวมถึงหู เย่าปัง<ref name="scmp20120420xiang">Xiang, Lanxin (20 April 2012). "Bo Xilai probe shows up China's outdated system of government". ''South China Morning Post''</ref> เติ้งลาออกจากตำแหน่งกรรมาธิการกลางพรรค และคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองของพรรค ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางของประเทศและพรรค และยังคงเป็นผู้นำสูงสุดจีนมากกว่าที่จะเป็นเลขาธิการ[[จ้าว จื่อหยาง]] ประธานาธิบดีหลี่ เซียนเนี่ยน และประธานาธิบดี[[หยาง ช่างคุน]] |
การตัดสินใจที่สำคัญมักจะกระทำขึ้น ณ บ้านเลขที่ 11 ซอยหมี่เหลียงกู่ ของเติ้ง โดยมีสมาชิกอาวุโสระดับสูงในพรรคจำนวน 8 คนที่เรียกกันว่า "[[แปดผู้เฒ่า]]" รวมถึง [[เฉิน ยฺหวิน]] และหลี่ เซียนเนี่ยน ร่วมประชุมปรึกษาหารือ<ref>{{cite web |title=百年老胡同米粮库中的那些名人"住客" |url=https://www.visitbeijing.com.cn/article/47QrNuQyRVf |website=visitbeijing.com |publisher=Beijing Tourism Network |access-date=30 April 2023 |archive-date=30 April 2023 |archive-url=https://web.archive.org/web/20230430003858/https://www.visitbeijing.com.cn/article/47QrNuQyRVf |url-status=live }}</ref><ref>{{cite web |title="家庭园艺师"邓小平 |url=http://cpc.people.com.cn/n1/2018/0907/c69113-30278378.html |website=people.com |publisher=People's Daily |access-date=30 August 2024 |archive-date=30 August 2024 |archive-url=https://web.archive.org/web/20240830004907/http://cpc.people.com.cn/n1/2018/0907/c69113-30278378.html |url-status=live }}</ref> แม้เติ้งจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำสูงสุด แต่ในทางปฏิบัติ กลุ่มผู้อาวุโสเหล่านี้จะร่วมกันบริหารประเทศจีนในลักษณะคณะกรรมการขนาดเล็ก<ref name=":26">{{Cite book |last=Ang |first=Yuen Yuen |url=https://archive.org/details/howchinaescapedp0000angy|title=How China Escaped the Poverty Trap |date=2016 |publisher=[[Cornell University Press]] |isbn=978-1-5017-0020-0 |doi= |jstor=10.7591/j.ctt1zgwm1j |author-link=Yuen Yuen Ang}}</ref>{{Rp|page=78}} เติ้งครองอำนาจในฐานะ "ผู้นำสูงสุด" แม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของพรรคก็ตาม และสามารถปลดผู้นำพรรคได้สามคนติดต่อกัน รวมถึงหู เย่าปัง<ref name="scmp20120420xiang">Xiang, Lanxin (20 April 2012). "Bo Xilai probe shows up China's outdated system of government". ''South China Morning Post''</ref> เติ้งลาออกจากตำแหน่งกรรมาธิการกลางพรรค และคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองของพรรค ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางของประเทศและพรรค และยังคงเป็นผู้นำสูงสุดจีนมากกว่าที่จะเป็นเลขาธิการ[[จ้าว จื่อหยาง]] ประธานาธิบดีหลี่ เซียนเนี่ยน และประธานาธิบดี[[หยาง ช่างคุน]] |
||
บรรทัด 257: | บรรทัด 257: | ||
{{Main|ปัวล่วนฝ่านเจิ้ง}} |
{{Main|ปัวล่วนฝ่านเจิ้ง}} |
||
เติ้งได้ปฏิเสธการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และใน |
เติ้งได้ปฏิเสธการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และใน ค.ศ. 1977 ก็ได้ริเริ่ม "[[ฤดูใบไม้ผลิแห่งปักกิ่ง]]" ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์การกระทำที่เกินขอบเขตและความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างเปิดเผย นอกจากนี้ยังได้ฟื้นฟู[[เกาเข่า|การสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับชาติ]] (เกาเข่า) ซึ่งถูกยกเลิกไปเป็นเวลาสิบปีในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ในขณะเดียวกัน เขายังเป็นผู้ผลักดันให้มีการยกเลิกระบบชนชั้น ภายใต้ระบบนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ลบอุปสรรคในการจ้างงานสำหรับชาวจีนที่ถูกระบุว่ามีความเกี่ยวข้องกับชนชั้นเจ้าของที่ดินในอดีต การลบอุปสรรคดังกล่าวเปิดโอกาสให้กลุ่มบุคคลที่สนับสนุนการฟื้นฟูตลาดเอกชนสามารถเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ |
||
เติ้งค่อย ๆ เอาชนะคู่แข่งทางการเมืองของตนอย่างชาญฉลาด ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์การปฏิวัติทางวัฒนธรรมอย่างเปิดเผย เขาได้ลดทอนอำนาจของกลุ่มบุคคลที่ได้รับตำแหน่งทางการเมืองจากเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะเดียวกันก็เสริมสร้างฐานะให้แก่ผู้ที่เคยถูกขับออกจากอำนาจในช่วงเวลานั้นเช่นเดียวกับตนเอง เติ้งยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเป็นจำนวนมาก ขณะที่เติ้งกำลังค่อย ๆ สร้างความมั่นคงในการควบคุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้น ฮฺว่าได้ถูกแทนที่ด้วย[[จ้าว จื่อหยาง]]ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน |
เติ้งค่อย ๆ เอาชนะคู่แข่งทางการเมืองของตนอย่างชาญฉลาด ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์การปฏิวัติทางวัฒนธรรมอย่างเปิดเผย เขาได้ลดทอนอำนาจของกลุ่มบุคคลที่ได้รับตำแหน่งทางการเมืองจากเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะเดียวกันก็เสริมสร้างฐานะให้แก่ผู้ที่เคยถูกขับออกจากอำนาจในช่วงเวลานั้นเช่นเดียวกับตนเอง เติ้งยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเป็นจำนวนมาก ขณะที่เติ้งกำลังค่อย ๆ สร้างความมั่นคงในการควบคุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้น ฮฺว่าได้ถูกแทนที่ด้วย[[จ้าว จื่อหยาง]]ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน ค.ศ. 1980 และโดย[[หู เย่าปัง]]ในตำแหน่งประธานพรรคใน ค.ศ. 1981 แม้ว่าฮฺว่าจะเป็นผู้ที่เหมาไว้วางใจให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำสูงสุดของพรรคและประเทศก็ตาม ในช่วงการขจัดความวุ่นวายและกลับคืนสู่ภาวะปกติ ([[ปัวล่วนฝ่านเจิ้ง]]) การปฏิวัติทางวัฒนธรรมได้ถูกประกาศว่าเป็นโมฆะ และผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของคดีความที่ไม่เป็นธรรมจำนวนกว่า 3 ล้านราย ณ ปี ค.ศ. 1976 ได้รับการฟื้นฟูชื่อเสียงอย่างเป็นทางการ<ref>{{Cite web |title=1989年6月1日 吴林泉、彭飞:胡耀邦同志领导平反"六十一人案"追记-胡耀邦史料信息网 |url=http://www.hybsl.cn/zonghe/xinwen/2008-01-23/7141.html |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20210103094052/http://www.hybsl.cn/zonghe/xinwen/2008-01-23/7141.html |archive-date=3 January 2021 |access-date=29 April 2020 |website=www.hybsl.cn |language=zh}}</ref> |
||
การที่เติ้งก้าวขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของจีนนั้นหมายความว่าประเด็นทางประวัติศาสตร์และอุดมการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเหมา |
การที่เติ้งก้าวขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของจีนนั้นหมายความว่าประเด็นทางประวัติศาสตร์และอุดมการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเหมาจำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม เนื่องจากเติ้งปรารถนาที่จะดำเนินการปฏิรูปครั้งใหญ่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสืบทอดนโยบาย "การต่อสู้ทางชนชั้น" ที่แข็งกร้าว และการรณรงค์ต่อสาธารณะของเหมา ใน ค.ศ. 1982 คณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เผยแพร่เอกสารเรื่อง "ประเด็นทางประวัติศาสตร์ต่างๆ นับตั้งแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน" เหมายังคงรักษาสถานะของตนในฐานะ "มาร์กซิสต์ผู้ยิ่งใหญ่ นักปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ นักการทหาร และนายพลผู้ยิ่งใหญ่" รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บุกเบิกของประเทศและกองทัพปลดปล่อยประชาชนที่ไม่มีใครเทียบได้ เอกสารดังกล่าวระบุว่า "ควรพิจารณาถึงความสำเร็จของเขาก่อนที่จะพิจารณาถึงความผิดพลาด" เติ้งได้ให้ความเห็นส่วนตัวว่าเหมาเป็นคน "ดีเจ็ดส่วน เลวสามส่วน" เอกสารดังกล่าวยังได้เบี่ยงเบนความรับผิดชอบหลักในการปฏิวัติทางวัฒนธรรมออกจากเหมา (แม้จะระบุไว้ว่า "เหมาได้เริ่มต้นปฏิวัติทางวัฒนธรรมโดยเข้าใจผิด") ไปยัง "กลุ่มต่อต้านการปฏิวัติ" อย่างแก๊งออฟโฟร์และหลิน เปียว |
||
=== ความพันธ์ระหว่างประเทศ === |
=== ความพันธ์ระหว่างประเทศ === |
||
บรรทัด 276: | บรรทัด 276: | ||
[[ความสัมพันธ์จีน–ญี่ปุ่น|ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น]]มีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง<ref>(Article 2) "The Contracting Parties declare that neither of them should seek [[hegemony]] in the Asia-Pacific region or in any other region and that each is opposed to efforts by any other country or group of countries to establish such hegemony." [http://www.mofa.go.jp/region/asia-paci/china/treaty78.html MOFA: Treaty of Peace and Friendship between Japan and the People's Republic of China] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20170609105736/http://www.mofa.go.jp/region/asia-paci/china/treaty78.html |date=9 June 2017 }}</ref> เติ้งได้ยกญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างของประเทศที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านเศรษฐกิจให้แก่ประเทศจีน<ref> Perkins, D in Barnett, A Doak and Ralph N Clough, Modernizing China : Post-Mao Reform and Development (Westgview Press, 1986), p 58.</ref> |
[[ความสัมพันธ์จีน–ญี่ปุ่น|ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น]]มีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง<ref>(Article 2) "The Contracting Parties declare that neither of them should seek [[hegemony]] in the Asia-Pacific region or in any other region and that each is opposed to efforts by any other country or group of countries to establish such hegemony." [http://www.mofa.go.jp/region/asia-paci/china/treaty78.html MOFA: Treaty of Peace and Friendship between Japan and the People's Republic of China] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20170609105736/http://www.mofa.go.jp/region/asia-paci/china/treaty78.html |date=9 June 2017 }}</ref> เติ้งได้ยกญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างของประเทศที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านเศรษฐกิจให้แก่ประเทศจีน<ref> Perkins, D in Barnett, A Doak and Ralph N Clough, Modernizing China : Post-Mao Reform and Development (Westgview Press, 1986), p 58.</ref> |
||
ในระยะแรก เติ้งยังคงยึดมั่นในแนวทางลัทธิเหมาในยุคที่[[ความแตกแยกระหว่างจีน–โซเวียต|จีนแตกแยกกับโซเวียต]] ซึ่งมองว่าสหภาพโซเวียตเป็นมหาอำนาจที่มีลักษณะ "ครอบงำ" เช่นเดียวกับสหรัฐ แต่เป็นภัยคุกคามต่อจีนมากกว่าเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้ชิด<ref>Michael E. Marti in ''China and the Legacy of Deng Xiaoping'', (Brassy's, 2002) p. 19.</ref> ความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตเป็นไปในทางที่ดีขึ้นภายหลังจากที่[[มีฮาอิล กอร์บาชอฟ]]ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำใน |
ในระยะแรก เติ้งยังคงยึดมั่นในแนวทางลัทธิเหมาในยุคที่[[ความแตกแยกระหว่างจีน–โซเวียต|จีนแตกแยกกับโซเวียต]] ซึ่งมองว่าสหภาพโซเวียตเป็นมหาอำนาจที่มีลักษณะ "ครอบงำ" เช่นเดียวกับสหรัฐ แต่เป็นภัยคุกคามต่อจีนมากกว่าเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้ชิด<ref>Michael E. Marti in ''China and the Legacy of Deng Xiaoping'', (Brassy's, 2002) p. 19.</ref> ความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตเป็นไปในทางที่ดีขึ้นภายหลังจากที่[[มีฮาอิล กอร์บาชอฟ]]ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำใน ค.ศ. 1985 และในที่สุดความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างทั้งสองประเทศก็ได้รับการฟื้นฟูอย่างเป็นทางการใน[[การประชุมสุดยอดจีน–โซเวียต ค.ศ. 1989|การประชุมสุดยอดจีน–โซเวียตใน ค.ศ. 1989]]<ref>{{Cite news |last=Parks |first=Michael |date=15 May 1989 |title=Gorbachev in China: The Communist Summit: Deng and Gorbachev: Great Reformers Battling Socialist Crises |work=Los Angeles Times |url=https://www.latimes.com/archives/la-xpm-1989-05-15-mn-141-story.html |url-status=live |access-date=8 March 2020 |archive-url=https://web.archive.org/web/20200729224552/https://www.latimes.com/archives/la-xpm-1989-05-15-mn-141-story.html |archive-date=29 July 2020}}</ref> |
||
เติ้งตอบโต้การคว่ำบาตรของชาติตะวันตกหลังจากการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินโดยการนำ "หลักการยี่สิบสี่อักษร" มาใช้ในการดำเนินกิจการระหว่างประเทศของจีน ซึ่งมีใจความสำคัญคือ สังเกตสถานการณ์อย่างรอบคอบ (冷静观察), รักษาจุดยืนของชาติ (稳住阵脚), รับมือความท้าทายอย่างสงบ (沉着应付), ซ่อนศักยภาพของประเทศและคอยโอกาสที่เหมาะสม (韬光养晦), ทำตัวให้ต่ำต้อย (善于守拙) และเลี่ยงการแสดงบทบาทผู้นำ (绝不当头)<ref>{{Cite book |last=Zhao |first=Suisheng |url=https://www.worldcat.org/oclc/1332788951 |title=The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy |date=2023 |publisher=[[Stanford University Press]] |isbn=978-1-5036-3415-2 |location=Stanford, California |pages=62 |oclc=1332788951}}</ref> |
เติ้งตอบโต้การคว่ำบาตรของชาติตะวันตกหลังจากการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินโดยการนำ "หลักการยี่สิบสี่อักษร" มาใช้ในการดำเนินกิจการระหว่างประเทศของจีน ซึ่งมีใจความสำคัญคือ สังเกตสถานการณ์อย่างรอบคอบ (冷静观察), รักษาจุดยืนของชาติ (稳住阵脚), รับมือความท้าทายอย่างสงบ (沉着应付), ซ่อนศักยภาพของประเทศและคอยโอกาสที่เหมาะสม (韬光养晦), ทำตัวให้ต่ำต้อย (善于守拙) และเลี่ยงการแสดงบทบาทผู้นำ (绝不当头)<ref>{{Cite book |last=Zhao |first=Suisheng |url=https://www.worldcat.org/oclc/1332788951 |title=The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy |date=2023 |publisher=[[Stanford University Press]] |isbn=978-1-5036-3415-2 |location=Stanford, California |pages=62 |oclc=1332788951}}</ref> |
||
บรรทัด 282: | บรรทัด 282: | ||
การสิ้นสุดของสงครามเย็นและ[[การล่มสลายของสหภาพโซเวียต]]ได้ทำลายแรงจูงใจดั้งเดิมที่เป็นพื้นฐานของการปรองดองระหว่างจีนกับสหรัฐ<ref name=":7">{{Cite book |last=Zhao |first=Suisheng |url=http://dx.doi.org/10.1515/9781503634152 |title=The Dragon Roars Back: Transformational Leaders and Dynamics of Chinese Foreign Policy |date=2022 |publisher=[[Stanford University Press]] |isbn=978-1-5036-3415-2 |pages=51 |doi=10.1515/9781503634152 |access-date=1 January 2023 |archive-date=13 April 2023 |archive-url=https://web.archive.org/web/20230413153307/https://www.degruyter.com/document/doi/10.1515/9781503634152/html |url-status=live }}</ref> เติ้งมีความกังวลว่าสหรัฐอาจจะลดการสนับสนุนการปฏิรูปประเทศจีนให้ทันสมัย จึงได้ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่เปิดเผยตัวเพื่อยอมรับสถานะผู้นำของสหรัฐ และมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาภายในประเทศเป็นหลัก<ref name=":7" /> ในช่วงเวลานี้ของนโยบายต่างประเทศ จีนได้ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน และการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในสถาบันพหุภาคี<ref name=":7" /> ดังที่ศาสตราจารย์[[จ้าว ซุ่ยเชิง]] ได้ประเมินมรดกทางนโยบายต่างประเทศของเติ้งไว้ว่า "การทูตเพื่อการพัฒนาของเติ้งได้ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมภายนอกที่เอื้ออำนวยต่อการผงาดขึ้นของจีนในศตวรรษที่ 21 ผู้สืบทอดที่เขาเลือกเองกับมืออย่าง[[เจียง เจ๋อหมิน]] และ[[หู จิ่นเทา]] ต่างก็ดำเนินรอยตามแนวทางของเขาอย่างซื่อสัตย์ "<ref name=":7" /> |
การสิ้นสุดของสงครามเย็นและ[[การล่มสลายของสหภาพโซเวียต]]ได้ทำลายแรงจูงใจดั้งเดิมที่เป็นพื้นฐานของการปรองดองระหว่างจีนกับสหรัฐ<ref name=":7">{{Cite book |last=Zhao |first=Suisheng |url=http://dx.doi.org/10.1515/9781503634152 |title=The Dragon Roars Back: Transformational Leaders and Dynamics of Chinese Foreign Policy |date=2022 |publisher=[[Stanford University Press]] |isbn=978-1-5036-3415-2 |pages=51 |doi=10.1515/9781503634152 |access-date=1 January 2023 |archive-date=13 April 2023 |archive-url=https://web.archive.org/web/20230413153307/https://www.degruyter.com/document/doi/10.1515/9781503634152/html |url-status=live }}</ref> เติ้งมีความกังวลว่าสหรัฐอาจจะลดการสนับสนุนการปฏิรูปประเทศจีนให้ทันสมัย จึงได้ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่เปิดเผยตัวเพื่อยอมรับสถานะผู้นำของสหรัฐ และมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาภายในประเทศเป็นหลัก<ref name=":7" /> ในช่วงเวลานี้ของนโยบายต่างประเทศ จีนได้ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน และการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในสถาบันพหุภาคี<ref name=":7" /> ดังที่ศาสตราจารย์[[จ้าว ซุ่ยเชิง]] ได้ประเมินมรดกทางนโยบายต่างประเทศของเติ้งไว้ว่า "การทูตเพื่อการพัฒนาของเติ้งได้ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมภายนอกที่เอื้ออำนวยต่อการผงาดขึ้นของจีนในศตวรรษที่ 21 ผู้สืบทอดที่เขาเลือกเองกับมืออย่าง[[เจียง เจ๋อหมิน]] และ[[หู จิ่นเทา]] ต่างก็ดำเนินรอยตามแนวทางของเขาอย่างซื่อสัตย์ "<ref name=":7" /> |
||
ใน |
ใน ค.ศ. 1990 ระหว่างการพบปะกับนายกรัฐมนตรี[[พีเอร์ ทรูโด]] แห่งแคนาดา เติ้งได้กล่าวไว้ว่า "หลักการสำคัญที่ควบคุมระเบียบโลกใหม่ควรเป็นการไม่แทรกแซงกิจการภายในและระบบสังคมของประเทศอื่น การบังคับให้ทุกประเทศในโลกทำตามแบบแผนที่สหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศสวางไว้นั้นจะไม่เป็นผล<ref>{{cite book |title=Chinese Foreign Policy Under Xi |date=2017 |publisher=Taylor & Francis |page=115}}</ref> เติ้งได้สนับสนุน[[หลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ 5 ประการ]] โดยระบุว่าหลักการเหล่านี้ควรนำมาใช้เป็น "บรรทัดฐานนำทางในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ"<ref>{{cite book |title=Comparative Development of India & China Economic, Technological, Sectoral & Socio-cultural Insights |date=2020 |publisher=SAGE Publications |page=372}}</ref> |
||
=== การปฏิรูปและเปิดกว้าง === |
=== การปฏิรูปและเปิดกว้าง === |
||
บรรทัด 291: | บรรทัด 291: | ||
{{Main|สี่ทันสมัย}} |
{{Main|สี่ทันสมัย}} |
||
เติ้งได้กล่าวถึงสุภาษิตโบราณที่ว่า "ไม่สำคัญว่าแมวจะสีดำหรือขาว ตราบใดที่มันจับหนูได้ มันก็คือแมวที่ดี" ประเด็นที่ต้องการจะสื่อคือวิธีการแบบทุนนิยมนั้นได้ผล<ref>{{Cite book |last1=John Naisbitt |url=https://archive.org/details/chinasmegatrends00nais_0 |title=China's Megatrends: The 8 Pillars of a New Society |last2=Doris Naisbitt |publisher=HarperBusiness |year=2010 |isbn=9780061963445 |page=[https://archive.org/details/chinasmegatrends00nais_0/page/4 4] |url-access=registration}}</ref> เติ้งได้ร่วมงานกับคณะทำงานของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจ้าว จื่อหยาง ซึ่งได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน |
เติ้งได้กล่าวถึงสุภาษิตโบราณที่ว่า "ไม่สำคัญว่าแมวจะสีดำหรือขาว ตราบใดที่มันจับหนูได้ มันก็คือแมวที่ดี" ประเด็นที่ต้องการจะสื่อคือวิธีการแบบทุนนิยมนั้นได้ผล<ref>{{Cite book |last1=John Naisbitt |url=https://archive.org/details/chinasmegatrends00nais_0 |title=China's Megatrends: The 8 Pillars of a New Society |last2=Doris Naisbitt |publisher=HarperBusiness |year=2010 |isbn=9780061963445 |page=[https://archive.org/details/chinasmegatrends00nais_0/page/4 4] |url-access=registration}}</ref> เติ้งได้ร่วมงานกับคณะทำงานของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจ้าว จื่อหยาง ซึ่งได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน ค.ศ. 1980 แทนฮฺว่า กั๋วเฟิง และหู เย่าปัง ซึ่งได้เข้ารับตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1981 เติ้งจึงได้กุมบังเหียนและเริ่มเน้นย้ำเป้าหมายในการ "พัฒนาประเทศให้ทันสมัยใน 4 ด้าน" อันได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ การเกษตร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ เขาได้ประกาศแผนการที่ทะเยอทะยานในการเปิดประเทศและเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ<ref>{{Cite journal|last=Mason|first=David|year=1984|title=China's Four Modernizations: Blueprint for Development or Prelude to Turmoil?|journal=Asian Affairs|volume=11|pages=47–70|doi=10.1080/00927678.1984.10553699|number=3}}</ref> |
||
ตำแหน่งอำนาจสุดท้ายที่เหลืออยู่ของฮฺว่า กั๋วเฟิง คือ ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ถูกเติ้งยึดไปใน |
ตำแหน่งอำนาจสุดท้ายที่เหลืออยู่ของฮฺว่า กั๋วเฟิง คือ ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ถูกเติ้งยึดไปใน ค.ศ. 1981 อย่างไรก็ดี ความคืบหน้าในการปรับปรุงกองทัพกลับดำเนินไปอย่างเชื่องช้า [[สงครามจีน–เวียดนาม|สงครามชายแดนกับเวียดนาม]]ใน ค.ศ. 1977–1979 ทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม สงครามครั้งนี้สร้างความงุนงงให้แก่ผู้สังเกตการณ์ภายนอก จาง เสี่ยวหมิงได้ให้เหตุผลว่าเติ้งมีเป้าหมายหลายประการ ได้แก่ การยับยั้งการขยายอิทธิพลของโซเวียตในภูมิภาค การขอรับการสนับสนุนจากสหรัฐเพื่อดำเนินนโยบายสี่ทันสมัย และการกระตุ้นให้ประเทศจีนเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปและบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก เติ้งยังพยายามที่จะเสริมสร้างอำนาจการควบคุมกองทัพปลดปล่อยประชาชนของตน และแสดงให้โลกเห็นว่าประเทศจีนมีความสามารถในการทำสงครามที่แท้จริง จางเห็นว่าการลงโทษเวียดนามเนื่องจากการรุกรานกัมพูชาเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญน้อย<ref>{{Cite journal |last=Zhang |first=Xiaoming |year=2010 |title=Deng Xiaoping and China's Decision to go to War with Vietnam |journal=Journal of Cold War Studies |volume=12 |issue=3 |pages=3–29 |doi=10.1162/JCWS_a_00001 |s2cid=57559703}}</ref> ในเหตุการณ์ดังกล่าว กองกำลังของจีนประสบความล้มเหลวอย่างมากทั้งในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ กลยุทธ์ การนำทัพ และประสิทธิภาพในการรบ{{sfnb|Vogel|2011|p=526–535}} ต่อมาเติ้งได้ใช้ผลงานที่ย่ำแย่ของกองทัพปลดปล่อยประชาชนเป็นเครื่องมือในการเอาชนะการต่อต้านการปฏิรูปกองทัพของผู้นำทางทหาร<ref name=":05" />{{Rp|page=230}} |
||
ภัยคุกคามทางทหารหลักของจีนมาจากสหภาพโซเวียต ซึ่งแม้จะมีกำลังพลน้อยกว่าแต่กลับมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าอย่างมาก เนื่องมาจากมีเทคโนโลยีอาวุธที่ก้าวหน้ากว่า ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1981 เติ้งเห็นว่า[[การซ้อมรบ]]เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกองทัพปลดปล่อยประชาชน และในเดือนกันยายนปีเดียวกันก็ได้มีการจัด[[การซ้อมรบภาคเหนือขึ้น]] ซึ่งนับเป็นการซ้อมรบครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพปลดปล่อยประชาชนนับตั้งแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ยิ่งไปกว่านั้น เติ้งได้ริเริ่ม[[การปรับปรุงของกองทัพปลดปล่อยประชาชน]]ให้ทันสมัย และตัดสินใจว่าจีนจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์พลเรือนขั้นสูงเสียก่อนจึงจะหวังสร้างอาวุธสมัยใหม่ได้ ด้วยเหตุนี่เขาจึงมุ่งเน้นไปที่การลดขนาดกองทัพโดยการปลดทหารจำนวน 1 ล้านนายใน |
ภัยคุกคามทางทหารหลักของจีนมาจากสหภาพโซเวียต ซึ่งแม้จะมีกำลังพลน้อยกว่าแต่กลับมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าอย่างมาก เนื่องมาจากมีเทคโนโลยีอาวุธที่ก้าวหน้ากว่า ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1981 เติ้งเห็นว่า[[การซ้อมรบ]]เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกองทัพปลดปล่อยประชาชน และในเดือนกันยายนปีเดียวกันก็ได้มีการจัด[[การซ้อมรบภาคเหนือขึ้น]] ซึ่งนับเป็นการซ้อมรบครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพปลดปล่อยประชาชนนับตั้งแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ยิ่งไปกว่านั้น เติ้งได้ริเริ่ม[[การปรับปรุงของกองทัพปลดปล่อยประชาชน]]ให้ทันสมัย และตัดสินใจว่าจีนจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์พลเรือนขั้นสูงเสียก่อนจึงจะหวังสร้างอาวุธสมัยใหม่ได้ ด้วยเหตุนี่เขาจึงมุ่งเน้นไปที่การลดขนาดกองทัพโดยการปลดทหารจำนวน 1 ล้านนายใน ค.ศ. 1985 (百万大裁军; ไป่ว่านต้าไฉ่-จฺวิน)<ref name=":02">{{Cite web |date=6 May 1985 |title=Troop Cut to Save Money, Deng Says |url=https://www.latimes.com/archives/la-xpm-1985-05-06-mn-4457-story.html |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20200622133140/https://www.latimes.com/archives/la-xpm-1985-05-06-mn-4457-story.html |archive-date=22 June 2020 |access-date=20 June 2020 |website=[[Los Angeles Times]]}}</ref> รวมถึงการปลดเหล่านายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่มีอายุมากและมีความประพฤติมิชอบ ตลอดจนพวกพ้องของบุคคลเหล่านั้น เขาเน้นย้ำถึงการสรรหาชายหนุ่มที่มีการศึกษาดีกว่ามาก ซึ่งจะสามารถควบคุมเทคโนโลยีขั้นสูงได้เมื่อเทคโนโลยีนั้นพร้อมใช้งาน แทนที่จะละเลยให้มีการอุปถัมภ์และการทุจริตในหมู่นายทหาร เขากลับบังคับใช้ระเบียบวินัยที่เข้มงวดในทุกระดับชั้น ใน ค.ศ. 1982 เขาได้จัดตั้งคณะกรรมการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศขึ้นใหม่ เพื่อวางแผนการนำเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นในภาคพลเรือนมาประยุกต์ใช้{{sfnb|Vogel|2011|p=535–552}}<ref>{{Cite journal |last=Dreyer |first=June Teufel |year=1988 |title=Deng Xiaoping and Modernization of the Chinese Military |url=https://archive.org/details/sim_armed-forces-and-society_winter-1988_14_2/page/n56 |journal=Armed Forces & Society |volume=14 |issue=2 |pages=215–231 |doi=10.1177/0095327X8801400203 |s2cid=144391672}}</ref> |
||
==== สามขั้นตอนสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ ==== |
==== สามขั้นตอนสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ ==== |
||
ใน |
ใน ค.ศ. 1986 เติ้งได้ให้สัมภาษณ์กับ[[ไมก์ วอลเลซ]] ในรายการ [[ซิกตีมินิตส์|60 Minutes]] โดยอธิบายว่าการที่ประชาชนบางกลุ่มและบางภูมิภาคจะเจริญรุ่งเรืองก่อนนั้น จะเป็นการเร่งให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันได้เร็วขึ้น<ref>{{Cite book |last=Paulson |first=Henry M. |title=Dealing with China : an insider unmasks the new economic superpower |date=2015 |isbn=9781455504213 |edition=First |location=New York |page=21}}</ref> ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1987 ในการประชุมสมัยสามัญเต็มคณะของสภาประชาชนแห่งชาติ เติ้งได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธาน[[คณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง (จีน)|คณะกรรมการการทหารส่วนกลาง]]อีกวาระหนึ่ง แต่ได้ลาออกจากตำแหน่งประธาน[[คณะกรรมการที่ปรึกษาส่วนกลาง]] และ[[เฉิน ยฺหวิน]]ก็ได้เข้ารับตำแหน่งแทน เติ้งยังคงทำหน้าที่เป็นประธานและพัฒนาการปฏิรูปและเปิดกว้างเป็นนโยบายหลัก และได้เสนอสามขั้นตอนที่เหมาะสมสำหรับยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของจีนภายใน 70 ปี ขั้นตอนแรกคือการเพิ่ม[[ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ]] (GDP) ให้เป็นสองเท่าของ ค.ศ. 1980 และทำให้ประชาชนมีอาหารและเสื้อผ้าเพียงพอ ซึ่งบรรลุเป้าหมายภายในสิ้นคริสต์ทศวรรษ 1980 ขั้นตอนที่สองคือการเพิ่ม GDP เป็นสี่เท่าของ ค.ศ. 1980 ภายในสิ้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งบรรลุเป้าหมายใน ค.ศ. 1995 ขั้นตอนที่สามคือการเพิ่ม GDP ต่อหัวให้เท่ากับระดับประเทศที่มีการพัฒนาปานกลางภายใน ค.ศ. 2050 เมื่อถึงจุดนั้น ประชาชนจีนจะค่อนข้างมีความเป็นอยู่ที่ดี และการพัฒนาให้ทันสมัยจะบรรลุเป้าหมายอย่างแท้จริง<ref>{{Cite web |title=The Three-Step Development Strategy |url=http://www.china.org.cn/english/features/38199.htm |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20180917215520/http://www.china.org.cn/english/features/38199.htm |archive-date=17 September 2018 |access-date=28 November 2010 |publisher=china.org.cn}}</ref> |
||
==== การปฏิรูปอื่น ๆ ==== |
==== การปฏิรูปอื่น ๆ ==== |
||
บรรทัด 305: | บรรทัด 305: | ||
การปรับปรุงความสัมพันธ์กับต่างประเทศเป็นหนึ่งในปรัชญาสำคัญสองประการที่ระบุไว้ในโครงการปฏิรูปของเติ้งซึ่งเรียกว่า "ไก่เก๋อไคฟ่าง" (แปลตรงตัว การปฏิรูปและเปิดกว้าง) ภายใต้การนำของเติ้ง ระบบภายในประเทศของจีนไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม การเมือง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ ล้วนประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เป้าหมายของการปฏิรูปของเติ้งสามารถสรุปได้ด้วยนโยบาย "[[สี่ทันสมัย]]" อันได้แก่ ด้านการเกษตร อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการทหาร |
การปรับปรุงความสัมพันธ์กับต่างประเทศเป็นหนึ่งในปรัชญาสำคัญสองประการที่ระบุไว้ในโครงการปฏิรูปของเติ้งซึ่งเรียกว่า "ไก่เก๋อไคฟ่าง" (แปลตรงตัว การปฏิรูปและเปิดกว้าง) ภายใต้การนำของเติ้ง ระบบภายในประเทศของจีนไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม การเมือง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ ล้วนประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เป้าหมายของการปฏิรูปของเติ้งสามารถสรุปได้ด้วยนโยบาย "[[สี่ทันสมัย]]" อันได้แก่ ด้านการเกษตร อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการทหาร |
||
กลยุทธ์ในการบรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศอุตสาหกรรมสมัยใหม่คือ [[เศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยม]] เติ้งได้ให้เหตุผลว่าจีนอยู่ใน[[ขั้นตอนแรกของสังคมนิยม|ระยะเริ่มแรกของสังคมนิยม]] และหน้าที่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนคือการพัฒนา "[[สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน]]" ให้สมบูรณ์แบบ<ref>{{Cite news |date=20 February 1997 |title=Deng Xiaoping Is Dead at 92; Architect of Modern China |work=The New York Times |url=https://www.nytimes.com/1997/02/20/world/deng-xiaoping-is-dead-at-92-architect-of-modern-china.html |url-status=live |access-date=15 February 2017 |archive-url=https://web.archive.org/web/20170123203613/http://www.nytimes.com/1997/02/20/world/deng-xiaoping-is-dead-at-92-architect-of-modern-china.html |archive-date=23 January 2017}}</ref><ref name="jac" /> และ "[[แสวงหาความจริงจากข้อเท็จจริง]]" (สิ่งนี้คล้ายคลึงกับหลักการทางทฤษฎีของเลนินที่ใช้สนับสนุน[[นโยบายเศรษฐกิจใหม่]] (NEP) ในช่วงทศวรรษ |
กลยุทธ์ในการบรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศอุตสาหกรรมสมัยใหม่คือ [[เศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยม]] เติ้งได้ให้เหตุผลว่าจีนอยู่ใน[[ขั้นตอนแรกของสังคมนิยม|ระยะเริ่มแรกของสังคมนิยม]] และหน้าที่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนคือการพัฒนา "[[สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน]]" ให้สมบูรณ์แบบ<ref>{{Cite news |date=20 February 1997 |title=Deng Xiaoping Is Dead at 92; Architect of Modern China |work=The New York Times |url=https://www.nytimes.com/1997/02/20/world/deng-xiaoping-is-dead-at-92-architect-of-modern-china.html |url-status=live |access-date=15 February 2017 |archive-url=https://web.archive.org/web/20170123203613/http://www.nytimes.com/1997/02/20/world/deng-xiaoping-is-dead-at-92-architect-of-modern-china.html |archive-date=23 January 2017}}</ref><ref name="jac" /> และ "[[แสวงหาความจริงจากข้อเท็จจริง]]" (สิ่งนี้คล้ายคลึงกับหลักการทางทฤษฎีของเลนินที่ใช้สนับสนุน[[นโยบายเศรษฐกิจใหม่]] (NEP) ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ซึ่งให้เหตุผลว่า[[สหภาพโซเวียต]]ยังไม่ได้เข้าสู่ระยะทุนนิยมอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการนำระบบทุนนิยมมาใช้ในวงจำกัดเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น) "สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน" ได้วางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการดำเนินนโยบายชาติพันธุ์อย่างไม่เป็นพิษภัย และสร้างวิธีการทางทฤษฎีเกี่ยวกับชาติพันธุ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ<ref>{{Cite journal |title=万方数据知识服务平台 |url=http://d.wanfangdata.com.cn/periodical/ghlc201105008 |url-status=live |doi=10.3969/j.issn.1004-1494.2011.05.008 |archive-url=https://web.archive.org/web/20210217055507/http://d.wanfangdata.com.cn/periodical/ghlc201105008 |archive-date=17 February 2021 |access-date=28 October 2020 |website=d.wanfangdata.com.cn}}</ref> |
||
นโยบายเศรษฐกิจของเติ้งให้ความสำคัญในการพัฒนา[[กำลังการผลิต]]ของจีน<ref name=":9">{{Cite journal |last=Boer |first=Roland |author-link=Roland Boer |date=2021-10-01 |title=From Belgrade to Beijing : Comparing Socialist Economic Reforms in Eastern Europe and China |journal=World Review of Political Economy |volume=12 |pages=309 |doi=10.13169/worlrevipoliecon.12.3.0296 |issn=2042-8928 |s2cid=247967541|doi-access=free }}</ref> ตามมุมมองของเติ้ง การพัฒนานี้ "เป็นการปฏิวัติที่สำคัญที่สุดเมื่อพิจารณาจากมุมมองของการพัฒนาทางประวัติศาสตร์" และ "สังคมนิยมที่ยากจน" นั้นไม่ใช่สังคมนิยม<ref name=":9" /> เหตุผลทางทฤษฎีของเขาในการยอมให้กลไกตลาดเกิดขึ้นก็คือ: |
นโยบายเศรษฐกิจของเติ้งให้ความสำคัญในการพัฒนา[[กำลังการผลิต]]ของจีน<ref name=":9">{{Cite journal |last=Boer |first=Roland |author-link=Roland Boer |date=2021-10-01 |title=From Belgrade to Beijing : Comparing Socialist Economic Reforms in Eastern Europe and China |journal=World Review of Political Economy |volume=12 |pages=309 |doi=10.13169/worlrevipoliecon.12.3.0296 |issn=2042-8928 |s2cid=247967541|doi-access=free }}</ref> ตามมุมมองของเติ้ง การพัฒนานี้ "เป็นการปฏิวัติที่สำคัญที่สุดเมื่อพิจารณาจากมุมมองของการพัฒนาทางประวัติศาสตร์" และ "สังคมนิยมที่ยากจน" นั้นไม่ใช่สังคมนิยม<ref name=":9" /> เหตุผลทางทฤษฎีของเขาในการยอมให้กลไกตลาดเกิดขึ้นก็คือ: |
||
บรรทัด 328: | บรรทัด 328: | ||
ทว่าการลงทุนเหล่านี้ไม่ได้เป็นการบังคับโดยรัฐบาล ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการปฏิรูปในทำนองเดียวกันแต่ประสบความสำเร็จน้อยกว่าอย่างมากใน[[สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย]] และ[[สาธารณรัฐประชาชนฮังการี]] ทุนที่ลงทุนในอุตสาหกรรมหนักส่วนใหญ่มาจากระบบธนาคาร และทุนส่วนใหญ่ดังกล่าวนั้นมาจากเงินฝากของผู้บริโภค หนึ่งในมาตรการปฏิรูปเบื้องต้นของเติ้งคือ การป้องกันการโอนย้ายผลกำไร ยกเว้นผ่านระบบภาษีอากรหรือระบบธนาคาร ดังนั้นการโอนย้ายผลกำไรในรัฐวิสาหกิจจึงเป็นไปโดยอ้อม ทำให้รัฐวิสาหกิจเหล่านี้มีความเป็นอิสระจากการแทรกแซงของรัฐบาลในระดับหนึ่ง โดยสรุป การปฏิรูปของเติ้งได้จุดชนวนให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศจีน<ref>FlorCruz, Jaime (19 December 2008) [http://www.cnn.com/2008/WORLD/asiapcf/12/18/china.reform.florcruz/index.html "Looking back over China's last 30 years"] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20180320230717/http://www.cnn.com/2008/WORLD/asiapcf/12/18/china.reform.florcruz/index.html|date=20 March 2018}} ''CNN''</ref> |
ทว่าการลงทุนเหล่านี้ไม่ได้เป็นการบังคับโดยรัฐบาล ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการปฏิรูปในทำนองเดียวกันแต่ประสบความสำเร็จน้อยกว่าอย่างมากใน[[สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย]] และ[[สาธารณรัฐประชาชนฮังการี]] ทุนที่ลงทุนในอุตสาหกรรมหนักส่วนใหญ่มาจากระบบธนาคาร และทุนส่วนใหญ่ดังกล่าวนั้นมาจากเงินฝากของผู้บริโภค หนึ่งในมาตรการปฏิรูปเบื้องต้นของเติ้งคือ การป้องกันการโอนย้ายผลกำไร ยกเว้นผ่านระบบภาษีอากรหรือระบบธนาคาร ดังนั้นการโอนย้ายผลกำไรในรัฐวิสาหกิจจึงเป็นไปโดยอ้อม ทำให้รัฐวิสาหกิจเหล่านี้มีความเป็นอิสระจากการแทรกแซงของรัฐบาลในระดับหนึ่ง โดยสรุป การปฏิรูปของเติ้งได้จุดชนวนให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศจีน<ref>FlorCruz, Jaime (19 December 2008) [http://www.cnn.com/2008/WORLD/asiapcf/12/18/china.reform.florcruz/index.html "Looking back over China's last 30 years"] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20180320230717/http://www.cnn.com/2008/WORLD/asiapcf/12/18/china.reform.florcruz/index.html|date=20 March 2018}} ''CNN''</ref> |
||
การปฏิรูปเหล่านี้ถือเป็นการพลิกกลับนโยบายพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจของลัทธิเหมา ประเทศจีนได้ตัดสินใจเร่งกระบวนการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยโดยเพิ่มปริมาณการค้าต่างประเทศอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการนำเข้าเครื่องจักรจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศตะวันตก ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1978 เติ้งได้เดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกเพื่อแลกเปลี่ยนหนังสือรับรองการลงนาม "สนธิสัญญาสันติภาพและมิตรภาพระหว่างประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐประชาชนจีน" และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากนายกรัฐมนตรี[[ทาเกโอะ ฟูกูดะ]] และบุคคลสำคัญอื่น ๆ เติ้งเป็นเพียงรองนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาที่เขาพบปะกับเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่น แต่รัฐบาลญี่ปุ่นยอมรับเขาในฐานะผู้นำสูงสุดที่มีอำนาจอย่างแท้จริงของจีน เนื่องจากประวัติอันยาวนานในการเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนของเขา เติ้งถือเป็นผู้นำจีนคนแรกที่ได้เข้าเฝ้า[[จักรพรรดิโชวะ|สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ]]แห่งญี่ปุ่น ข่าวจากสถานีโทรทัศน์ NHK ของญี่ปุ่นใน |
การปฏิรูปเหล่านี้ถือเป็นการพลิกกลับนโยบายพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจของลัทธิเหมา ประเทศจีนได้ตัดสินใจเร่งกระบวนการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยโดยเพิ่มปริมาณการค้าต่างประเทศอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการนำเข้าเครื่องจักรจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศตะวันตก ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1978 เติ้งได้เดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกเพื่อแลกเปลี่ยนหนังสือรับรองการลงนาม "สนธิสัญญาสันติภาพและมิตรภาพระหว่างประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐประชาชนจีน" และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากนายกรัฐมนตรี[[ทาเกโอะ ฟูกูดะ]] และบุคคลสำคัญอื่น ๆ เติ้งเป็นเพียงรองนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาที่เขาพบปะกับเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่น แต่รัฐบาลญี่ปุ่นยอมรับเขาในฐานะผู้นำสูงสุดที่มีอำนาจอย่างแท้จริงของจีน เนื่องจากประวัติอันยาวนานในการเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนของเขา เติ้งถือเป็นผู้นำจีนคนแรกที่ได้เข้าเฝ้า[[จักรพรรดิโชวะ|สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะ]]แห่งญี่ปุ่น ข่าวจากสถานีโทรทัศน์ NHK ของญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1978 รายงานว่าเติ้งได้กล่าวด้วยถ้อยคำอันสุภาพว่า "เราได้พูดคุยกันถึงอดีตที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจเป็นอย่างยิ่งคือ พระราชประสงค์ของพระองค์ในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า" คำกล่าวของเติ้งชี้ให้เห็นถึงยุคใหม่แห่งการปฏิรูปการเมืองของจีนผ่านทางการทูตเศรษฐกิจระหว่างประเทศ<ref>{{cite web |last1=NHK JAPAN |title=鄧小平副首相 天皇皇后両陛下と会見 |url=https://www2.nhk.or.jp/archives/movies/?id=D0009170072_00000 |website=NHK JAPAN |access-date=30 May 2024 |archive-date=14 March 2023 |archive-url=https://web.archive.org/web/20230314235114/https://www2.nhk.or.jp/archives/movies/?id=D0009170072_00000 |url-status=live }}</ref> |
||
สนธิสัญญาสันติภาพและมิตรภาพระหว่างญี่ปุ่นและสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นพันธสัญญาที่ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ระหว่างทั้งสองประเทศมาจนถึงปัจจุบัน มาตรา 1 ของสนธิสัญญาได้กำหนดหลักการแห่งการเคารพซึ่งกันและกันในอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน การไม่รุกรานซึ่งกันและกัน และการไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน มาตรา 2 กำหนดหลักการต่อต้านการครอบงำ (หรืออาจใช้ว่า "ต่อต้านการผูกขาดอำนาจ") มาตรา 3 กล่าวถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างทั้งสองประเทศให้ดียิ่งขึ้น และมาตรา 4 อธิบายถึงความสัมพันธ์ของสนธิสัญญานี้กับประเทศที่สาม แม้การเจรจาสันติภาพนี้จะใช้เวลานานถึง 6 ปีนับตั้งแต่การฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูต เนื่องจากประเด็นข้อความ "ต่อต้านการครอบงำ" และ "ประเทศที่สาม" ถือเป็นประเด็นที่ขัดแย้งกันมากที่สุด แต่ข้อตกลงดังกล่าวยังคงมีอิทธิพลอย่างมากต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นในปัจจุบัน<ref>{{cite journal |last1=Lee |first1=Chae-Jin |title=The Making of the Sino-Japanese Peace and Friendship Treaty |journal=Pacific Affairs |date=1979 |volume=52 |issue=1 |pages=420–445 |doi=10.2307/2757656 |jstor=2757656 }}</ref> ด้วยการเข้าร่วมในกระบวนการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก ทำให้จีนสามารถเร่งรัดการปฏิรูปสี่ทันสมัยได้สำเร็จ โดยได้รับเม็ดเงินทุนจากต่างประเทศ ตลาดต่างประเทศ เทคโนโลยีขั้นสูง และประสบการณ์การบริหารจัดการที่ทันสมัย ซึ่งส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจของจีนมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา เติ้งได้ดึงดูดบริษัทต่างชาติให้เข้ามาลงทุนใน[[เขตเศรษฐกิจพิเศษ]]หลายแห่ง ซึ่งส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ<ref>{{Cite journal |last=Stoltenberg |first=Clyde D. |date=1984 |title=China's Special Economic Zones: Their Development and Prospects |journal=Asian Survey |volume=24 |issue=6 |pages=637–654 |doi=10.2307/2644396 |issn=0004-4687 |jstor=2644396}}</ref><ref>{{Cite web |last=Holmes |first=Frank |date=21 April 2017 |title=China's New Special Economic Zone Evokes Memories Of Shenzhen |url=https://www.forbes.com/sites/greatspeculations/2017/04/21/chinas-new-special-economic-zone-evokes-memories-of-shenzhen/ |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20190322005508/https://www.forbes.com/sites/greatspeculations/2017/04/21/chinas-new-special-economic-zone-evokes-memories-of-shenzhen/ |archive-date=22 March 2019 |access-date=22 March 2019 |website=Forbes}}</ref> |
สนธิสัญญาสันติภาพและมิตรภาพระหว่างญี่ปุ่นและสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นพันธสัญญาที่ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ระหว่างทั้งสองประเทศมาจนถึงปัจจุบัน มาตรา 1 ของสนธิสัญญาได้กำหนดหลักการแห่งการเคารพซึ่งกันและกันในอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน การไม่รุกรานซึ่งกันและกัน และการไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน มาตรา 2 กำหนดหลักการต่อต้านการครอบงำ (หรืออาจใช้ว่า "ต่อต้านการผูกขาดอำนาจ") มาตรา 3 กล่าวถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างทั้งสองประเทศให้ดียิ่งขึ้น และมาตรา 4 อธิบายถึงความสัมพันธ์ของสนธิสัญญานี้กับประเทศที่สาม แม้การเจรจาสันติภาพนี้จะใช้เวลานานถึง 6 ปีนับตั้งแต่การฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูต เนื่องจากประเด็นข้อความ "ต่อต้านการครอบงำ" และ "ประเทศที่สาม" ถือเป็นประเด็นที่ขัดแย้งกันมากที่สุด แต่ข้อตกลงดังกล่าวยังคงมีอิทธิพลอย่างมากต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นในปัจจุบัน<ref>{{cite journal |last1=Lee |first1=Chae-Jin |title=The Making of the Sino-Japanese Peace and Friendship Treaty |journal=Pacific Affairs |date=1979 |volume=52 |issue=1 |pages=420–445 |doi=10.2307/2757656 |jstor=2757656 }}</ref> ด้วยการเข้าร่วมในกระบวนการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก ทำให้จีนสามารถเร่งรัดการปฏิรูปสี่ทันสมัยได้สำเร็จ โดยได้รับเม็ดเงินทุนจากต่างประเทศ ตลาดต่างประเทศ เทคโนโลยีขั้นสูง และประสบการณ์การบริหารจัดการที่ทันสมัย ซึ่งส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจของจีนมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา เติ้งได้ดึงดูดบริษัทต่างชาติให้เข้ามาลงทุนใน[[เขตเศรษฐกิจพิเศษ]]หลายแห่ง ซึ่งส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ<ref>{{Cite journal |last=Stoltenberg |first=Clyde D. |date=1984 |title=China's Special Economic Zones: Their Development and Prospects |journal=Asian Survey |volume=24 |issue=6 |pages=637–654 |doi=10.2307/2644396 |issn=0004-4687 |jstor=2644396}}</ref><ref>{{Cite web |last=Holmes |first=Frank |date=21 April 2017 |title=China's New Special Economic Zone Evokes Memories Of Shenzhen |url=https://www.forbes.com/sites/greatspeculations/2017/04/21/chinas-new-special-economic-zone-evokes-memories-of-shenzhen/ |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20190322005508/https://www.forbes.com/sites/greatspeculations/2017/04/21/chinas-new-special-economic-zone-evokes-memories-of-shenzhen/ |archive-date=22 March 2019 |access-date=22 March 2019 |website=Forbes}}</ref> |
||
บรรทัด 337: | บรรทัด 337: | ||
=== การคืนฮ่องกงและมาเก๊า === |
=== การคืนฮ่องกงและมาเก๊า === |
||
[[File:Deng Thatcher 3.JPG|thumb|แบบจำลองสถานการณ์การพบปะระหว่างเติ้ง เสี่ยวผิงกับ[[มาร์กาเรต แทตเชอร์|นางมาร์กาเรต แทตเชอร์]] นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ณ เมืองเชินเจิ้น ใน |
[[File:Deng Thatcher 3.JPG|thumb|แบบจำลองสถานการณ์การพบปะระหว่างเติ้ง เสี่ยวผิงกับ[[มาร์กาเรต แทตเชอร์|นางมาร์กาเรต แทตเชอร์]] นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ณ เมืองเชินเจิ้น ใน ค.ศ. 1984]] |
||
ตั้งแต่ |
ตั้งแต่ ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา เติ้งได้เป็นผู้นำในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และในแง่การเมือง เขารับหน้าที่เจรจาต่อรองกับสหราชอาณาจักรเพื่อขอคืนฮ่องกง โดยการพบปะหารือกับนาง[[มาร์กาเรต แทตเชอร์]] นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรในขณะนั้น นางแทตเชอร์เข้าร่วมการประชุมโดยหวังจะรักษาอำนาจการปกครองของอังกฤษเหนือเกาะฮ่องกงและเกาลูน ซึ่งเป็น 2 ใน 3 ของเขตปกครองของอาณานิคมแห่งนี้ แต่เติ้งได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างเด็ดขาด<ref>{{Cite journal |last=Hurst |first=Matthew |date=2022 |title=Britain's Approach to the Negotiations over the Future of Hong Kong, 1979–1982 |journal=The International History Review |volume=44 |issue=6 |pages=1386–1401 |doi=10.1080/07075332.2021.2024588 |s2cid=257431054 |doi-access=free }}</ref> ผลจากการเจรจาเหล่าดังกล่าวคือ[[ปฏิญญาร่วมจีน-อังกฤษ|ปฏิญญาร่วมระหว่างจีนกับอังกฤษ]] ลงนามในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1984 ปฏิญญาดังกล่าวระบุอย่างเป็นทางการว่าสหราชอาณาจักรจะต้องคืนอาณานิคมฮ่องกงทั้งหมดให้แก่จีนภายใน ค.ศ. 1997 รัฐบาลจีนได้ให้สัญญาว่าจะเคารพรักษาระบบเศรษฐกิจและเสรีภาพส่วนบุคคลของเขตปกครองพิเศษซึ่งเดิมเป็นอาณานิคมของอังกฤษเป็นระยะเวลา 50 ปีนับจากการส่งมอบอำนาจปกครอง<ref>Vogel, ''Deng Xiaoping'', pp. 487–511.</ref><ref>Nancy C. Jackson, "The Legal Regime of Hong Kong After 1997: An Examination of the Joint Declaration of the United Kingdom and the People's Republic of China". ''International Tax & Business Lawyer'' (1987): 377–423. [https://scholarship.law.berkeley.edu/cgi/viewcontent.cgi?referer=https://scholar.google.com/&httpsredir=1&article=1072&context=bjil Online]{{Dead link|date=June 2022 |bot=InternetArchiveBot |fix-attempted=yes }}</ref> |
||
ทฤษฎี[[หนึ่งประเทศ สองระบบ]]ของเติ้งถูกนำไปประยุกต์ใช้กับฮ่องกงและมาเก๊า และเติ้งยังมีความประสงค์ที่จะนำเสนอแนวคิดนี้ต่อประชาชนชาว[[ประเทศไต้หวัน|ไต้หวัน]] เพื่อเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการผนวกดินแดนไต้หวันเข้ากับประเทศจีนในอนาคต ซึ่งปัจจุบันยังคงมีข้อพิพาทเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือดินแดนดังกล่าว<ref>Vogel, ''Deng Xiaoping'', pp. 477–91.</ref> ใน |
ทฤษฎี[[หนึ่งประเทศ สองระบบ]]ของเติ้งถูกนำไปประยุกต์ใช้กับฮ่องกงและมาเก๊า และเติ้งยังมีความประสงค์ที่จะนำเสนอแนวคิดนี้ต่อประชาชนชาว[[ประเทศไต้หวัน|ไต้หวัน]] เพื่อเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการผนวกดินแดนไต้หวันเข้ากับประเทศจีนในอนาคต ซึ่งปัจจุบันยังคงมีข้อพิพาทเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือดินแดนดังกล่าว<ref>Vogel, ''Deng Xiaoping'', pp. 477–91.</ref> ใน ค.ศ. 1982 เติ้งได้อธิบายถึงแนวคิด "หนึ่งประเทศ สองระบบ" เป็นครั้งแรก โดยมีไต้หวันเป็นตัวอย่างหลักในการนำเสนอแนวคิดนี้<ref>{{Cite book |last1=Wu |first1=Guoyou |title=An Ideological History of the Communist Party of China |last2=Ding |first2=Xuemai |date=2020 |publisher=Royal Collins Publishing Group |isbn=978-1-4878-0392-6 |editor-last=Zheng |editor-first=Qian |volume=3 |location=Montreal, Quebec |translator-last=Sun |translator-first=Li |translator-last2=Bryant |translator-first2=Shelly}}</ref>{{Rp|page=231}} |
||
คำกล่าวของเติ้งในระหว่างการร่าง[[กฎหมายมูลฐานฮ่องกง|กฎหมายมูลฐานแห่งฮ่องกง]] ค.ศ. 1987 ได้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของเขาที่มีต่อหลักการดังกล่าวในบริบทของฮ่องกง<ref name=":042">{{Cite book |last=Hu |first=Richard |title=Reinventing the Chinese City |date=2023 |publisher=[[Columbia University Press]] |isbn=978-0-231-21101-7 |location=New York}}</ref>{{Rp|page=176}} ในขณะนั้น เติ้งได้ประกาศว่ารัฐบาลกลางจะไม่แทรกแซงกิจการประจำวันของฮ่องกง แต่คาดการณ์ว่าบางครั้งฮ่องกงอาจเผชิญกับปัญหาบางประการที่กระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งจำเป็นต้องให้รัฐบาลกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง<ref name=":042" />{{Rp|pages=178–179}} เติ้งกล่าวว่า "หลังจากปี ค.ศ. 1997 เราจะยังคงอนุญาตให้ประชาชนในฮ่องกงวิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีนและประเทศจีนได้ในทางวาจา แต่ถ้าคำพูดเหล่านั้นถูกนำไปปฏิบัติ โดยพยายามเปลี่ยนฮ่องกงให้กลายเป็นฐานการต่อต้านจีนแผ่นดินใหญ่โดยอ้างถึง "ประชาธิปไตย" แล้ว กรณีเช่นนั้นก็ย่อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการแทรกแซง"<ref name="china.org.cn 1987 i438">{{cite web | title=Speech at a Meeting with the Members of The Committee for Drafting the Basic Law of the Hong Kong Special Administrative Region | website=china.org.cn | date=16 Apr 1987 | url=http://www.china.org.cn/english/features/dengxiaoping/103351.htm | access-date=1 Jan 2024 | archive-url=https://web.archive.org/web/20050508210613/http://www.china.org.cn/english/features/dengxiaoping/103351.htm | archive-date=8 May 2005}}</ref><ref name="香港01 2022 z800">{{cite web | title=回歸25周年|重溫鄧小平與香港的那些事 | website=香港01 | date=2 Jul 2022 | url= https://www.hk01.com/article/788065 | language=zh | access-date=1 Jan 2024}}</ref> ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1988 เติ้งได้กล่าวไว้ว่า "ระบบการเมืองของฮ่องกงในปัจจุบันไม่ได้เป็นแบบอังกฤษหรือแบบอเมริกัน และในอนาคตก็ไม่ควรนำระบบแบบตะวันตกมาใช้"<ref name=":042" />{{Rp|page=179}} |
คำกล่าวของเติ้งในระหว่างการร่าง[[กฎหมายมูลฐานฮ่องกง|กฎหมายมูลฐานแห่งฮ่องกง]] ค.ศ. 1987 ได้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของเขาที่มีต่อหลักการดังกล่าวในบริบทของฮ่องกง<ref name=":042">{{Cite book |last=Hu |first=Richard |title=Reinventing the Chinese City |date=2023 |publisher=[[Columbia University Press]] |isbn=978-0-231-21101-7 |location=New York}}</ref>{{Rp|page=176}} ในขณะนั้น เติ้งได้ประกาศว่ารัฐบาลกลางจะไม่แทรกแซงกิจการประจำวันของฮ่องกง แต่คาดการณ์ว่าบางครั้งฮ่องกงอาจเผชิญกับปัญหาบางประการที่กระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งจำเป็นต้องให้รัฐบาลกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง<ref name=":042" />{{Rp|pages=178–179}} เติ้งกล่าวว่า "หลังจากปี ค.ศ. 1997 เราจะยังคงอนุญาตให้ประชาชนในฮ่องกงวิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีนและประเทศจีนได้ในทางวาจา แต่ถ้าคำพูดเหล่านั้นถูกนำไปปฏิบัติ โดยพยายามเปลี่ยนฮ่องกงให้กลายเป็นฐานการต่อต้านจีนแผ่นดินใหญ่โดยอ้างถึง "ประชาธิปไตย" แล้ว กรณีเช่นนั้นก็ย่อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการแทรกแซง"<ref name="china.org.cn 1987 i438">{{cite web | title=Speech at a Meeting with the Members of The Committee for Drafting the Basic Law of the Hong Kong Special Administrative Region | website=china.org.cn | date=16 Apr 1987 | url=http://www.china.org.cn/english/features/dengxiaoping/103351.htm | access-date=1 Jan 2024 | archive-url=https://web.archive.org/web/20050508210613/http://www.china.org.cn/english/features/dengxiaoping/103351.htm | archive-date=8 May 2005}}</ref><ref name="香港01 2022 z800">{{cite web | title=回歸25周年|重溫鄧小平與香港的那些事 | website=香港01 | date=2 Jul 2022 | url= https://www.hk01.com/article/788065 | language=zh | access-date=1 Jan 2024}}</ref> ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1988 เติ้งได้กล่าวไว้ว่า "ระบบการเมืองของฮ่องกงในปัจจุบันไม่ได้เป็นแบบอังกฤษหรือแบบอเมริกัน และในอนาคตก็ไม่ควรนำระบบแบบตะวันตกมาใช้"<ref name=":042" />{{Rp|page=179}} |
||
บรรทัด 347: | บรรทัด 347: | ||
{{Main|นโยบายการวางแผนครอบครัวของประเทศจีน|การรณรงค์ปราบปรามอาชญากรรมอย่างเด็ดขาด ค.ศ. 1983}} |
{{Main|นโยบายการวางแผนครอบครัวของประเทศจีน|การรณรงค์ปราบปรามอาชญากรรมอย่างเด็ดขาด ค.ศ. 1983}} |
||
การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของจีนนำมาซึ่งปัญหาหลายประการ [[สำมะโนจีน ค.ศ. 1982|การสำรวจสำมะโนประชากรใน |
การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของจีนนำมาซึ่งปัญหาหลายประการ [[สำมะโนจีน ค.ศ. 1982|การสำรวจสำมะโนประชากรใน ค.ศ. 1982]] ได้เปิดเผยถึงการเติบโตของประชากรอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีจำนวนเกินกว่าหนึ่งพันล้านคนแล้ว เติ้งได้ดำเนิน[[นโยบายลูกคนเดียว|นโยบายจำกัดการมีบุตร]]ซึ่งเป็นนโยบายที่ฮฺว่า กั๋วเฟิงริเริ่มขึ้น โดยกำหนดให้สตรีมีบุตรได้เพียงคนเดียว หากฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษทางปกครอง<ref>{{Cite web |title=Family Planning in China |url=http://www.china-un.ch/eng/bjzl/t176938.htm |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20180619013045/http://www.china-un.ch/eng/bjzl/t176938.htm |archive-date=19 June 2018 |access-date=28 November 2019 |website=www.china-un.ch}}</ref> นโยบายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในเขตเมือง และรวมถึงการบังคับให้ทำแท้ง<ref>Wang Feng, Yong Cai, and Baochang Gu, "Population, policy, and politics: how will history judge China's one-child policy?". ''Population and Development Review'' 38 (2013): 115–129. [http://dragonreport.com/Dragon_Report/Challenges_files/Wang_pp115-129.pdf online] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20190606203524/http://dragonreport.com/Dragon_Report/Challenges_files/Wang_pp115-129.pdf |date=6 June 2019 }}</ref> |
||
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1983 เติ้งได้ประกาศเริ่ม "[[การรณรงค์ปราบปรามอาชญากรรมอย่างเด็ดขาด ค.ศ. 1983|การรณรงค์ปราบปรามอาชญากรรมอย่างเด็ดขาด]]" เพื่อแก้ไขปัญหาความปลอดภัยของประชาชนที่ย่ำแย่ลงภายหลังจากการปฏิวัติทางวัฒนธรรม<ref name=":03">{{Cite web |title=People's Daily Online -- China rejects "strike hard" anti-crime policy for more balanced approach |url=http://en.people.cn/200703/14/eng20070314_357516.html |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20201018113603/http://en.people.cn/200703/14/eng20070314_357516.html |archive-date=18 October 2020 |access-date=21 June 2020 |website=en.people.cn}}</ref><ref name=":4" /><ref name=":5" /> มีรายงานว่ารัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายการประหารชีวิตไว้ที่ 5,000 รายภายในกลางเดือนพฤศจิกายน และแหล่งข่าวจากไต้หวันอ้างว่ามีผู้ถูกประหารชีวิตสูงถึง 60,000 รายในช่วงเวลาดังกล่าว<ref>{{Cite web |title=In Human Rights, China Remains in the Maoist Era | the Heritage Foundation |url=http://www.heritage.org/research/reports/1985/06/in-human-rights-china-remains-in-the-maoist-era |url-status=dead |archive-url=https://web.archive.org/web/20110516232433/http://heritage.org/Research/Reports/1985/06/In-Human-Rights-China-Remains-in-the-Maoist-Era |archive-date=16 May 2011 |access-date=31 January 2017}}</ref> อย่างไรก็ตาม การประมาณการล่าสุดระบุว่ามี[[โทษประหารชีวิต|ผู้ถูกตัดสินประหารชีวิต]] 24,000 ราย (ส่วนใหญ่ในช่วง "การปราบปราม" ครั้งแรกของการรณรงค์)<ref name=":5" /><ref>{{Cite news |date=3 August 2013 |title=Strike less hard |newspaper=The Economist |url=https://www.economist.com/china/2013/08/03/strike-less-hard |url-status=live |access-date=23 March 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190323192208/https://www.economist.com/china/2013/08/03/strike-less-hard |archive-date=23 March 2019}}</ref> บุคคลจำนวนหนึ่งที่ถูกจับกุม (บางรายได้รับ[[โทษประหารชีวิต]]) เป็นบุตรหรือญาติของเจ้าหน้าที่รัฐในระดับต่าง ๆ รวมถึงหลานชายของ[[จู เต๋อ]] แสดงให้เห็นถึงหลักการที่ว่า "[[ความเสมอภาคทางกฎหมาย|ทุกคนเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมาย]]"<ref name=":4">{{Cite web |date=26 January 2018 |title=Detentions, torture, executions: how China dealt with mafia in the past |url=https://www.scmp.com/news/china/policies-politics/article/2130679/chinas-decades-long-battle-organised-crime |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20200622162409/https://www.scmp.com/news/china/policies-politics/article/2130679/chinas-decades-long-battle-organised-crime |archive-date=22 June 2020 |access-date=21 June 2020 |website=South China Morning Post}}</ref><ref name=":5">{{Cite web |last=Tao |first=Ying |title=1983年"严打":非常时期的非常手段 |url=http://history.people.com.cn/GB/205396/12999227.html |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20200622051609/http://history.people.com.cn/GB/205396/12999227.html |archive-date=22 June 2020 |access-date=21 June 2020 |website=history.people.com.cn |language=zh}}</ref><ref name=":6">{{Cite web |date=1 July 2010 |title="严打"政策的前世今生 |url=http://criminallaw.com.cn/article/default.asp |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20200203123314/http://www.criminallaw.com.cn/article/default.asp |archive-date=3 February 2020 |access-date=21 June 2020 |website=criminallaw.com.cn |language=zh}}</ref> การรณรงค์ดังกล่าวส่งผลบวกต่อความปลอดภัยสาธารณะในทันที แต่ก็ก่อให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับความรุนแรงเกินควรของบทลงโทษทางกฎหมายบางประการ และผลกระทบระยะยาวต่อความปลอดภัยสาธารณะ<ref name=":6" /><ref name=":13">{{Cite journal |last=Trevaskes |first=Susan |date=2002 |title=Courts on the Campaign Path in China: Criminal Court Work in the "Yanda 2001" Anti-Crime Campaign |journal=Asian Survey |volume=42 |issue=5 |pages=673–693 |doi=10.1525/as.2002.42.5.673 |issn=0004-4687 |jstor=10.1525/as.2002.42.5.673 |hdl-access=free |hdl=10072/6536}}</ref> |
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1983 เติ้งได้ประกาศเริ่ม "[[การรณรงค์ปราบปรามอาชญากรรมอย่างเด็ดขาด ค.ศ. 1983|การรณรงค์ปราบปรามอาชญากรรมอย่างเด็ดขาด]]" เพื่อแก้ไขปัญหาความปลอดภัยของประชาชนที่ย่ำแย่ลงภายหลังจากการปฏิวัติทางวัฒนธรรม<ref name=":03">{{Cite web |title=People's Daily Online -- China rejects "strike hard" anti-crime policy for more balanced approach |url=http://en.people.cn/200703/14/eng20070314_357516.html |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20201018113603/http://en.people.cn/200703/14/eng20070314_357516.html |archive-date=18 October 2020 |access-date=21 June 2020 |website=en.people.cn}}</ref><ref name=":4" /><ref name=":5" /> มีรายงานว่ารัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายการประหารชีวิตไว้ที่ 5,000 รายภายในกลางเดือนพฤศจิกายน และแหล่งข่าวจากไต้หวันอ้างว่ามีผู้ถูกประหารชีวิตสูงถึง 60,000 รายในช่วงเวลาดังกล่าว<ref>{{Cite web |title=In Human Rights, China Remains in the Maoist Era | the Heritage Foundation |url=http://www.heritage.org/research/reports/1985/06/in-human-rights-china-remains-in-the-maoist-era |url-status=dead |archive-url=https://web.archive.org/web/20110516232433/http://heritage.org/Research/Reports/1985/06/In-Human-Rights-China-Remains-in-the-Maoist-Era |archive-date=16 May 2011 |access-date=31 January 2017}}</ref> อย่างไรก็ตาม การประมาณการล่าสุดระบุว่ามี[[โทษประหารชีวิต|ผู้ถูกตัดสินประหารชีวิต]] 24,000 ราย (ส่วนใหญ่ในช่วง "การปราบปราม" ครั้งแรกของการรณรงค์)<ref name=":5" /><ref>{{Cite news |date=3 August 2013 |title=Strike less hard |newspaper=The Economist |url=https://www.economist.com/china/2013/08/03/strike-less-hard |url-status=live |access-date=23 March 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190323192208/https://www.economist.com/china/2013/08/03/strike-less-hard |archive-date=23 March 2019}}</ref> บุคคลจำนวนหนึ่งที่ถูกจับกุม (บางรายได้รับ[[โทษประหารชีวิต]]) เป็นบุตรหรือญาติของเจ้าหน้าที่รัฐในระดับต่าง ๆ รวมถึงหลานชายของ[[จู เต๋อ]] แสดงให้เห็นถึงหลักการที่ว่า "[[ความเสมอภาคทางกฎหมาย|ทุกคนเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมาย]]"<ref name=":4">{{Cite web |date=26 January 2018 |title=Detentions, torture, executions: how China dealt with mafia in the past |url=https://www.scmp.com/news/china/policies-politics/article/2130679/chinas-decades-long-battle-organised-crime |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20200622162409/https://www.scmp.com/news/china/policies-politics/article/2130679/chinas-decades-long-battle-organised-crime |archive-date=22 June 2020 |access-date=21 June 2020 |website=South China Morning Post}}</ref><ref name=":5">{{Cite web |last=Tao |first=Ying |title=1983年"严打":非常时期的非常手段 |url=http://history.people.com.cn/GB/205396/12999227.html |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20200622051609/http://history.people.com.cn/GB/205396/12999227.html |archive-date=22 June 2020 |access-date=21 June 2020 |website=history.people.com.cn |language=zh}}</ref><ref name=":6">{{Cite web |date=1 July 2010 |title="严打"政策的前世今生 |url=http://criminallaw.com.cn/article/default.asp |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20200203123314/http://www.criminallaw.com.cn/article/default.asp |archive-date=3 February 2020 |access-date=21 June 2020 |website=criminallaw.com.cn |language=zh}}</ref> การรณรงค์ดังกล่าวส่งผลบวกต่อความปลอดภัยสาธารณะในทันที แต่ก็ก่อให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับความรุนแรงเกินควรของบทลงโทษทางกฎหมายบางประการ และผลกระทบระยะยาวต่อความปลอดภัยสาธารณะ<ref name=":6" /><ref name=":13">{{Cite journal |last=Trevaskes |first=Susan |date=2002 |title=Courts on the Campaign Path in China: Criminal Court Work in the "Yanda 2001" Anti-Crime Campaign |journal=Asian Survey |volume=42 |issue=5 |pages=673–693 |doi=10.1525/as.2002.42.5.673 |issn=0004-4687 |jstor=10.1525/as.2002.42.5.673 |hdl-access=free |hdl=10072/6536}}</ref> |
||
การเพิ่มขึ้นของเสรีภาพทางเศรษฐกิจกำลังถูกแปลความหมายไปสู่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่กว้างขวางขึ้น และมีนักวิจารณ์เริ่มผุดขึ้นภายในระบบ รวมถึง[[เว่ย์ จิงเชิง]] นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยชื่อดังผู้ซึ่งบัญญัติศัพท์ "การปฏิรูปที่ห้า" เพื่ออ้างถึงระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ขาดหายไปในแผนการปฏิรูปของเติ้ง เสี่ยวผิง ในช่วงปลายทศวรรษ |
การเพิ่มขึ้นของเสรีภาพทางเศรษฐกิจกำลังถูกแปลความหมายไปสู่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่กว้างขวางขึ้น และมีนักวิจารณ์เริ่มผุดขึ้นภายในระบบ รวมถึง[[เว่ย์ จิงเชิง]] นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยชื่อดังผู้ซึ่งบัญญัติศัพท์ "การปฏิรูปที่ห้า" เพื่ออ้างถึงระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ขาดหายไปในแผนการปฏิรูปของเติ้ง เสี่ยวผิง ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 ความไม่พอใจต่อระบอบอำนาจนิยมและความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นได้ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดต่อความเป็นผู้นำของเติ้ง |
||
=== ปราบปรามการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน === |
=== ปราบปรามการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน === |
||
บรรทัด 366: | บรรทัด 366: | ||
จ้าวถูกควบคุมตัวไว้ในบ้านโดยกลุ่มหัวรุนแรง และเติ้งเองก็ถูกบีบให้ยอมรับเงื่อนไขบางประการของกลุ่มดังกล่าว<ref name="macfarquhar" />{{page needed|date=July 2020}} ไม่นานนัก เขาได้ประกาศว่า "โลกจักรวรรดินิยมตะวันตกทั้งหมดวางแผนที่จะบีบบังคับให้ประเทศสังคมนิยมทุกประเทศละทิ้งแนวทางสังคมนิยม และจากนั้นให้นำประเทศเหล่านั้นเข้าสู่การผูกขาดของทุนนิยมระหว่างประเทศ และเดินบนเส้นทางทุนนิยม" หลายเดือนต่อมาเขาได้กล่าวว่า "สหรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง" ในการเคลื่อนไหวของนักศึกษา โดยอ้างถึงบรรดานักข่าวต่างชาติที่ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่นักศึกษาแกนนำ และต่อมาได้[[ปฏิบัติการเยลโลเบิร์ด|ช่วยเหลือนักศึกษาเหล่านั้นหลบหนีไปยังประเทศตะวันตกหลายประเทศ]] โดยส่วนใหญ่ไปยังสหรัฐผ่านฮ่องกงและไต้หวัน<ref name="macfarquhar" />{{page needed|date=July 2020}} |
จ้าวถูกควบคุมตัวไว้ในบ้านโดยกลุ่มหัวรุนแรง และเติ้งเองก็ถูกบีบให้ยอมรับเงื่อนไขบางประการของกลุ่มดังกล่าว<ref name="macfarquhar" />{{page needed|date=July 2020}} ไม่นานนัก เขาได้ประกาศว่า "โลกจักรวรรดินิยมตะวันตกทั้งหมดวางแผนที่จะบีบบังคับให้ประเทศสังคมนิยมทุกประเทศละทิ้งแนวทางสังคมนิยม และจากนั้นให้นำประเทศเหล่านั้นเข้าสู่การผูกขาดของทุนนิยมระหว่างประเทศ และเดินบนเส้นทางทุนนิยม" หลายเดือนต่อมาเขาได้กล่าวว่า "สหรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง" ในการเคลื่อนไหวของนักศึกษา โดยอ้างถึงบรรดานักข่าวต่างชาติที่ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่นักศึกษาแกนนำ และต่อมาได้[[ปฏิบัติการเยลโลเบิร์ด|ช่วยเหลือนักศึกษาเหล่านั้นหลบหนีไปยังประเทศตะวันตกหลายประเทศ]] โดยส่วนใหญ่ไปยังสหรัฐผ่านฮ่องกงและไต้หวัน<ref name="macfarquhar" />{{page needed|date=July 2020}} |
||
แม้ว่าในเบื้องต้นเติ้งจะยอมผ่อนปรนให้แก่กลุ่มผู้สนับสนุนสังคมนิยมหัวรุนแรง แต่ไม่นานหลังจากการเดินทางเยือนภาคใต้ใน |
แม้ว่าในเบื้องต้นเติ้งจะยอมผ่อนปรนให้แก่กลุ่มผู้สนับสนุนสังคมนิยมหัวรุนแรง แต่ไม่นานหลังจากการเดินทางเยือนภาคใต้ใน ค.ศ. 1992 เขาก็ได้กลับมาดำเนินการปฏิรูปอีกครั้ง หลังจากการเยือนครั้งนั้น เขาสามารถยุติการโจมตีการปฏิรูปของกลุ่มสังคมนิยมหัวรุนแรงผ่านการรณรงค์ "ตั้งชื่อว่าทุนนิยมหรือสังคมนิยม" ได้สำเร็จ<ref>Miles, James (1997). ''The Legacy of Tiananmen: China in Disarray.'' University of Michigan Press. {{ISBN|978-0-472-08451-7}}.</ref>{{page needed|date=July 2020}} เติ้งได้กล่าวเป็นการส่วนตัวกับ[[พีเอร์ ทรูโด]] อดีตนายกรัฐมนตรีแคนาดา ว่ากลุ่มต่าง ๆ ภายในพรรคคอมมิวนิสต์นั้นสามารถยึดหน่วยทหารได้ และประเทศก็เสี่ยงจะเกิดสงครามกลางเมือง<ref name="miles">The Legacy of Tiananmen By James A. R. Miles</ref>{{Page needed|date=December 2017}} สองปีต่อมา เติ้งได้สนับสนุนให้[[จู หรงจี้]] นายกเทศมนตรีเซี่ยงไฮ้ขึ้นดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี จูได้ปฏิเสธที่จะประกาศ[[กฎอัยการศึก]]ในเซี่ยงไฮ้ในระหว่างการประท้วง แม้ว่ากลุ่มผู้สนับสนุนสังคมนิยมหัวรุนแรงจะกดดันเขาแล้วก็ตาม<ref name="macfarquhar">The Politics of China By Roderick MacFarquhar</ref>{{Page needed|date=December 2017}} |
||
== การเกษียณและเยือนภาคใต้ == |
== การเกษียณและเยือนภาคใต้ == |
||
{{main|การเยือนภาคใต้ของเติ้ง เสี่ยวผิง}} |
{{main|การเยือนภาคใต้ของเติ้ง เสี่ยวผิง}} |
||
[[File:DengXiaoPingNanXunJunJian.jpg|thumb|เรือตรวจการณ์ที่ใช้ในการเยือนภาคใต้ของเติ้ง เสี่ยวผิง]] |
[[File:DengXiaoPingNanXunJunJian.jpg|thumb|เรือตรวจการณ์ที่ใช้ในการเยือนภาคใต้ของเติ้ง เสี่ยวผิง]] |
||
เติ้งตัดสินใจเกษียณอายุจากตำแหน่งสูงสุดอย่างเป็นทางการ เมื่อเขาได้ลาออกจากตำแหน่งประธาน[[คณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง (จีน)|คณะกรรมการการทหารส่วนกลาง]]ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1989 และ[[เจียง เจ๋อหมิน]] ผู้สืบทอดตำแหน่งของเขาก็ได้เข้ารับตำแหน่งแทนและเป็น[[ผู้นำสูงสุดของจีน|ผู้นำสูงสุดของประเทศ]]<ref name=":0">{{Cite news |last=Faison |first=Seth |date=20 February 1997 |title=Deng Xiaoping Is Dead at 92; Architect of Modern China |language=en-US |page=A1 |work=The New York Times |url=https://www.nytimes.com/1997/02/20/world/deng-xiaoping-is-dead-at-92-architect-of-modern-china.html |url-status=live |access-date=27 July 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20170123203613/http://www.nytimes.com/1997/02/20/world/deng-xiaoping-is-dead-at-92-architect-of-modern-china.html |archive-date=23 January 2017 |issn=0362-4331}}</ref><ref name=":1">{{Cite news |last=Denmark |first=Abraham |date=19 December 2018 |title=Analysis {{!}} 40 years ago, Deng Xiaoping changed China—and the world |newspaper=The Washington Post |url=https://www.washingtonpost.com/news/monkey-cage/wp/2018/12/19/40-years-ago-deng-xiaoping-changed-china-and-the-world/ |url-status=live |access-date=27 July 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190508043643/https://www.washingtonpost.com/news/monkey-cage/wp/2018/12/19/40-years-ago-deng-xiaoping-changed-china-and-the-world/ |archive-date=8 May 2019}}</ref> อย่างไรก็ตาม จีนยังคงอยู่ในยุคสมัยของเติ้ง เสี่ยวผิง เขายังคงได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้นำทางพฤตินัยของประเทศ ถึงแม้จะไม่มีตำแหน่งทางการใด ๆ นอกเหนือจากประธานสมาคม[[บริดจ์ (เกมไพ่)|ไพ่บริดจ์]]แห่งประเทศจีน และเชื่อกันว่าเขามีอำนาจควบคุมอยู่เบื้องหลัง<ref>[http://news.bbc.co.uk/1/shared/spl/hi/asia_pac/02/china_party_congress/china_ruling_party/how_china_is_ruled/html/party_elders.stm How China is ruled] {{webarchive |url=https://web.archive.org/web/20170911112006/http://news.bbc.co.uk/1/shared/spl/hi/asia_pac/02/china_party_congress/china_ruling_party/how_china_is_ruled/html/party_elders.stm |date=11 September 2017}}, BBC 2003.</ref> ทั้งนี้เขาได้แต่งตั้ง[[หู จิ่นเทา]]ให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเจียงใน[[การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 14|การประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคครั้งที่ 14]] ใน |
เติ้งตัดสินใจเกษียณอายุจากตำแหน่งสูงสุดอย่างเป็นทางการ เมื่อเขาได้ลาออกจากตำแหน่งประธาน[[คณะกรรมาธิการการทหารส่วนกลาง (จีน)|คณะกรรมการการทหารส่วนกลาง]]ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1989 และ[[เจียง เจ๋อหมิน]] ผู้สืบทอดตำแหน่งของเขาก็ได้เข้ารับตำแหน่งแทนและเป็น[[ผู้นำสูงสุดของจีน|ผู้นำสูงสุดของประเทศ]]<ref name=":0">{{Cite news |last=Faison |first=Seth |date=20 February 1997 |title=Deng Xiaoping Is Dead at 92; Architect of Modern China |language=en-US |page=A1 |work=The New York Times |url=https://www.nytimes.com/1997/02/20/world/deng-xiaoping-is-dead-at-92-architect-of-modern-china.html |url-status=live |access-date=27 July 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20170123203613/http://www.nytimes.com/1997/02/20/world/deng-xiaoping-is-dead-at-92-architect-of-modern-china.html |archive-date=23 January 2017 |issn=0362-4331}}</ref><ref name=":1">{{Cite news |last=Denmark |first=Abraham |date=19 December 2018 |title=Analysis {{!}} 40 years ago, Deng Xiaoping changed China—and the world |newspaper=The Washington Post |url=https://www.washingtonpost.com/news/monkey-cage/wp/2018/12/19/40-years-ago-deng-xiaoping-changed-china-and-the-world/ |url-status=live |access-date=27 July 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190508043643/https://www.washingtonpost.com/news/monkey-cage/wp/2018/12/19/40-years-ago-deng-xiaoping-changed-china-and-the-world/ |archive-date=8 May 2019}}</ref> อย่างไรก็ตาม จีนยังคงอยู่ในยุคสมัยของเติ้ง เสี่ยวผิง เขายังคงได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้นำทางพฤตินัยของประเทศ ถึงแม้จะไม่มีตำแหน่งทางการใด ๆ นอกเหนือจากประธานสมาคม[[บริดจ์ (เกมไพ่)|ไพ่บริดจ์]]แห่งประเทศจีน และเชื่อกันว่าเขามีอำนาจควบคุมอยู่เบื้องหลัง<ref>[http://news.bbc.co.uk/1/shared/spl/hi/asia_pac/02/china_party_congress/china_ruling_party/how_china_is_ruled/html/party_elders.stm How China is ruled] {{webarchive |url=https://web.archive.org/web/20170911112006/http://news.bbc.co.uk/1/shared/spl/hi/asia_pac/02/china_party_congress/china_ruling_party/how_china_is_ruled/html/party_elders.stm |date=11 September 2017}}, BBC 2003.</ref> ทั้งนี้เขาได้แต่งตั้ง[[หู จิ่นเทา]]ให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเจียงใน[[การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 14|การประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคครั้งที่ 14]] ใน ค.ศ. 1992 เติ้งได้รับการยกย่องอย่างเป็นทางการว่าเป็น "สถาปนิกผู้นำการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมนิยมสมัยใหม่ของจีน" สำหรับพรรค เชื่อกันว่าเขาเป็นแบบอย่างที่ดีแก่แกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ที่ปฏิเสธที่จะเกษียณอายุเมื่อถึงวัย เขาได้ทำลายธรรมเนียมปฏิบัติเดิมที่ยึดถือการดำรงตำแหน่งตลอดชีวิต เขามักถูกเรียกขานสั้น ๆ ว่า "สหายเสี่ยวผิง" โดยปราศจากตำแหน่งใด ๆ ต่อท้าย |
||
[[การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พ.ศ. 2532|การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989]] ส่งผลให้อำนาจของเติ้งอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ และภายในพรรคก็ได้เกิดกลุ่มอนุรักษ์นิยมขึ้นมาต่อต้านการปฏิรูปของเติ้งอย่างแข็งขัน เพื่อย้ำนโยบายทางเศรษฐกิจของตนอีกครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1992 เติ้งได้เดินทางเยือนภาคใต้ของจีน โดยได้เยือนเมือง[[กว่างโจว]] [[เชินเจิ้น]] [[จูไห่]] และใช้เวลาช่วงเทศกาลตรุษจีนที่เซี่ยงไฮ้ การเดินทางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นย้ำนโยบายเศรษฐกิจของตนหลังจากเกษียณอายุไปแล้ว<ref>{{Cite web |last=Fisher |first=Max |date=2 June 2014 |title=This 1989 speech is one of China's most important |url=https://www.vox.com/2014/6/2/5772016/this-1989-speech-is-one-of-the-most-important-in-chinas-history-and |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20190727204832/https://www.vox.com/2014/6/2/5772016/this-1989-speech-is-one-of-the-most-important-in-chinas-history-and |archive-date=27 July 2019 |access-date=27 July 2019 |website=Vox}}</ref><ref name="SuishengZhao">{{Cite journal |last=Zhao |first=Suisheng |author-link=Suisheng Zhao |date=1993 |title=Deng Xiaoping's Southern Tour: Elite Politics in Post-Tiananmen China |journal=Asian Survey |volume=33 |issue=8 |pages=739–756 |doi=10.2307/2645086 |issn=0004-4687 |jstor=2645086}}</ref> เขากล่าวว่า "คนบางกลุ่มได้ให้ร้ายต่อระบบสังคมนิยมของเราว่าเป็นระบบของราชวงศ์ฉิน ซึ่งเป็นการกล่าวหาที่น่ารำคาญยิ่งนัก! ระบบของเราไม่ได้เป็นเผด็จการ แต่เป็นประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ ในช่วงที่ประธานเหมาเป็นผู้นำก็ไม่ได้เป็นแบบราชวงศ์ฉิน แต่เป็นประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์เช่นกัน หากจะเปรียบเทียบแล้ว ระบบของเรานั้นน่าจะใกล้เคียงกับระบบของฝรั่งเศสมากกว่า"<ref>{{Cite web|url=https://ebook.dswxyjy.org.cn/storage/files/20220801/21755a99b032fbbb16115b11d359783057035/mobile/index.html|title=邓小平文选(第三卷)|website=ebook.dswxyjy.org.cn}}</ref> การเยือนภาคใต้ใน |
[[การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พ.ศ. 2532|การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989]] ส่งผลให้อำนาจของเติ้งอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ และภายในพรรคก็ได้เกิดกลุ่มอนุรักษ์นิยมขึ้นมาต่อต้านการปฏิรูปของเติ้งอย่างแข็งขัน เพื่อย้ำนโยบายทางเศรษฐกิจของตนอีกครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1992 เติ้งได้เดินทางเยือนภาคใต้ของจีน โดยได้เยือนเมือง[[กว่างโจว]] [[เชินเจิ้น]] [[จูไห่]] และใช้เวลาช่วงเทศกาลตรุษจีนที่เซี่ยงไฮ้ การเดินทางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นย้ำนโยบายเศรษฐกิจของตนหลังจากเกษียณอายุไปแล้ว<ref>{{Cite web |last=Fisher |first=Max |date=2 June 2014 |title=This 1989 speech is one of China's most important |url=https://www.vox.com/2014/6/2/5772016/this-1989-speech-is-one-of-the-most-important-in-chinas-history-and |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20190727204832/https://www.vox.com/2014/6/2/5772016/this-1989-speech-is-one-of-the-most-important-in-chinas-history-and |archive-date=27 July 2019 |access-date=27 July 2019 |website=Vox}}</ref><ref name="SuishengZhao">{{Cite journal |last=Zhao |first=Suisheng |author-link=Suisheng Zhao |date=1993 |title=Deng Xiaoping's Southern Tour: Elite Politics in Post-Tiananmen China |journal=Asian Survey |volume=33 |issue=8 |pages=739–756 |doi=10.2307/2645086 |issn=0004-4687 |jstor=2645086}}</ref> เขากล่าวว่า "คนบางกลุ่มได้ให้ร้ายต่อระบบสังคมนิยมของเราว่าเป็นระบบของราชวงศ์ฉิน ซึ่งเป็นการกล่าวหาที่น่ารำคาญยิ่งนัก! ระบบของเราไม่ได้เป็นเผด็จการ แต่เป็นประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ ในช่วงที่ประธานเหมาเป็นผู้นำก็ไม่ได้เป็นแบบราชวงศ์ฉิน แต่เป็นประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์เช่นกัน หากจะเปรียบเทียบแล้ว ระบบของเรานั้นน่าจะใกล้เคียงกับระบบของฝรั่งเศสมากกว่า"<ref>{{Cite web|url=https://ebook.dswxyjy.org.cn/storage/files/20220801/21755a99b032fbbb16115b11d359783057035/mobile/index.html|title=邓小平文选(第三卷)|website=ebook.dswxyjy.org.cn}}</ref> การเยือนภาคใต้ใน ค.ศ. 1992 ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งใน[[ประวัติศาสตร์สาธารณรัฐประชาชนจีน|ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของจีน]] เพราะได้ช่วยรักษา[[การปฏิรูปเศรษฐกิจจีน|การปฏิรูปเศรษฐกิจของจีน]]ไว้ และยังคงไว้ซึ่งความมั่นคงของสังคม<ref name=":32">{{Cite web |date=2009 |title=Deng Xiaoping's Southern Tour |url=http://chinaconnectu.com/wp-content/pdf/DengXiaopingsSouthernTour.pdf |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20170517044420/http://chinaconnectu.com/wp-content/pdf/DengXiaopingsSouthernTour.pdf |archive-date=17 May 2017 |access-date=1 May 2020 |website=Berkshire Publishing Group LLC}}</ref><ref name=":12">{{Cite web |last=Ma |first=Damien |date=23 January 2012 |title=After 20 Years of 'Peaceful Evolution,' China Faces Another Historic Moment |url=https://www.theatlantic.com/international/archive/2012/01/after-20-years-of-peaceful-evolution-china-faces-another-historic-moment/251764/ |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20190816112722/https://www.theatlantic.com/international/archive/2012/01/after-20-years-of-peaceful-evolution-china-faces-another-historic-moment/251764/ |archive-date=16 August 2019 |access-date=1 May 2020 |website=The Atlantic |language=en-US}}</ref><ref>{{Cite web |date=21 August 2014 |title='How my father's speeches saved Chinese economic reform': Deng Xiaoping's daughter pays tribute |url=https://www.scmp.com/news/china/article/1578453/how-my-fathers-speeches-saved-chinese-economic-reform-deng-xiaopings |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20200803081210/https://www.scmp.com/news/china/article/1578453/how-my-fathers-speeches-saved-chinese-economic-reform-deng-xiaopings |archive-date=3 August 2020 |access-date=1 May 2020 |website=South China Morning Post}}</ref><ref name=":22">{{Cite news |date=18 December 2008 |title=The great pragmatist: Deng Xiaoping |language=en-GB |work=The Guardian |url=https://www.theguardian.com/business/2008/dec/18/globaleconomy-economics |url-status=live |access-date=1 May 2020 |archive-url=https://web.archive.org/web/20200502094413/https://www.theguardian.com/business/2008/dec/18/globaleconomy-economics |archive-date=2 May 2020 |issn=0261-3077}}</ref><ref>{{Cite journal |last=Zhao |first=Suisheng |date=1993 |title=Deng Xiaoping's Southern Tour: Elite Politics in Post-Tiananmen China |journal=Asian Survey |volume=33 |issue=8 |pages=739–756 |doi=10.2307/2645086 |issn=0004-4687 |jstor=2645086}}</ref> สุขภาพของเติ้งเสื่อมลงอย่างรวดเร็วหลังปี ค.ศ. 1994 ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1995 บุตรีของเติ้งได้ให้เปิดเผยแก่สื่อมวลชนว่า "เมื่อปีที่แล้ว ท่านสามารถเดินได้นาน 30 นาทีวันละ 2 ครั้ง แต่ปัจจุบันไม่สามารถเดินได้แล้ว ... ท่านต้องอาศัยคนช่วยพยุงสองคน"<ref name="Tampa Bay Times 1995 k697">{{cite web | title=Health of China's Deng worsens | website=Tampa Bay Times | date=14 Jan 1995 | url=https://www.tampabay.com/archive/1995/01/14/health-of-china-s-deng-worsens/?outputType=amp | access-date=30 Nov 2023 | archive-date=2 December 2023 | archive-url=https://web.archive.org/web/20231202170359/https://www.tampabay.com/archive/1995/01/14/health-of-china-s-deng-worsens/?outputType=amp | url-status=live }}</ref> ยังมีรายงานอีกว่าในปีเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพาร์คินสันถูกส่งตัวไปยังปักกิ่งเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เขา<ref name="South China Morning Post 1995 b711">{{cite web | title=Parkinson's experts sent to help Deng | website=South China Morning Post | date=26 Jan 1995 | url=https://www.scmp.com/article/104772/parkinsons-experts-sent-help-deng | archive-url=https://web.archive.org/web/20231130174822/https://www.scmp.com/article/104772/parkinsons-experts-sent-help-deng | archive-date=30 Nov 2023 | url-status=live | access-date=30 Nov 2023}}</ref> |
||
== อสัญกรรม == |
== อสัญกรรม == |
||
บรรทัด 380: | บรรทัด 380: | ||
เติ้งถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 เวลา 21.08 น. ตามเวลาปักกิ่ง สิริอายุ 92 ปี จากการติดเชื้อในปอดและ[[โรคพาร์คินสัน]]<ref>{{Cite book |last=Hsü |first=Immanuel C.Y. |title=The Rise of Modern China |date=2000 |publisher=Oxford University Press |isbn=9780195125047 |edition=6th |location=New York |page=974 |author-link=Immanuel C. Y. Hsu}}</ref><ref>{{Cite web |title=Deng Xiaoping, leader of China's economic reforms, dies |url=https://apnews.com/c47e171cfed30e65e724dd709474c8fa |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20211026221211/https://apnews.com/c47e171cfed30e65e724dd709474c8fa |archive-date=26 October 2021 |access-date=18 July 2021 |website=Associated Press}}</ref> ประชาชนส่วนใหญ่มีความพร้อมรับกับการอสัญกรรมของเขา เนื่องจากมีข่าวลือว่าสุขภาพของเขากำลังย่ำแย่ลง เวลา 10:00 น. ของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นายกรัฐมนตรี[[หลี่ เผิง]] ได้ขอให้ประชาชนร่วมกันยืนสงบนิ่งเพื่อแสดงความอาลัยเป็นเวลา 3 นาที ธงชาติของประเทศถูก[[การลดธงครึ่งเสา|ลดครึ่งเสา]]เป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ พิธีศพซึ่งถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ เป็นพิธีที่เรียบง่ายและค่อนข้างเป็นส่วนตัว มีเพียงผู้นำระดับสูงของประเทศและครอบครัวของเติ้งเท่านั้นที่เข้าร่วม และได้มีการถ่ายทอดสดผ่านช่องสัญญาณเคเบิลทุกช่อง ภายหลังพิธีศพ อวัยวะของเขาได้ถูกบริจาคเพื่อการวิจัยทางการแพทย์ ส่วนร่างกายที่เหลือได้ถูกนำไปฌาปนกิจ ณ [[สุสานปฏิวัติปาเป่าชาน]] และอัฐิของเขาได้ถูกโปรยลงสู่ทะเลตามความประสงค์สุดท้าย ตลอดสองสัปดาห์ถัดมา สื่อของรัฐบาลจีนได้เผยแพร่ข่าวและสารคดีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและการอสัญกรรมของเติ้ง โดย[[ซินเหวินเหลียนปัว|รายการข่าวแห่งชาติ]]เวลา 19:00 น. ซึ่งเป็นรายการข่าวภาคค่ำประจำวัน ได้ขยายเวลาออกอากาศไปเกือบสองชั่วโมงจากเวลาออกอากาศปกติ{{fact|date=September 2024}} |
เติ้งถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 เวลา 21.08 น. ตามเวลาปักกิ่ง สิริอายุ 92 ปี จากการติดเชื้อในปอดและ[[โรคพาร์คินสัน]]<ref>{{Cite book |last=Hsü |first=Immanuel C.Y. |title=The Rise of Modern China |date=2000 |publisher=Oxford University Press |isbn=9780195125047 |edition=6th |location=New York |page=974 |author-link=Immanuel C. Y. Hsu}}</ref><ref>{{Cite web |title=Deng Xiaoping, leader of China's economic reforms, dies |url=https://apnews.com/c47e171cfed30e65e724dd709474c8fa |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20211026221211/https://apnews.com/c47e171cfed30e65e724dd709474c8fa |archive-date=26 October 2021 |access-date=18 July 2021 |website=Associated Press}}</ref> ประชาชนส่วนใหญ่มีความพร้อมรับกับการอสัญกรรมของเขา เนื่องจากมีข่าวลือว่าสุขภาพของเขากำลังย่ำแย่ลง เวลา 10:00 น. ของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นายกรัฐมนตรี[[หลี่ เผิง]] ได้ขอให้ประชาชนร่วมกันยืนสงบนิ่งเพื่อแสดงความอาลัยเป็นเวลา 3 นาที ธงชาติของประเทศถูก[[การลดธงครึ่งเสา|ลดครึ่งเสา]]เป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ พิธีศพซึ่งถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ เป็นพิธีที่เรียบง่ายและค่อนข้างเป็นส่วนตัว มีเพียงผู้นำระดับสูงของประเทศและครอบครัวของเติ้งเท่านั้นที่เข้าร่วม และได้มีการถ่ายทอดสดผ่านช่องสัญญาณเคเบิลทุกช่อง ภายหลังพิธีศพ อวัยวะของเขาได้ถูกบริจาคเพื่อการวิจัยทางการแพทย์ ส่วนร่างกายที่เหลือได้ถูกนำไปฌาปนกิจ ณ [[สุสานปฏิวัติปาเป่าชาน]] และอัฐิของเขาได้ถูกโปรยลงสู่ทะเลตามความประสงค์สุดท้าย ตลอดสองสัปดาห์ถัดมา สื่อของรัฐบาลจีนได้เผยแพร่ข่าวและสารคดีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและการอสัญกรรมของเติ้ง โดย[[ซินเหวินเหลียนปัว|รายการข่าวแห่งชาติ]]เวลา 19:00 น. ซึ่งเป็นรายการข่าวภาคค่ำประจำวัน ได้ขยายเวลาออกอากาศไปเกือบสองชั่วโมงจากเวลาออกอากาศปกติ{{fact|date=September 2024}} |
||
เจียง เจ๋อหมิน ผู้สืบทอดตำแหน่งของเติ้งยังคงดำเนินนโยบายตามแนวทาง[[ทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง|ปรัชญาทางการเมืองและเศรษฐกิจของเติ้ง]] เติ้งได้รับการยกย่องว่าเป็น "มาร์กซิสต์ผู้ยิ่งใหญ่ นักปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพผู้ยิ่งใหญ่ รัฐบุรุษ นักยุทธศาสตร์การทหาร และนักการทูต หนึ่งในผู้นำหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีน [[กองทัพปลดปล่อยประชาชน|กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน]] และสาธารณรัฐประชาชนจีน สถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่แห่งการเปิดประเทศแบบสังคมนิยมและการปฏิรูปประเทศจีนให้ทันสมัย และผู้ริเริ่ม[[ทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง]]"<ref>[http://www.cnn.com/WORLD/9702/24/china.deng/ CNN: China officially mourns Deng Xiaoping] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20021119122614/http://www.cnn.com/WORLD/9702/24/china.deng/ |date=19 November 2002 }} 24 February 1997</ref> อย่างไรก็ตาม กลุ่มบุคคลบางกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มลัทธิเหมาสมัยใหม่และนักปฏิรูปหัวรุนแรง (ทั้งฝ่ายซ้ายจัดและขวาจัด) นั้นมีมุมมองต่อเขาในแง่ลบ ปีต่อมา บทเพลงอย่าง "[[ชุนเทียนเตอะกู้ชื่อ]]" (นิทานฤดูใบไม้ผลิ) ที่ขับร้องโดย[[ต่ง เหวิน-หฺวา]] ซึ่งประพันธ์ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เติ้งหลังจากการเดินทางเยือนภาคใต้ของเขาใน |
เจียง เจ๋อหมิน ผู้สืบทอดตำแหน่งของเติ้งยังคงดำเนินนโยบายตามแนวทาง[[ทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง|ปรัชญาทางการเมืองและเศรษฐกิจของเติ้ง]] เติ้งได้รับการยกย่องว่าเป็น "มาร์กซิสต์ผู้ยิ่งใหญ่ นักปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพผู้ยิ่งใหญ่ รัฐบุรุษ นักยุทธศาสตร์การทหาร และนักการทูต หนึ่งในผู้นำหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีน [[กองทัพปลดปล่อยประชาชน|กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน]] และสาธารณรัฐประชาชนจีน สถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่แห่งการเปิดประเทศแบบสังคมนิยมและการปฏิรูปประเทศจีนให้ทันสมัย และผู้ริเริ่ม[[ทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง]]"<ref>[http://www.cnn.com/WORLD/9702/24/china.deng/ CNN: China officially mourns Deng Xiaoping] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20021119122614/http://www.cnn.com/WORLD/9702/24/china.deng/ |date=19 November 2002 }} 24 February 1997</ref> อย่างไรก็ตาม กลุ่มบุคคลบางกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มลัทธิเหมาสมัยใหม่และนักปฏิรูปหัวรุนแรง (ทั้งฝ่ายซ้ายจัดและขวาจัด) นั้นมีมุมมองต่อเขาในแง่ลบ ปีต่อมา บทเพลงอย่าง "[[ชุนเทียนเตอะกู้ชื่อ]]" (นิทานฤดูใบไม้ผลิ) ที่ขับร้องโดย[[ต่ง เหวิน-หฺวา]] ซึ่งประพันธ์ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เติ้งหลังจากการเดินทางเยือนภาคใต้ของเขาใน ค.ศ. 1992 ก็กลับมาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอีกครั้ง{{fact|date=September 2024}} |
||
การถึงแก่อสัญกรรมของเติ้งได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาในระดับนานาชาติ [[โคฟี แอนนัน]] เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า "เติ้งควรได้รับการจดจำในประชาคมโลกว่าเป็นสถาปนิกในการปฏิรูปและพัฒนาเศรษฐกิจของจีนให้ก้าวกระโดด" ประธานาธิบดี[[ฌัก ชีรัก]] แห่งฝรั่งเศส กล่าวว่า "ในศตวรรษนี้มีชายเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถนำชุมชนมนุษย์ขนาดใหญ่ผ่านการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งและกำหนดชะตาชีวิตได้มากเท่ากับเติ้ง" นายกรัฐมนตรี[[จอห์น เมเจอร์]] แห่งสหราชอาณาจักร ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับบทบาทสำคัญของเติ้งในการส่งมอบฮ่องกงกลับคืนสู่การปกครองของจีน นายกรัฐมนตรี[[ฌ็อง เครเตียง]] แห่งแคนาดา เรียกเติ้งว่าเป็น "บุคคลสำคัญ" ในประวัติศาสตร์จีน ประธาน[[ก๊กมินตั๋ง|พรรคก๊กมินตั๋ง]]แห่งไต้หวันได้ส่งคำแสดงความเสียใจพร้อมระบุว่าปรารถนาที่จะเห็นสันติภาพ ความร่วมมือ และความเจริญรุ่งเรือง องค์[[ทะไลลามะที่ 14|ทะไลลามะ]]ได้แสดงความเสียใจที่เติ้งอสัญกรรมไปโดยไม่ได้แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับทิเบต<ref>[http://www.cnn.com/WORLD/9702/19/deng.world.reax/index.html CNN:World leaders praise Deng's economic legacy] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20070816133436/http://www.cnn.com/WORLD/9702/19/deng.world.reax/index.html |date=16 August 2007 }} 24 February 1997</ref> |
การถึงแก่อสัญกรรมของเติ้งได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาในระดับนานาชาติ [[โคฟี แอนนัน]] เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า "เติ้งควรได้รับการจดจำในประชาคมโลกว่าเป็นสถาปนิกในการปฏิรูปและพัฒนาเศรษฐกิจของจีนให้ก้าวกระโดด" ประธานาธิบดี[[ฌัก ชีรัก]] แห่งฝรั่งเศส กล่าวว่า "ในศตวรรษนี้มีชายเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถนำชุมชนมนุษย์ขนาดใหญ่ผ่านการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งและกำหนดชะตาชีวิตได้มากเท่ากับเติ้ง" นายกรัฐมนตรี[[จอห์น เมเจอร์]] แห่งสหราชอาณาจักร ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับบทบาทสำคัญของเติ้งในการส่งมอบฮ่องกงกลับคืนสู่การปกครองของจีน นายกรัฐมนตรี[[ฌ็อง เครเตียง]] แห่งแคนาดา เรียกเติ้งว่าเป็น "บุคคลสำคัญ" ในประวัติศาสตร์จีน ประธาน[[ก๊กมินตั๋ง|พรรคก๊กมินตั๋ง]]แห่งไต้หวันได้ส่งคำแสดงความเสียใจพร้อมระบุว่าปรารถนาที่จะเห็นสันติภาพ ความร่วมมือ และความเจริญรุ่งเรือง องค์[[ทะไลลามะที่ 14|ทะไลลามะ]]ได้แสดงความเสียใจที่เติ้งอสัญกรรมไปโดยไม่ได้แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับทิเบต<ref>[http://www.cnn.com/WORLD/9702/19/deng.world.reax/index.html CNN:World leaders praise Deng's economic legacy] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20070816133436/http://www.cnn.com/WORLD/9702/19/deng.world.reax/index.html |date=16 August 2007 }} 24 February 1997</ref> |
||
บรรทัด 399: | บรรทัด 399: | ||
กรุง[[บิชเคก]] เมืองหลวงของ[[ประเทศคีร์กีซสถาน]] มีถนนขนาดสี่ช่องจราจรกว้าง 25 เมตร (82 ฟุต) ยาว 3.5 กิโลเมตร (2 ไมล์) ชื่อว่าถนนเติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งได้เปิดใช้งานในวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1997 อนุสาวรีย์หินแกรนิตสีแดงสูง 2 เมตรตั้งอยู่ทางปลายด้านตะวันออกของถนนสายนี้ คำจารึกเขียนเป็นภาษาจีน รัสเซีย และ[[ภาษาคีร์กีซ|คีร์กีซ]]<ref>{{Cite web |title=Turkistan-Newsletter Volume: 97-1:13, 20 June 1997 |url=http://www.euronet.nl/users/sota/TN97113.htm |url-status=dead |archive-url=https://web.archive.org/web/20071004062636/http://www.euronet.nl/users/sota/TN97113.htm |archive-date=4 October 2007 |access-date=2 December 2010}}</ref><ref>{{Cite web |title=In Its Own Neighborhood, China Emerges as a Leader |last1=Pomfret |first1=John |agency=Washington Post |date=18 October 2001 |url=http://taiwansecurity.org/WP/2001/WP-101801-1.htm |url-status=dead |website=Taiwan Security Research |archive-url=https://web.archive.org/web/20020126221126/http://taiwansecurity.org/WP/2001/WP-101801-1.htm |archive-date=26 January 2002 |access-date=18 August 2013}}</ref> |
กรุง[[บิชเคก]] เมืองหลวงของ[[ประเทศคีร์กีซสถาน]] มีถนนขนาดสี่ช่องจราจรกว้าง 25 เมตร (82 ฟุต) ยาว 3.5 กิโลเมตร (2 ไมล์) ชื่อว่าถนนเติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งได้เปิดใช้งานในวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1997 อนุสาวรีย์หินแกรนิตสีแดงสูง 2 เมตรตั้งอยู่ทางปลายด้านตะวันออกของถนนสายนี้ คำจารึกเขียนเป็นภาษาจีน รัสเซีย และ[[ภาษาคีร์กีซ|คีร์กีซ]]<ref>{{Cite web |title=Turkistan-Newsletter Volume: 97-1:13, 20 June 1997 |url=http://www.euronet.nl/users/sota/TN97113.htm |url-status=dead |archive-url=https://web.archive.org/web/20071004062636/http://www.euronet.nl/users/sota/TN97113.htm |archive-date=4 October 2007 |access-date=2 December 2010}}</ref><ref>{{Cite web |title=In Its Own Neighborhood, China Emerges as a Leader |last1=Pomfret |first1=John |agency=Washington Post |date=18 October 2001 |url=http://taiwansecurity.org/WP/2001/WP-101801-1.htm |url-status=dead |website=Taiwan Security Research |archive-url=https://web.archive.org/web/20020126221126/http://taiwansecurity.org/WP/2001/WP-101801-1.htm |archive-date=26 January 2002 |access-date=18 August 2013}}</ref> |
||
ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "เติ้ง เสี่ยวผิง" ซึ่ง[[สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน]] (CCTV) ได้เผยแพร่ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1997 นั้นได้นำเสนอประวัติชีวิตของเติ้งตั้งแต่สมัยที่เป็นนักศึกษาในประเทศฝรั่งเศสจนถึงการเดินทางเยือนภาคใต้ใน |
ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "เติ้ง เสี่ยวผิง" ซึ่ง[[สถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน]] (CCTV) ได้เผยแพร่ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1997 นั้นได้นำเสนอประวัติชีวิตของเติ้งตั้งแต่สมัยที่เป็นนักศึกษาในประเทศฝรั่งเศสจนถึงการเดินทางเยือนภาคใต้ใน ค.ศ. 1992<ref>{{Cite news |script-title=zh:文献纪录片《邓小平》 |language=zh-hans |agency=CCTV |url=http://news.xinhuanet.com/video/2008-02/28/content_7686329.htm |url-status=dead |access-date=23 September 2014 |archive-url=https://web.archive.org/web/20150815050311/http://news.xinhuanet.com/video/2008-02/28/content_7686329.htm |archive-date=15 August 2015 |ref=123}}</ref> ใน ค.ศ. 2014 CCTV ได้เผยแพร่[[ละครโทรทัศน์จีน|ละครโทรทัศน์]]เรื่อง "[[เติ้ง เสี่ยวผิง บนจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์]]" (''Deng Xiaoping at History's Crossroads'') เพื่อเป็นการเตรียมฉลองครบรอบ 110 ปีชาตกาลของเขา |
||
=== การประเมิน === |
=== การประเมิน === |
||
เติ้งได้รับการขนานนามว่าเป็น "สถาปนิกแห่งประเทศจีนยุคปัจจุบัน"<ref name=":0" /><ref name=":1" /><ref>{{Cite news |date=8 December 2018 |title=Forty years after Deng opened China, reformists are cowed |newspaper=The Economist |url=https://www.economist.com/china/2018/12/08/forty-years-after-deng-opened-china-reformists-are-cowed |url-status=live |access-date=27 July 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190727200903/https://www.economist.com/china/2018/12/08/forty-years-after-deng-opened-china-reformists-are-cowed |archive-date=27 July 2019 |issn=0013-0613}}</ref><ref>{{Cite web |last=Huang |first=Dan Kopf, Echo |date=21 August 2018 |title=Happy birthday Deng Xiaoping: Here are 10 charts showing how he changed China |url=https://qz.com/1365629/happy-birthday-deng-xiaoping-these-charts-show-how-he-changed-china/ |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20190727200902/https://qz.com/1365629/happy-birthday-deng-xiaoping-these-charts-show-how-he-changed-china/ |archive-date=27 July 2019 |access-date=27 July 2019 |website=Quartz}}</ref> และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่ 20<ref name="Legacy-JapanTimes">{{Cite news |date=27 August 2014 |title=Deng Xiaoping's lasting legacy |work=[[The Japan Times]] |url=https://www.japantimes.co.jp/opinion/2014/08/27/editorials/deng-xiaopings-lasting-legacy/ |url-status=live |access-date=14 September 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190607215305/https://www.japantimes.co.jp/opinion/2014/08/27/editorials/deng-xiaopings-lasting-legacy/ |archive-date=7 June 2019}}</ref> เขาได้รับเลือกให้เป็น[[บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์]]ใน |
เติ้งได้รับการขนานนามว่าเป็น "สถาปนิกแห่งประเทศจีนยุคปัจจุบัน"<ref name=":0" /><ref name=":1" /><ref>{{Cite news |date=8 December 2018 |title=Forty years after Deng opened China, reformists are cowed |newspaper=The Economist |url=https://www.economist.com/china/2018/12/08/forty-years-after-deng-opened-china-reformists-are-cowed |url-status=live |access-date=27 July 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190727200903/https://www.economist.com/china/2018/12/08/forty-years-after-deng-opened-china-reformists-are-cowed |archive-date=27 July 2019 |issn=0013-0613}}</ref><ref>{{Cite web |last=Huang |first=Dan Kopf, Echo |date=21 August 2018 |title=Happy birthday Deng Xiaoping: Here are 10 charts showing how he changed China |url=https://qz.com/1365629/happy-birthday-deng-xiaoping-these-charts-show-how-he-changed-china/ |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20190727200902/https://qz.com/1365629/happy-birthday-deng-xiaoping-these-charts-show-how-he-changed-china/ |archive-date=27 July 2019 |access-date=27 July 2019 |website=Quartz}}</ref> และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่ 20<ref name="Legacy-JapanTimes">{{Cite news |date=27 August 2014 |title=Deng Xiaoping's lasting legacy |work=[[The Japan Times]] |url=https://www.japantimes.co.jp/opinion/2014/08/27/editorials/deng-xiaopings-lasting-legacy/ |url-status=live |access-date=14 September 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190607215305/https://www.japantimes.co.jp/opinion/2014/08/27/editorials/deng-xiaopings-lasting-legacy/ |archive-date=7 June 2019}}</ref> เขาได้รับเลือกให้เป็น[[บุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์]]ใน ค.ศ. 1978 และ 1985 นับเป็นผู้นำจีนคนที่สาม (รองจาก[[เจียง ไคเชก]] และนาง[[ซ่ง เหม่ย์หลิง]] ภริยา) และเป็นผู้นำคอมมิวนิสต์คนที่สี่ (รองจาก[[โจเซฟ สตาลิน]] ซึ่งได้รับเลือกสองครั้ง และ[[นีกีตา ครุชชอฟ]]) ที่ได้รับเกียรตินี้<ref>{{Cite web |last=Rosenberg |first=Jennifer |title=A Complete Look at Time's Person of the Year List, from 1927–2017 |url=https://www.thoughtco.com/times-man-of-the-year-list-1779824 |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20190727204832/https://www.thoughtco.com/times-man-of-the-year-list-1779824 |archive-date=27 July 2019 |access-date=27 July 2019 |website=ThoughtCo}}</ref> |
||
เติ้งเป็นที่จดจำอย่างมากจากการปฏิรูปเศรษฐกิจที่เขาได้ริเริ่มในขณะที่เป็น[[ผู้นำสูงสุดของจีน]] ซึ่งผลักดันจีนให้ไปสู่[[เศรษฐกิจตลาด]] ส่งผลเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ยกระดับ[[มาตรฐานการครองชีพ]]ของประชากรหลายร้อยล้านคน<ref>{{Cite book |last=Robert Dernberger |url=https://books.google.com/books?id=mDS0GW7FH_0C&pg=PA179 |title=China in the Era of Deng Xiaoping |publisher=Sharpe |year=1993 |isbn=9781563242786 |access-date=13 March 2010 |archive-url=https://web.archive.org/web/20211201014443/https://books.google.com/books?id=mDS0GW7FH_0C&pg=PA179 |archive-date=1 December 2021 |url-status=live}}</ref> ขยายเสรีภาพส่วนบุคคลและวัฒนธรรม และบูรณาการประเทศเข้ากับเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ<ref>{{Cite web |last=Knight |first=John |date=January 2012 |title=Review: Deng Xiaoping and the Transformation of China |url=https://origins.osu.edu/review/man-who-re-invented-china |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20190725131635/https://origins.osu.edu/review/man-who-re-invented-china |archive-date=25 July 2019 |access-date=27 July 2019 |website=Origins |publisher=The Ohio State University}}</ref><ref name="Britannica">{{Cite web |last=The Editors of Encyclopaedia Britannica |date=1 November 2019 |title=Deng Xiaoping |url=https://www.britannica.com/biography/Deng-Xiaoping#ref343482 |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20191004231718/https://www.britannica.com/biography/Deng-Xiaoping#ref343482 |archive-date=4 October 2019 |access-date=22 November 2019 |publisher=Encyclopaedia Britannica}}</ref><ref>{{Cite news |last1=Kopf |first1=Dan |last2=Lahiri |first2=Tripti |date=17 December 2018 |title=The charts that show how Deng Xiaoping unleashed China's pent-up capitalist energy in 1978 |publisher=Quartz |url=https://qz.com/1498654/the-astonishing-impact-of-chinas-1978-reforms-in-charts/ |url-status=live |access-date=22 November 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190930055340/https://qz.com/1498654/the-astonishing-impact-of-chinas-1978-reforms-in-charts/ |archive-date=30 September 2019}}</ref> ภายใต้การนำของเขา ประชากรจำนวนมากได้หลุดพ้นจากสภาวะความยากจนมากกว่าช่วงเวลาใด ๆ ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิรูปที่เขาได้ริเริ่มเป็นส่วนใหญ่<ref name="Legacy-JapanTimes" /> จากเหตุผลดังกล่าว จึงมีผู้เสนอแนะว่าเติ้งสมควรได้รับ[[รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ]]<ref>{{Cite news |date=13 November 2010 |title=Deng should have been first Chinese to get Nobel Peace Prize: Exco chief |publisher=South China Morning Post |url=https://www.scmp.com/article/730315/deng-should-have-been-first-chinese-get-nobel-peace-prize-exco-chief |url-status=live |access-date=22 November 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20191101154103/https://www.scmp.com/article/730315/deng-should-have-been-first-chinese-get-nobel-peace-prize-exco-chief |archive-date=1 November 2019}}</ref><ref>{{Cite news |last=Rein |first=Shaun |date=14 December 2010 |title=How To Fix Western-Chinese Relations |work=Forbes |url=https://www.forbes.com/2010/12/14/nobel-peace-prize-china-deng-gandhi-leadership-managing-rein.html#4e243ab562f3 |url-status=live |access-date=22 November 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20170109204050/http://www.forbes.com/2010/12/14/nobel-peace-prize-china-deng-gandhi-leadership-managing-rein.html#4e243ab562f3 |archive-date=9 January 2017}}</ref><ref>{{Cite news |last=Byrnes |first=Sholto |date=12 October 2010 |title=Ignoble reactions to the Nobel Peace Prize |publisher=New Statesmen |url=https://www.newstatesman.com/blogs/the-staggers/2010/10/nobel-peace-china-singapore |url-status=live |access-date=22 November 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20130608024808/http://www.newstatesman.com/blogs/the-staggers/2010/10/nobel-peace-china-singapore |archive-date=8 June 2013}}</ref> เติ้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ลดทอนการบูชา[[เหมา |
เติ้งเป็นที่จดจำอย่างมากจากการปฏิรูปเศรษฐกิจที่เขาได้ริเริ่มในขณะที่เป็น[[ผู้นำสูงสุดของจีน]] ซึ่งผลักดันจีนให้ไปสู่[[เศรษฐกิจตลาด]] ส่งผลเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ยกระดับ[[มาตรฐานการครองชีพ]]ของประชากรหลายร้อยล้านคน<ref>{{Cite book |last=Robert Dernberger |url=https://books.google.com/books?id=mDS0GW7FH_0C&pg=PA179 |title=China in the Era of Deng Xiaoping |publisher=Sharpe |year=1993 |isbn=9781563242786 |access-date=13 March 2010 |archive-url=https://web.archive.org/web/20211201014443/https://books.google.com/books?id=mDS0GW7FH_0C&pg=PA179 |archive-date=1 December 2021 |url-status=live}}</ref> ขยายเสรีภาพส่วนบุคคลและวัฒนธรรม และบูรณาการประเทศเข้ากับเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ<ref>{{Cite web |last=Knight |first=John |date=January 2012 |title=Review: Deng Xiaoping and the Transformation of China |url=https://origins.osu.edu/review/man-who-re-invented-china |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20190725131635/https://origins.osu.edu/review/man-who-re-invented-china |archive-date=25 July 2019 |access-date=27 July 2019 |website=Origins |publisher=The Ohio State University}}</ref><ref name="Britannica">{{Cite web |last=The Editors of Encyclopaedia Britannica |date=1 November 2019 |title=Deng Xiaoping |url=https://www.britannica.com/biography/Deng-Xiaoping#ref343482 |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20191004231718/https://www.britannica.com/biography/Deng-Xiaoping#ref343482 |archive-date=4 October 2019 |access-date=22 November 2019 |publisher=Encyclopaedia Britannica}}</ref><ref>{{Cite news |last1=Kopf |first1=Dan |last2=Lahiri |first2=Tripti |date=17 December 2018 |title=The charts that show how Deng Xiaoping unleashed China's pent-up capitalist energy in 1978 |publisher=Quartz |url=https://qz.com/1498654/the-astonishing-impact-of-chinas-1978-reforms-in-charts/ |url-status=live |access-date=22 November 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190930055340/https://qz.com/1498654/the-astonishing-impact-of-chinas-1978-reforms-in-charts/ |archive-date=30 September 2019}}</ref> ภายใต้การนำของเขา ประชากรจำนวนมากได้หลุดพ้นจากสภาวะความยากจนมากกว่าช่วงเวลาใด ๆ ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิรูปที่เขาได้ริเริ่มเป็นส่วนใหญ่<ref name="Legacy-JapanTimes" /> จากเหตุผลดังกล่าว จึงมีผู้เสนอแนะว่าเติ้งสมควรได้รับ[[รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ]]<ref>{{Cite news |date=13 November 2010 |title=Deng should have been first Chinese to get Nobel Peace Prize: Exco chief |publisher=South China Morning Post |url=https://www.scmp.com/article/730315/deng-should-have-been-first-chinese-get-nobel-peace-prize-exco-chief |url-status=live |access-date=22 November 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20191101154103/https://www.scmp.com/article/730315/deng-should-have-been-first-chinese-get-nobel-peace-prize-exco-chief |archive-date=1 November 2019}}</ref><ref>{{Cite news |last=Rein |first=Shaun |date=14 December 2010 |title=How To Fix Western-Chinese Relations |work=Forbes |url=https://www.forbes.com/2010/12/14/nobel-peace-prize-china-deng-gandhi-leadership-managing-rein.html#4e243ab562f3 |url-status=live |access-date=22 November 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20170109204050/http://www.forbes.com/2010/12/14/nobel-peace-prize-china-deng-gandhi-leadership-managing-rein.html#4e243ab562f3 |archive-date=9 January 2017}}</ref><ref>{{Cite news |last=Byrnes |first=Sholto |date=12 October 2010 |title=Ignoble reactions to the Nobel Peace Prize |publisher=New Statesmen |url=https://www.newstatesman.com/blogs/the-staggers/2010/10/nobel-peace-china-singapore |url-status=live |access-date=22 November 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20130608024808/http://www.newstatesman.com/blogs/the-staggers/2010/10/nobel-peace-china-singapore |archive-date=8 June 2013}}</ref> เติ้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ลดทอนการบูชา[[เหมา]]อย่างสุดโต่ง และเป็นผู้ยุติยุคแห่งความวุ่นวายของ[[การปฏิวัติทางวัฒนธรรม]]<ref name="Economist-Great-Stabiliser">{{Cite news |date=22 October 2011 |title=Deng Xiaoping's legacy: The Great Stabiliser |publisher=The Economist |url=https://www.economist.com/books-and-arts/2011/10/22/the-great-stabiliser |url-status=live |access-date=14 September 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190506090043/https://www.economist.com/books-and-arts/2011/10/22/the-great-stabiliser |archive-date=6 May 2019}}</ref> ยิ่งไปกว่านั้น การใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดของเขายังได้รับการยกย่องว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนยังคงเป็นปึกแผ่น ต่างจากมหาอำนาจ[[ลัทธิคอมมิวนิสต์|คอมมิวนิสต์]]อีกแห่งหนึ่งในยุคนั้นอย่าง[[สหภาพโซเวียต]]ที่ล่มสลายลงใน ค.ศ. 1991<ref>{{Cite news |date=20 January 1997 |title=The Legacy of Deng Xiaoping |work=The New York Times |url=https://www.nytimes.com/1997/01/20/opinion/the-legacy-of-deng-xiaoping.html |url-status=live |access-date=14 September 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20171012113225/http://www.nytimes.com/1997/01/20/opinion/the-legacy-of-deng-xiaoping.html |archive-date=12 October 2017}}</ref> |
||
อย่างไรก็ตาม เติ้งยังเป็นที่จดจำในด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเหตุความรุนแรงทางการเมืองจำนวนมาก<ref name="Britannica" /><ref name="NYT-Wizard">{{Cite news |last=Tyler |first=Patrick E. |date=20 February 1997 |title=Deng Xiaoping: A Political Wizard Who Put China on the Capitalist Road |work=The New York Times |url=https://www.nytimes.com/1997/02/20/world/deng-xiaoping-a-political-wizard-who-put-china-on-the-capitalist-road.html |url-status=live |access-date=22 November 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190802164135/https://www.nytimes.com/1997/02/20/world/deng-xiaoping-a-political-wizard-who-put-china-on-the-capitalist-road.html |archive-date=2 August 2019}}</ref> ในฐานะผู้นำสูงสุด เขามีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งการ[[การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พ.ศ. 2532|ปราบปรามประชาชนที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน]] และภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว เขาก็มีอิทธิพลอย่างสูงในการปกปิดเหตุการณ์นี้ภายประเทศของ[[พรรคคอมมิวนิสต์จีน]]<ref name="Dillon2014">{{Cite book |last=Michael Dillon |url=https://books.google.com/books?id=qBGMDwAAQBAJ&pg=PP1 |title=Deng Xiaoping: The Man who Made Modern China |publisher=Bloomsbury Publishing |year=2014 |isbn=978-0-85772-467-0 |pages=292–296 |access-date=22 June 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20211201014443/https://books.google.com/books?id=qBGMDwAAQBAJ&pg=PP1 |archive-date=1 December 2021 |url-status=live}}</ref><ref>{{Cite news |date=4 June 2019 |title=Tiananmen Square Fast Facts |publisher=CNN |url=https://www.cnn.com/2013/09/15/world/asia/tiananmen-square-fast-facts/index.html |url-status=live |access-date=22 November 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190919001916/https://www.cnn.com/2013/09/15/world/asia/tiananmen-square-fast-facts/index.html |archive-date=19 September 2019}}</ref><ref>{{Cite news |title=A Massacre Erased |newspaper=The Washington Post |url=https://www.washingtonpost.com/graphics/2019/opinions/global-opinions/tiananmen-square-a-massacre-erased/ |url-status=live |access-date=22 November 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20191107014411/https://www.washingtonpost.com/graphics/2019/opinions/global-opinions/tiananmen-square-a-massacre-erased/ |archive-date=7 November 2019}}</ref> ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกวาดล้างที่โหดร้ายที่สุดในช่วงที่[[เหมา |
อย่างไรก็ตาม เติ้งยังเป็นที่จดจำในด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเหตุความรุนแรงทางการเมืองจำนวนมาก<ref name="Britannica" /><ref name="NYT-Wizard">{{Cite news |last=Tyler |first=Patrick E. |date=20 February 1997 |title=Deng Xiaoping: A Political Wizard Who Put China on the Capitalist Road |work=The New York Times |url=https://www.nytimes.com/1997/02/20/world/deng-xiaoping-a-political-wizard-who-put-china-on-the-capitalist-road.html |url-status=live |access-date=22 November 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190802164135/https://www.nytimes.com/1997/02/20/world/deng-xiaoping-a-political-wizard-who-put-china-on-the-capitalist-road.html |archive-date=2 August 2019}}</ref> ในฐานะผู้นำสูงสุด เขามีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งการ[[การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พ.ศ. 2532|ปราบปรามประชาชนที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน]] และภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว เขาก็มีอิทธิพลอย่างสูงในการปกปิดเหตุการณ์นี้ภายประเทศของ[[พรรคคอมมิวนิสต์จีน]]<ref name="Dillon2014">{{Cite book |last=Michael Dillon |url=https://books.google.com/books?id=qBGMDwAAQBAJ&pg=PP1 |title=Deng Xiaoping: The Man who Made Modern China |publisher=Bloomsbury Publishing |year=2014 |isbn=978-0-85772-467-0 |pages=292–296 |access-date=22 June 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20211201014443/https://books.google.com/books?id=qBGMDwAAQBAJ&pg=PP1 |archive-date=1 December 2021 |url-status=live}}</ref><ref>{{Cite news |date=4 June 2019 |title=Tiananmen Square Fast Facts |publisher=CNN |url=https://www.cnn.com/2013/09/15/world/asia/tiananmen-square-fast-facts/index.html |url-status=live |access-date=22 November 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20190919001916/https://www.cnn.com/2013/09/15/world/asia/tiananmen-square-fast-facts/index.html |archive-date=19 September 2019}}</ref><ref>{{Cite news |title=A Massacre Erased |newspaper=The Washington Post |url=https://www.washingtonpost.com/graphics/2019/opinions/global-opinions/tiananmen-square-a-massacre-erased/ |url-status=live |access-date=22 November 2019 |archive-url=https://web.archive.org/web/20191107014411/https://www.washingtonpost.com/graphics/2019/opinions/global-opinions/tiananmen-square-a-massacre-erased/ |archive-date=7 November 2019}}</ref> ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกวาดล้างที่โหดร้ายที่สุดในช่วงที่[[เหมา]]ครองอำนาจ ตัวอย่างเช่น เขาสั่งการให้[[กรณีชาเตี้ยน|กองทัพปราบปรามหมู่บ้านมุสลิมในมณฑลยูนนาน]] ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 1,600 คน รวมถึงเด็กอีก 300 คน<ref name="Economist-Great-Stabiliser" /> |
||
ในฐานะผู้นำสูงสุด เติ้งยังได้เจรจาเพื่อยุติการปกครองแบบอาณานิคมของอังกฤษเหนือฮ่องกง และสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตให้เป็นปกติกับสหรัฐและ[[สหภาพโซเวียต]]<ref name="NYT-Wizard" /><ref>{{Cite book |last1=Wasserstrom |first1=Jeffrey N. |title=China in the 21st Century: What Everyone Needs to Know |url=https://archive.org/details/chinain21stcentu0000wass_r4o0 |last2=Cunningham |first2=Maura Elizabeth |date=2018 |publisher=Oxford University Press |isbn=978-0190659073 |edition=3 |page=[https://archive.org/details/chinain21stcentu0000wass_r4o0/page/n105 80]}}</ref> ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1980 เขาได้ริเริ่ม[[การปฏิรูปทางการเมืองจีน]]โดยการ[[ข้อจำกัดวาระการดำรงตำแหน่ง|กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง]]ของเจ้าหน้าที่ และเสนอการแก้ไข[[รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ค.ศ. 1978|รัฐธรรมนูญฉบับที่สามของจีน]]ที่ร่างขึ้นในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ [[รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน|รัฐธรรมนูญฉบับใหม่]]นี้ได้นำหลักการของ[[ลัทธิรัฐธรรมนูญนิยม]]ในแบบฉบับของจีนมาใช้ และได้รับการอนุมัติจาก[[สภาประชาชนแห่งชาติ]]ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1982 โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ยังคงมีผลบังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน<ref>{{Cite journal |last=Jianfu |first=Chen |date=1 May 2004 |title=The Revision of the Constitution in the PRC. A great leap forward or a symbolic gesture? |journal=China Perspectives |language=fr |volume=2004 |issue=53 |doi=10.4000/chinaperspectives.2922 |issn=2070-3449 |doi-access=free}}</ref><ref>{{Cite web |last=Jone |first=William |title=The Constitution of the People's Republic of China |url=https://openscholarship.wustl.edu/cgi/viewcontent.cgi?article=2203&context=law_lawreview |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20190428201429/https://openscholarship.wustl.edu/cgi/viewcontent.cgi?article=2203&context=law_lawreview |archive-date=28 April 2019 |website=Washington University in St. Louis}}</ref><ref>{{Cite journal |last=Caldwell |first=Ernest |date=December 2012 |title=Horizontal Rights and Chinese Constitutionalism: Judicialization through Labor Disputes |url=https://scholarship.kentlaw.iit.edu/cgi/viewcontent.cgi?article=3935&context=cklawreview |url-status=live |journal=Chicago-Kent Law Review |volume=88 |archive-url=https://web.archive.org/web/20211201014421/https://scholarship.kentlaw.iit.edu/cgi/viewcontent.cgi?article=3935&context=cklawreview |archive-date=1 December 2021 |access-date=28 October 2019}}</ref><ref>{{Cite journal |last=Shigong |first=Jiang |date=2014 |title=Chinese-Style Constitutionalism: On Backer's Chinese Party-State Constitutionalism |url=https://archive.org/details/sim_modern-china_2014-03_40_2/page/n30 |journal=Modern China |volume=40 |issue=2 |pages=133–167 |doi=10.1177/0097700413511313 |issn=0097-7004 |jstor=24575589 |s2cid=144236160}}</ref> เขามีส่วนสำคัญในการจัด[[การศึกษาภาคบังคับ|ระบบการศึกษาภาคบังคับ]] 9 ปีของจีน<ref>{{Cite web |last=PEPPER |first=SUZANNE |title=China's Education Reform in the 1980s: Policies, Issues, and Historical Perspectives |url=https://digitalassets.lib.berkeley.edu/ieas/CRM_36.pdf |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20191128055657/https://digitalassets.lib.berkeley.edu/ieas/CRM_36.pdf |archive-date=28 November 2019 |website=UC Berkeley}}</ref><ref>{{Cite web |last=Song |first=Wei |title=China's education reforms and strive for innovation |url=http://www.chinadaily.com.cn/a/201808/24/WS5b7fb080a310add14f387a5b.html |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20191128055658/http://www.chinadaily.com.cn/a/201808/24/WS5b7fb080a310add14f387a5b.html |archive-date=28 November 2019 |access-date=28 November 2019 |website=Chinadaily}}</ref> และฟื้นฟูการปฏิรูปทางการเมืองของจีน<ref>{{Cite journal |last=Ng-Quinn |first=Michael |date=1982 |title=Deng Xiaoping's Political Reform and Political Order |journal=Asian Survey |volume=22 |issue=12 |pages=1187–1205 |doi=10.2307/2644047 |issn=0004-4687 |jstor=2644047}}</ref> |
ในฐานะผู้นำสูงสุด เติ้งยังได้เจรจาเพื่อยุติการปกครองแบบอาณานิคมของอังกฤษเหนือฮ่องกง และสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตให้เป็นปกติกับสหรัฐและ[[สหภาพโซเวียต]]<ref name="NYT-Wizard" /><ref>{{Cite book |last1=Wasserstrom |first1=Jeffrey N. |title=China in the 21st Century: What Everyone Needs to Know |url=https://archive.org/details/chinain21stcentu0000wass_r4o0 |last2=Cunningham |first2=Maura Elizabeth |date=2018 |publisher=Oxford University Press |isbn=978-0190659073 |edition=3 |page=[https://archive.org/details/chinain21stcentu0000wass_r4o0/page/n105 80]}}</ref> ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1980 เขาได้ริเริ่ม[[การปฏิรูปทางการเมืองจีน]]โดยการ[[ข้อจำกัดวาระการดำรงตำแหน่ง|กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง]]ของเจ้าหน้าที่ และเสนอการแก้ไข[[รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ค.ศ. 1978|รัฐธรรมนูญฉบับที่สามของจีน]]ที่ร่างขึ้นในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ [[รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน|รัฐธรรมนูญฉบับใหม่]]นี้ได้นำหลักการของ[[ลัทธิรัฐธรรมนูญนิยม]]ในแบบฉบับของจีนมาใช้ และได้รับการอนุมัติจาก[[สภาประชาชนแห่งชาติ]]ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1982 โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ยังคงมีผลบังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน<ref>{{Cite journal |last=Jianfu |first=Chen |date=1 May 2004 |title=The Revision of the Constitution in the PRC. A great leap forward or a symbolic gesture? |journal=China Perspectives |language=fr |volume=2004 |issue=53 |doi=10.4000/chinaperspectives.2922 |issn=2070-3449 |doi-access=free}}</ref><ref>{{Cite web |last=Jone |first=William |title=The Constitution of the People's Republic of China |url=https://openscholarship.wustl.edu/cgi/viewcontent.cgi?article=2203&context=law_lawreview |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20190428201429/https://openscholarship.wustl.edu/cgi/viewcontent.cgi?article=2203&context=law_lawreview |archive-date=28 April 2019 |website=Washington University in St. Louis}}</ref><ref>{{Cite journal |last=Caldwell |first=Ernest |date=December 2012 |title=Horizontal Rights and Chinese Constitutionalism: Judicialization through Labor Disputes |url=https://scholarship.kentlaw.iit.edu/cgi/viewcontent.cgi?article=3935&context=cklawreview |url-status=live |journal=Chicago-Kent Law Review |volume=88 |archive-url=https://web.archive.org/web/20211201014421/https://scholarship.kentlaw.iit.edu/cgi/viewcontent.cgi?article=3935&context=cklawreview |archive-date=1 December 2021 |access-date=28 October 2019}}</ref><ref>{{Cite journal |last=Shigong |first=Jiang |date=2014 |title=Chinese-Style Constitutionalism: On Backer's Chinese Party-State Constitutionalism |url=https://archive.org/details/sim_modern-china_2014-03_40_2/page/n30 |journal=Modern China |volume=40 |issue=2 |pages=133–167 |doi=10.1177/0097700413511313 |issn=0097-7004 |jstor=24575589 |s2cid=144236160}}</ref> เขามีส่วนสำคัญในการจัด[[การศึกษาภาคบังคับ|ระบบการศึกษาภาคบังคับ]] 9 ปีของจีน<ref>{{Cite web |last=PEPPER |first=SUZANNE |title=China's Education Reform in the 1980s: Policies, Issues, and Historical Perspectives |url=https://digitalassets.lib.berkeley.edu/ieas/CRM_36.pdf |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20191128055657/https://digitalassets.lib.berkeley.edu/ieas/CRM_36.pdf |archive-date=28 November 2019 |website=UC Berkeley}}</ref><ref>{{Cite web |last=Song |first=Wei |title=China's education reforms and strive for innovation |url=http://www.chinadaily.com.cn/a/201808/24/WS5b7fb080a310add14f387a5b.html |url-status=live |archive-url=https://web.archive.org/web/20191128055658/http://www.chinadaily.com.cn/a/201808/24/WS5b7fb080a310add14f387a5b.html |archive-date=28 November 2019 |access-date=28 November 2019 |website=Chinadaily}}</ref> และฟื้นฟูการปฏิรูปทางการเมืองของจีน<ref>{{Cite journal |last=Ng-Quinn |first=Michael |date=1982 |title=Deng Xiaoping's Political Reform and Political Order |journal=Asian Survey |volume=22 |issue=12 |pages=1187–1205 |doi=10.2307/2644047 |issn=0004-4687 |jstor=2644047}}</ref> |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 08:15, 30 ธันวาคม 2567
เติ้ง เสี่ยวผิง | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
邓小平 | |||||||
เติ้งระหว่างการเยือนสหรัฐอเมริกาใน ค.ศ. 1979 | |||||||
ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาส่วนกลาง | |||||||
ดำรงตำแหน่ง 13 กันยายน ค.ศ. 1982 – 2 พฤศจิกายน ค.ศ. 1987 (5 ปี 50 วัน) | |||||||
ประธานาธิบดี | หลี่ เซียนเนี่ยน | ||||||
หัวหน้ารัฐบาล | จ้าว จื่อหยาง | ||||||
รอง | |||||||
เลขาธิการ |
| ||||||
ก่อนหน้า | สถาปนาตำแหน่ง | ||||||
ถัดไป | เฉิน ยฺหวิน | ||||||
ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง | |||||||
ดำรงตำแหน่ง คณะกรรมการพรรค: 28 มิถุนายน ค.ศ. 1981 – 9 กันยายน ค.ศ. 1989 (8 ปี 73 วัน) | |||||||
รอง |
| ||||||
เลขาธิการ |
| ||||||
ก่อนหน้า | ฮฺว่า กั๋วเฟิง | ||||||
ถัดไป | เจียง เจ๋อหมิน | ||||||
ดำรงตำแหน่ง คณะกรรมการรัฐ: 6 มิถุนายน ค.ศ. 1983 – 19 มีนาคม ค.ศ. 1990 (6 ปี 286 วัน) | |||||||
ก่อนหน้า | สถาปนาตำแหน่ง | ||||||
ถัดไป | เจียง เจ๋อหมิน | ||||||
ประธานสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีน คนที่ 3 | |||||||
ดำรงตำแหน่ง 8 มีนาคม ค.ศ. 1978 – 17 มิถุนายน ค.ศ. 1983 (5 ปี 101 วัน) | |||||||
ก่อนหน้า | โจว เอินไหล (ถึง ค.ศ. 1976) | ||||||
ถัดไป | เติ้ง อิ่งเชา | ||||||
ข้อมูลส่วนบุคคล | |||||||
เกิด | เติ้ง เซียนเชิ่ง 22 สิงหาคม ค.ศ. 1904 กว่างอาน, มณฑลเสฉวน, จักรวรรดิชิง | ||||||
เสียชีวิต | 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 ปักกิ่ง, ประเทศจีน | (92 ปี)||||||
พรรคการเมือง | พรรคคอมมิวนิสต์จีน (ตั้งแต่ ค.ศ. 1924) | ||||||
คู่สมรส |
| ||||||
บุตร | 6, รวมถึง: | ||||||
ความสัมพันธ์ | เติ้ง จั๋วตี้ (หลานชาย) | ||||||
ลายมือชื่อ | |||||||
เว็บไซต์ | cpc.people.com.cn | ||||||
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |||||||
สังกัด | |||||||
ประจำการ | 1929–1952, 1975–1980 | ||||||
ยศ |
| ||||||
หน่วย |
| ||||||
ผ่านศึก | |||||||
ชื่อภาษาจีน | |||||||
อักษรจีนตัวย่อ | 邓小平 | ||||||
อักษรจีนตัวเต็ม | 鄧小平 | ||||||
| |||||||
เติ้ง เสี่ยวผิง (จีน: 邓小平; พินอิน: Dèng Xiǎopíng; 22 สิงหาคม ค.ศ. 1904 – 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997) เป็นนักปฏิวัติและรัฐบุรุษชาวจีน เขาดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของสาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่ ค.ศ. 1978 ถึง 1989 ภายหลังการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา เจ๋อตงใน ค.ศ. 1976 เติ้งได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจและนำพาประเทศจีนผ่านยุคสมัยของการปฏิรูปและเปิดประเทศ ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจของจีนให้เป็นเศรษฐกิจตลาดสังคมนิยม เขาได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็น “สถาปนิกแห่งจีนสมัยใหม่” จากการพัฒนาสังคมนิยมอัตลักษณ์จีน และริเริ่มทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง[1][2][3]
เติ้งเกิดในมณฑลเสฉวนในช่วงปลายราชวงศ์ชิง และเริ่มสนใจลัทธิมากซ์–เลนินในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ขณะศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ใน ค.ศ. 1924 เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนและเดินทางไปยังกรุงมอสโกเพื่อศึกษาต่อ ก่อนจะเดินทางกลับมายังประเทศจีน และดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการการเมืองในกองทัพแดง เติ้งมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำคนสำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนระหว่างสงครามกลางเมืองจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการรักษาความอยู่รอดของพรรคระหว่างการเดินทัพทางไกล ต่อมาเขาช่วยนำกองทัพปลดปล่อยประชาชนสู่ชัยชนะในสงครามกลางเมือง รวมถึงการมีส่วนร่วมร่วมในการยึดเมืองหนานจิงของกองทัพปลดปล่อยประชาชน
ภายหลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1949 เติ้งได้ดำรงตำแหน่งสำคัญระดับภูมิภาคหลายตำแหน่ง และในที่สุดก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญในคณะมนตรีรัฐกิจในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ภายใต้การนำของเา เติ้งได้เป็นประธานการดำเนินงานฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ มีบทบาทสำคัญในการรณรงค์ต่อต้านฝ่ายขวา ซึ่งเป็นการกวาดล้างกลุ่มปัญญาชนและผู้วิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีน การรณรงค์ดังกล่าวส่งผลให้มีการกดขี่ข่มเหงประชาชนประมาณ 550,000 คน ซึ่งรวมถึงนักเขียนและนักกิจกรรมทางการเมือง และถือเป็นเหตุการณ์สำคัญในการเสริมสร้างการสนับสนุนนโยบายหัวรุนแรงของเหมาในขณะนั้น[4] เขาหลุดจากอำนาจในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เนื่องจากมีความเห็นชอบต่อนโยบายที่เน้นปฏิบัติและการตลาด เขาถูกเหมากำจัดสองครั้ง แต่หลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา เติ้งก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสูงสุดด้วยความสามารถในการเอาชนะคู่แข่งทางการเมือง
เมื่อขึ้นสู่อำนาจ เติ้งได้ดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานและระบบการเมืองของประเทศจีนอย่างครอบคลุม ด้วยความระส่ำระสายของสถาบันและความปั่นป่วนทางการเมืองจากยุคเหมา เขาและพันธมิตรจึงริเริ่มโครงการ "ปัวล่วนฝ่านเจิ้ง" เพื่อฟื้นความสงบเรียบร้อยโดยการคืนความยุติธรรมให้แก่ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนรุ่นเก่า ตลอดจนประชาชนหลายล้านคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เขายังริเริ่มโครงการปฏิรูปและเปิดประเทศ ซึ่งนำเอาองค์ประกอบของระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศจีนโดยการกำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษทั่วประเทศ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1980 เติ้งริเริ่มการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่โดยกำหนดระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของเจ้าหน้าที่รัฐไว้ในรัฐธรรมนูญ และมีการปรับปรุงแก้ไขระบบต่าง ๆ ซึ่งรวมอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับที่สี่ของประเทศ ต่อมาเติ้งให้การสนับสนุนนโยบายลูกคนเดียวเพื่อแก้ไขปัญหาประชากรล้นเมืองที่ประเทศจีนเผชิญอยู่ ทั้งยังมีส่วนสำคัญในการจัดตั้งระบบการศึกษาภาคบังคับ 9 ปีและเป็นผู้กำกับดูแลการเริ่มโครงการ 863 เพื่อส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การปฏิรูปที่ดำเนินโดยเติ้งและพันธมิตรของเขานำพาประเทศจีนให้ค่อย ๆ เปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจแบบบังคับและลัทธิเหมา เป็นการเปิดรับการลงทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และนำแรงงานจำนวนมหาศาลของประเทศเข้าสู่ตลาดโลก ส่งผลให้จีนกลายเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก[5]
ในระหว่างการดำรงตำแหน่งผู้นำของตน เติ้งได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ถึงสองครั้ง ใน ค.ศ. 1978 และ 1985[6][7] แม้เติ้งจะมีส่วนสำคัญในการนำพาประเทศจีนให้ทันสมัย แต่ผลงานของเขาก็ยังคงเป็นที่ถกเถียง เขาสั่งให้กองทัพเข้าปราบปรามการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 ซึ่งเป็นเหตุให้การปฏิรูปทางการเมืองสิ้นสุดลง และยังคงเป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วโลก[8] นโยบายลูกคนเดียวซึ่งริเริ่มขึ้นในยุคของเติ้งนั้นก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน อย่างไรก็ตาม นโยบายของเขาก่อให้เกิดรากฐานที่มั่นคงสำหรับการก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจระดับโลกของจีน[9]
ชีวิตช่วงต้น
[แก้]บรรพบุรุษของเติ้งสามารถสืบย้อนไปถึงอำเภอเจียอิง (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นเหมย์เซี่ยน) มณฑลกวางตุ้ง[10] ซึ่งเป็นถิ่นฐานดั้งเดิมที่สำคัญของชาวฮากกา และได้อพยพมาตั้งรกรากอยู่ในมณฑลเสฉวนต่อเนื่องกันมาหลายชั่วอายุคน[11] เติ้ง หรง บุตรสาวของเติ้งได้กล่าวไว้ในหนังสือ บิดาของข้าพเจ้า เติ้ง เสี่ยวผิง (我的父亲邓小平) ว่าบรรพบุรุษของเขาอาจมีเชื้อสายฮากกา แต่ยังไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัด สกุลเติ้งมีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในมณฑลเสฉวน แต่ในช่วงราชวงศ์หมิง มีบุคคลสกุลเติ้งคนหนึ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งราชการในมณฑลกวางตุ้ง อย่างไรก็ตาม เมื่อราชวงศ์ชิงมีนโยบายส่งเสริมการเพิ่มจำนวนประชากรใน ค.ศ. 1671 ตระกูลเติ้งจึงอพยพกลับมายังมณฑลเสฉวน เติ้ง เสี่ยวผิง เกิดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ค.ศ. 1904 ในเขตกว่างอัน เมืองกว่างอัน มณฑลเสฉวน[12]
บิดาของเติ้งคือเติ้ง เหวินหมิง เจ้าของที่ดินขนาดกลางที่เคยศึกษา ณ มหาวิทยาลัยกฎหมายและรัฐศาสตร์ เมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน เขามีชื่อเสียงในระดับท้องถิ่น[13] มารดาของเติ้งมีสกุลต้าน ได้ถึงแก่กรรมตั้งแต่เติ้งยังเยาว์วัย ทำให้เติ้งและพี่น้องร่วมสายโลหิตอีกสามคนและน้องสาวอีกสามคนต้องเผชิญการสูญเสียครั้งใหญ่[14] เมื่ออายุได้ 5 ปี เติ้งได้ถูกส่งไปศึกษา ณ โรงเรียนประถมศึกษาเอกชนแบบจีนดั้งเดิม จากนั้นเมื่ออายุได้ 7 ปีได้ย้ายไปศึกษาต่อ ณ โรงเรียนประถมศึกษาที่ทันสมัยขึ้น
ภรรยาคนแรกของเติ้งเป็นเพื่อนร่วมชั้นจากมอสโก เสียชีวิตด้วยวัย 24 ปี เพียงไม่กี่วันหลังคลอดบุตรสาวคนแรกซึ่งก็เสียชีวิตลงด้วยเช่นกัน ภรรยาคนที่สองคือจิน เหวย์อิ้ง ได้แยกทางกับเติ้งหลังจากที่เขาถูกโจมตีทางการเมืองใน ค.ศ. 1933 ภรรยาคนที่สามของเขาคือจัว หลิน บุตรสาวของนักอุตสาหกรรมในมณฑลยูนนาน เธอเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ใน ค.ศ. 1938 และได้แต่งงานกับเติ้งในปีต่อมา ณ บริเวณหน้าถ้ำที่พักอาศัยของเหมาในเหยียนอาน ทั้งสองมีบุตรด้วยกัน 5 คน ได้แก่ บุตรสาว 3 คนคือ เติ้ง หลิน เติ้ง หนาน และเติ้ง หรง และบุตรชาย 2 คนคือ เติ้ง ผู่ฟาง และเติ้ง จื่อฟาง เติ้งเลิกสูบบุหรี่เมื่ออายุ 86 ปี[15]
การศึกษาและอาชีพช่วงต้น
[แก้]เมื่อเติ้งเข้าศึกษาเป็นครั้งแรก ครูผู้สอนได้คัดค้านชื่อที่ได้รับมาแต่เดิมคือ "เซียนเชิ่ง" (先圣) และเรียกเขาว่า "ซีเซี่ยน" (希贤) ที่ประกอบด้วยอักษรจีนที่มีความหมายถึง "การปรารถนา" และ "ความดี" แฝงไว้ด้วยความหมายที่สื่อถึงความฉลาด[16][17]
ในฤดูร้อน ค.ศ 1919 เติ้งสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนฉงชิ่ง เขาและเพื่อนร่วมชั้นอีก 80 คนได้เดินทางโดยเรือชั้นสามไปยังประเทศฝรั่งเศส เพื่อเข้าร่วมโครงการ "ขยันทำงาน อดออมศึกษา" (Diligent Work-Frugal Study Movement), ซึ่งเป็นโครงการการศึกษาควบคู่กับการทำงาน[18]: 37 โดยมีชาวจีนจำนวน 4,001 คนเข้าร่วมโครงการนี้ภายใน ค.ศ. 1927 เติ้งเป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนักเรียนชาวจีน เพิ่งมีอายุครบ 15 ปี[19] อู๋ ยฺวี่จาง ผู้นำท้องถิ่นของโครงการในฉงชิ่ง ได้รับสมัครเติ้งและเติ้ง เช่าเชิ่ง ลุงฝ่ายบิดาของเติ้งเข้าร่วมโครงการ บิดาของเติ้งให้การสนับสนุนการเข้าร่วมโครงการศึกษาและทำงานในต่างประเทศของบุตรชายอย่างเต็มที่[20] ในคืนก่อนวันเดินทางไปฝรั่งเศส บิดาของเติ้งได้เรียกบุตรชายมาพูดคุยเป็นการส่วนตัว และได้สอบถามถึงความคาดหวังที่บุตรชายมีต่อการศึกษาในประเทศฝรั่งเศส เขาได้กล่าวคำที่ได้เรียนรู้มาจากครูของเขาว่า "การศึกษาหาความรู้และสัจธรรมจากตะวันตกเพื่อนำมาใช้ในการกอบกู้ประเทศจีน" เติ้งตระหนักดีว่าประเทศจีนกำลังประสบความทุกข์ยากอย่างมาก และประชาชนชาวจีนจำเป็นต้องได้รับการศึกษาสมัยใหม่จึงจะสามารถช่วยเหลือประเทศของตนได้[21]
วันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 1920 เรือโดยสารฝรั่งเศสชื่ออังเดร เลอบง (André Lebon) ได้แล่นเข้าสู่ท่าเรือมาร์เซย์พร้อมกับนักศึกษาชาวจีน 210 คนบนเรือรวมทั้งเติ้งด้วย เติ้งในวัย 16 ปีได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนมัธยมศึกษาในบาเยอและชาตีญงเป็นเวลาสั้น ๆ แต่เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในฝรั่งเศสเพื่อทำงาน รวมถึงที่โรงงานรถยนต์เรอโน และเป็นช่างประกอบที่โรงงานเหล็กและเหล็กกล้าเลอครูโซต์ ในลาแกเรน-โคลอมบ์ ย่านชานเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปารีส ที่ซึ่งเขาย้ายไปอาศัยอยู่ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1921[22] บังเอิญว่าเมื่อสถานการณ์ทางการเมืองของเติ้งย่ำแย่ลงในช่วงหลัง และถูกส่งไปทำงานในโรงงานผลิตรถแทรกเตอร์ใน ค.ศ. 1969 ระหว่างการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เขาก็ได้กลับมาปฏิบัติงานในฐานะช่างประกอบอีกครั้งและแสดงให้เห็นว่าเขายังคงเชี่ยวชาญในทักษะดังกล่าว[23]
ที่ลาแกเรน-โกลอมบ์ เติ้งพบกับผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนในอนาคต ได้แก่ โจว เอินไหล เฉิน อี้ เนี่ย หรงเจิน หลี่ ฟู่ชุน หลี่ ลี่ซาน และหลี่ เหวย์ฮั่น[24] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1923 เขาเข้าร่วมสันนิบาตเยาวชนคอมมิวนิสต์จีนในยุโรป[25] ในช่วงครึ่งหลังของ ค.ศ. 1924 เขาเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีน และดำรงตำแหน่งหนึ่งในสมาชิกชั้นนำของสาขาใหญ่ของสันนิบาตเยาวชนในยุโรป ใน ค.ศ. 1924 เติ้งเดินทางไปยังสหภาพโซเวียตและศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น มอสโก ซึ่งมีเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งคือเจี่ยง จิงกั๋ว บุตรชายของเจียง ไคเชก[26]
กลับประเทศจีน
[แก้]ปลาย ค.ศ. 1927 เติ้งเดินทางกลับจากกรุงมอสโกมายังประเทศจีนและเข้าร่วมกองทัพของเฝิง ยฺวี่เสียง ผู้นำทหารในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ผู้ซึ่งขอความช่วยเหลือจากสหภาพโซเวียตในการต่อสู้กับผู้นำท้องถิ่นคนอื่น ๆ ในภูมิภาค ในช่วงเวลานั้น สหภาพโซเวียตได้สนับสนุนการเป็นพันธมิตรระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์กับก๊กมินตั๋ง พรรคชาตินิยมที่ก่อตั้งโดยซุน ยัตเซนผ่านองค์การคอมมิวนิสต์สากล องค์การระหว่างประเทศที่ให้การสนับสนุนขบวนการคอมมิวนิสต์ทั่วโลก
เขาเดินทางมาถึงซีอาน ฐานที่มั่นของเฝิงในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1927 เขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเฟิ่งเทียนที่พยายามยับยั้งการแตกแยกพันธมิตรระหว่างก๊กมินตั๋งและคอมมิวนิสต์ การแตกแยกครั้งนี้เกิดขึ้นส่วนหนึ่งจากการที่เจียง ไคเชกบังคับให้พวกเขาอพยพออกจากพื้นที่ที่ก๊กมินตั๋งควบคุม ภายหลังการแตกแยกของพันธมิตรระหว่างคอมมิวนิสต์และชาตินิยม เฝิงก็ได้เข้าร่วมกับเจียง ไคเชก ทำให้คอมมิวนิสต์ที่เข้าร่วมกองทัพขอเฝิงรวมถึงเติ้งถูกบังคับให้หลบหนี[ต้องการอ้างอิง]
การเติบโตทางการเมือง
[แก้]แม้เติ้งจะเข้าร่วมขบวนการปฏิวัติมาร์กซิสต์ในจีน แต่เกา มั่วปัว นักประวัติศาสตร์ได้โต้แย้งว่า "เติ้ง เสี่ยวผิง และบุคคลอื่น ๆ ที่มีความเห็นคล้ายกันในพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นไม่ได้เป็นมาร์กซิสต์อย่างแท้จริง แต่เป็นนักชาตินิยมปฏิวัติที่ต้องการเห็นจีนยืนหยัดอย่างทัดเทียมกับมหาอำนาจโลก พวกเขาเป็นนักชาตินิยมเป็นหลัก และเข้าร่วมการปฏิวัติคอมมิวนิสต์เพราะเห็นว่าเป็นเส้นทางเดียวที่เป็นไปได้ในการบรรลุอุดมการณ์ชาตินิยมจีน"[27]
การเคลื่อนไหวในเซี่ยงไฮ้และอู่ฮั่น
[แก้]ภายหลังการออกจากกองทัพของเฝิง ยฺวี่เสียงในภาคตะวันตกเฉียงเหนือแล้ว เติ้งเดินทางมายังอู่ฮั่น ซึ่งในขณะนั้นเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ ในช่วงเวลานั้นเขาได้เริ่มใช้ชื่อเล่นว่า "เสี่ยวผิง" และดำรงตำแหน่งสำคัญในพรรค เขาเข้าร่วมการประชุมฉุกเฉินครั้งประวัติศาสตร์ในวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 1927 ซึ่งตามคำสั่งของโซเวียต พรรคได้ปลดเฉิน ตู๋ซิ่ว ผู้ก่อตั้งพรรคออก และฉิว ชฺวีไป๋ ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ที่อู่ฮั่น เติ้งได้พบปะและสร้างความสัมพันธ์กับเหมา เจ๋อตงเป็นครั้งแรก ผู้ซึ่งในตอนนั้นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์สายแข็งที่สนับสนุนโซเวียตยังไม่เห็นค่าของเขามากนัก
ระหว่าง ค.ศ. 1927 ถึง 1929 เติ้งอาศัยอยู่ในเซี่ยงไฮ้ และมีส่วนร่วมในการจัดการประท้วง ซึ่งต่อมาได้เผชิญกับการปราบปรามอย่างรุนแรงจากรัฐบาลก๊กมินตั๋ง การเสียชีวิตของนักปฏิวัติคอมมิวนิสต์จำนวนมากในช่วงปีเหล่านั้นส่งผลให้จำนวนสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ลดลง เปิดโอกาสให้เติ้งสามารถเลื่อนตำแหน่งขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ในช่วงนี้ที่เซี่ยงไฮ้ เติ้งได้แต่งงานกับนางจาง ซี-ยฺเวี่ยน หญิงสาวที่ได้พบกันในกรุงมอสโก
การทัพในกว่างซี
[แก้]ตั้งแต่ ค.ศ. 1929 ถึง 1931 เติ้งดำรงตำแหน่งผู้แทนสูงสุดของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนประจำมณฑลกว่างซี โดยมีบทบาทสำคัญในการช่วยนำการก่อการกำเริบไป่เซ่อและหลงโจว ทั้งในช่วงเหตุการณ์และภายหลัง การนำของเติ้งในช่วงการก่อกำเริบได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เขาเดินตาม "แนวทางหลี่ ลี่ซาน" ที่เรียกร้องให้มีการโจมตีเมืองอย่างรุนแรง ในทางปฏิบัติ นั่นหมายความว่าโซเวียตชนบทในกว่างซีถูกทอดทิ้ง และกองทัพแดงที่เจ็ดภายใต้การนำทางการเมืองของเติ้งได้ต่อสู้และพ่ายแพ้ในสงครามนองเลือดหลายครั้ง[28] ในที่สุด เติ้งและผู้นำคอมมิวนิสต์คนอื่น ๆ ในมณฑลกว่างซีก็ตัดสินใจถอยทัพไปยังมณฑลเจียงซีเพื่อรวมกำลังกับเหมา อย่างไรก็ดี หลังการเดินทัพอันแสนยาวนานผ่านภูมิประเทศที่ขรุขระ เติ้งได้ปล่อยให้กองทัพให้อยู่ในภาวะไร้ผู้นำโดยพลการ[29] ในการประชุมวิเคราะห์หลังเหตุการณ์ของคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1934 ได้มีการระบุพฤติกรรมของเติ้งว่าเป็นตัวอย่างของ "ลัทธิโอกาสนิยมขวา และแนวทางของชาวนาผู้มั่งคั่ง"[28] ใน ค.ศ. 1945 อดีตผู้บัญชาการหลายนายของกองทัพแดงที่เจ็ดได้ออกมาพูดต่อต้านการกระทำของเติ้งในช่วงการก่อกำเริบ แม้ว่าเหมาจะให้การปกป้องเติ้งจากผลกระทบร้ายแรงใด ๆ ก็ตาม[30] ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม กลุ่มยุวชนแดงได้รับทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์การก่อกำเริบไป่เซ่อ และกล่าวหาเติ้งว่าหนีทัพ[31] เติ้งยอมรับว่าการหนีทัพเป็นหนึ่งใน "ความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของตน" และ "แม้ว่าพรรคจะอนุญาตให้กระทำเช่นนี้ แต่ก็ถือเป็นสิ่งที่ผิดทางการเมืองอย่างร้ายแรง[32] นักประวัติศาสตร์และนักเขียนชีวประวัติสมัยใหม่ต่างเห็นพ้องกัน อูลี ฟรานซ์ ได้เรียกการหนีจากกองทัพว่าเป็น "ความผิดพลาดร้ายแรง"[31] เบนจามิน หยาง กล่าวว่าช่วงเวลานั้นเป็น "ความล้มเหลวอันน่าเศร้าและช่วงเวลาอันมืดมนในชีวิตทางการเมืองของเติ้ง"[33] อีกด้านหนึ่ง ไดอานา แลรี มองว่าความล้มเหลวในการรับมือภัยพิบัติครั้งนี้เกิดจาก "ความไร้ประสิทธิภาพ" ของทั้งผู้นำท้องถิ่นและคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน
โซเวียตเจียงซี
[แก้]การปราบปรามคอมมิวนิสต์ในเมืองต่าง ๆ นับเป็นอุปสรรคสำคัญของพรรค และเป็นการสกัดกั้นความหวังของที่ปรึกษาของโซเวียตแห่งองค์การคอมมิวนิสต์สากล ที่เห็นว่าการระดมกำลังชนชั้นกรรมมาชีพในเมืองคือพลังขับเคลื่อนสำคัญในการเผยแผ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ ตรงข้ามกับวิสัยทัศน์การปฏิวัติที่มุ่งเน้นในเมืองซึ่งได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ของสหภาพโซเวียต เหมา เจ๋อตง ผู้นำคอมมิวนิสต์จีน เห็นว่าชาวนาในชนบทเป็นกำลังสำคัญในการปฏิวัติของจีน ในพื้นที่ภูเขาของมณฑลเจียงซี ที่ซึ่งเหมาได้เดินทางไปเพื่อสถาปนาระบอบคอมมิวนิสต์นั้น ได้มีการพัฒนารากฐานของรัฐคอมมิวนิสต์ในอนาคตของจีนขึ้นมา ซึ่งได้ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่าสาธารณรัฐโซเวียตจีน แต่เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ "โซเวียตเจียงซี"
ในช่วงฤดูร้อนปี ค.ศ. 1931 เติ้งได้เข้ารับตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำเมืองรุ่ยจิน เมืองที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเขตโซเวียต ในช่วงฤดูหนาวปี ค.ศ. 1932 เติ้งได้ดำรงตำแหน่งเดิมต่อไปในอำเภอฮุ่ยชางซึ่งอยู่ใกล้เคียง ใน ค.ศ. 1933 เขาได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อของคณะกรรมาธิการพรรคประจำมณฑลเจียงซี ตอนนั้นเองเขาได้แต่งงานกับนางจิน เหวย์อิ้ง หญิงสาวที่เขาพบในเซี่ยงไฮ้
ความสำเร็จของโซเวียตในมณฑลเจียงซีทำให้ผู้นำพรรคตัดสินใจย้ายฐานที่มั่นจากเซี่ยงไฮ้ไปยังมณฑลเจียงซี ความขัดแย้งระหว่างเหมา ผู้นำพรรค กับที่ปรึกษาของโซเวียตทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการชิงอำนาจระหว่างทั้งสองกลุ่มส่งผลให้เติ้ง ผู้สนับสนุนความคิดของเหมาถูกปลดจากตำแหน่งในฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อ แม้จะเผชิญกับความขัดแย้งภายในพรรค แต่โซเวียตเจียงซีก็ประสบความสำเร็จในการเป็นรัฐบาลคอมมิวนิสต์แห่งแรกในชนบทของจีน รัฐบาลได้ดำเนินการออกแสตมป์และธนบัตรโดยใช้หัวกระดาษของ "สาธารณรัฐโซเวียตจีน" ซึ่งเป็นการประกาศอำนาจอธิปไตยอย่างเป็นทางการ และในที่สุด กองทัพของเจียง ไคเชกก็ตัดสินใจเข้าโจมตีพื้นที่ที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ครอบครอง
เดินทัพทางไกล
[แก้]เมื่อถูกกองทัพชาตินิยมที่มีกำลังเหนือกว่าปิดล้อม พรรคคอมมิวนิสต์จึงได้หลบหนีออกจากมณฑลเจียงซีในเดือนตุลาคม ค.ศ 1934 นับแต่นั้นเป็นต้นมาจึงได้เริ่มต้นขบวนการอันยิ่งใหญ่ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพัฒนาของลัทธิคอมมิวนิสต์จีน การอพยพเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากกองทัพชาตินิยมได้เข้ายึดครองพื้นที่ที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์เคยครอบครองอยู่ทั้งหมด ด้วยการเคลื่อนทัพผ่านภูมิประเทศที่ห่างไกลและภูเขาสูงชัน กองทัพจำนวนประมาณ 100,000 นายสามารถหลบหนีออกจากมณฑลเจียงซีได้สำเร็จ ก่อให้เกิดการล่าถอยทางยุทธศาสตร์ที่ยาวนานผ่านภายในประเทศจีน ซึ่งสิ้นสุดลงในหนึ่งปีต่อมาเมื่อทหารที่รอดชีวิตราว 8,000 ถึง 9,000 นายเดินทางมาถึงมณฑลฉ่านซีทางตอนเหนือ
ในระหว่างการประชุมจุนอี้ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นของการเดินทัพทางไกล กลุ่มบุคคลที่เรียกว่า "28 บอลเชวิค" นำโดยปั๋ว กู่ และหวัง หมิง ถูกปลดจากอำนาจ และเหมาได้ขึ้นเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนคนใหม่ สร้างความไม่พอใจให้แก่สหภาพโซเวียต พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่สนับสนุนโซเวียตได้สิ้นสุดลง และมีการก่อตั้งพรรคใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชนบทขึ้นมาภายใต้การนำของเหมา เติ้งได้กลับมาเป็นแกนนำสำคัญของพรรคอีกครั้งหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้าระหว่างทั้งสองพรรคถูกยุติลงชั่วคราวจากการรุกรานของญี่ปุ่น ซึ่งบีบบังคับให้พรรคก๊กมินตั๋งต้องร่วมมือเป็นพันธมิตรกับพรรคคอมมิวนิสต์เป็นครั้งที่สอง เพื่อปกป้องประเทศจากการรุกรานจากภายนอก
การรุกรานของญี่ปุ่น
[แก้]การรุกรานของกองทัพญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1937 นับเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามจีน–ญี่ปุ่นครั้งที่สอง ในระหว่างการรุกราน เติ้งยังคงอยู่ในพื้นที่ที่คอมมิวนิสต์ควบคุมอยู่ในภาคเหนือ และดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการฝ่ายการเมืองของกองทัพคอมมิวนิสต์ที่ปรับโครงสร้างใหม่ทั้งสามกองพล ตั้งแต่เดือนกันยายน ค.ศ. 1937 จนถึงเดือนมกราคม ค.ศ. 1938 เขาได้พำนักอยู่ในวัดและอารามพุทธศาสนาบนเขาอู่ไถ ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1938 เขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการทางการเมืองประจำกองพลที่ 129 กองทัพลู่ที่แปด ซึ่งมีนายพลหลิว ปั๋วเฉิงเป็นผู้บัญชาการ ทำให้เกิดความร่วมมืออันยาวนานระหว่างเขากับนายพลหลิว
เติ้งประจำการอยู่ในแนวรบที่ติดต่อกับมณฑลฉ่านซี เหอหนาน และเหอเป่ย์ ตลอดระยะเวลาที่เกิดความขัดแย้งกับญี่ปุ่น จากนั้นได้เดินทางไปยังเมืองเหยียนอานหลายครั้ง ซึ่งเป็นที่ที่เหมาได้วางรากฐานสำหรับการนำพรรคคอมมิวนิสต์ไว้ ระหว่างอยู่ในเหอหนาน เขาได้กล่าวสุนทรพจน์อันโด่งดังเรื่อง "สถานการณ์ชัยชนะในการก้าวเข้าสู่ภาคกลาง และนโยบายกลยุทธ์ในอนาคต" ณ โบสถ์แห่งหนึ่งที่เขาเคยพำนักอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง[34][35] ในการเดินทางไปยังเหยียนอานครั้งหนึ่งใน ค.ศ. 1939 เขาได้แต่งงานครั้งที่สามและครั้งสุดท้ายในชีวิตกับนางจัว หลิน ชาวเมืองคุนหมิง ผู้ซึ่งได้เดินทางไปยังเหยียนอานเพื่อเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เช่นเดียวกับเยาวชนผู้มีอุดมการณ์คนอื่น ๆ ในยุคนั้น
เติ้งได้รับการยกย่องว่าเป็น "ทหารผ่านศึกปฏิวัติ" จากการมีเข้าร่วมการเดินทัพทางไกล[36] เขาเป็นผู้นำในปฏิบัติการร้อยกองพัน ซึ่งช่วยยกสถานะของเขาในหมู่สหายร่วมอุดมการณ์[37]
กลับมาทำสงครามกับชาตินิยม
[แก้]หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง เติ้งได้เดินทางไปยังเมืองฉงชิ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่เจียง ไคเชกได้ตั้งรัฐบาลของตนในช่วงที่ญี่ปุ่นรุกราน เพื่อเข้าร่วมการเจรจาเพื่อสันติภาพระหว่างพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์ ผลการเจรจาในครั้งนั้นเป็นไปในทางลบ และความขัดแย้งทางทหารระหว่างทั้งสองฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กันก็ได้ปะทุขึ้นอีกครั้งในเวลาอันสั้นหลังจากการประชุมที่เมืองฉงชิ่ง
ขณะที่เจียง ไคเชกสถาปนารัฐบาลขึ้นใหม่ในเมืองหนานจิง เมืองหลวงของสาธารณรัฐจีน ฝ่ายคอมมิวนิสต์ก็ได้ทำการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจในพื้นที่ ด้วยการดำเนินยุทธวิธีแบบกองโจรจากฐานที่มั่นในชนบทโจมตีเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลเจียง ไคเชกและเส้นทางส่งเสบียง ฝ่ายคอมมิวนิสต์สามารถขยายพื้นที่ครอบครองได้มากขึ้นเรื่อย ๆ และดึงดูดทหารจำนวนมากที่หนีออกจากกองทัพชาตินิยมเข้ามาร่วมฝ่ายตน
เติ้งมีส่วนร่วมอย่างมากในการทัพหวยไห่เพื่อโค่นล้มรัฐบาลชาตินิยม[37]
ในช่วงสุดท้ายของสงคราม เติ้งได้กลับมามีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำทางการเมืองและผู้อำนวยการฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อ ในฐานะผู้ตรวจการทางการเมืองประจำกองทัพภาคสนามที่ 2 ซึ่งมีนายพลหลิว ปั๋วเฉิงเป็นผู้บัญชาการ โดยเติ้งมีส่วนสำคัญในการนำกองทัพปลดปล่อยประชาชนเข้าสู่ทิเบต นอกจากนี้เขายังมีส่วนร่วมในการเผยแพร่ความคิดของเหมา เจ๋อตง ซึ่งได้กลายมาเป็นรากฐานทางอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์ ผลงานทางการเมืองและอุดมการณ์อันโดดเด่น รวมถึงสถานะของเขาในฐานะทหารผ่านศึกการเดินทัพทางไกล ทำให้เขาได้รับตำแหน่งที่มีอำนาจภายในพรรคหลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์สามารถเอาชนะเจียง ไคเชก และก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นมาได้
ยุคเหมา
[แก้]ผู้นำท้องถิ่น
[แก้]วันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1949 เติ้งได้เข้าร่วมพิธีประกาศสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในกรุงปักกิ่ง ในช่วงเวลาดังกล่าว พรรคคอมมิวนิสต์ได้ควบคุมพื้นที่ภาคเหนือทั้งหมด แต่ยังคงมีบางส่วนของภาคใต้ที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของก๊กมินตั๋ง เขาได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำในการปราบปรามและสร้างความสงบเรียบร้อยในภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ในฐานะเลขาธิการคนแรกของกรมตะวันตกเฉียงใต้ หน่วยงานนี้มีภารกิจในการควบคุมการยึดครองพื้นที่ส่วนสุดท้ายของประเทศที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของก๊กมินตั๋ง ทิเบตยังคงเป็นอิสระต่อไปอีกหนึ่งปี
รัฐบาลก๊กมินตั๋งถูกบีบให้ย้ายออกจากเมืองกว่างโจว และได้สถาปนาเมืองฉงชิ่งขึ้นเป็นเมืองหลวงชั่วคราวแห่งใหม่ ณ ที่นั้น เจียง ไคเชก และเจี่ยง จิงกั๋ว บุตรชายผู้เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นกับเติ้งในกรุงมอสโก ต่างปรารถนาที่จะหยุดยั้งการก้าวหน้าของกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์
ภายใต้การควบคุมทางการเมืองของเติ้ง กองทัพคอมมิวนิสต์ได้เข้ายึดครองเมืองฉงชิ่งในปลายเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1949 และได้เคลื่อนทัพเข้าสู่เมืองเฉิงตู ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสุดท้ายของเจียง ไคเชกในอีกไม่กี่วันต่อมา ในช่วงเวลานั้น เติ้งได้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองฉงชิ่ง พร้อมกันนั้นยังเป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งกองทัพคอมมิวนิสต์ที่ขณะนี้ได้ประกาศตนเป็นกองทัพปลดปล่อยประชาชน ได้ปราบปรามการต่อต้านจากกลุ่มผู้ภักดีต่อระบอบก๊กมินตั๋งเก่า ใน ค.ศ. 1950 รัฐที่ปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ได้เข้ายึดครองทิเบต
ในคำปราศรัยต่อคณะทำงานเตรียมการกำกับดูแลการรณรงค์ในขบวนการปฏิรูปที่ดินใน ค.ศ. 1951 เติ้งได้กำชับว่าขณะที่คณะทำงานควรช่วยเหลือชาวนาในการดำเนินการ "การต่อสู้ด้วยเหตุผล" ที่ปราศจากความรุนแรง พวกเขายังต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ในฐานะขบวนการประชาชน การปฏิรูปที่ดินมิใช่ช่วงเวลาที่ต้อง "นุ่มนวลละมุนละม่อม"
ในคำกล่าวสุนทรพจน์ปี ค.ศ. 1951 แก่คณะทำงานที่เตรียมการกำกับดูแลการรณรงค์ในขบวนการปฏิรูปที่ดิน เติ้งได้กำชับว่าขณะที่คณะทำงานควรช่วยเหลือชาวนาในการดำเนินการ "การต่อสู้ด้วยเหตุผล" ที่ปราศจากความรุนแรง พวกเขายังต้องตระหนักอยู่เสมอว่าในฐานะขบวนการประชาชน การปฏิรูปที่ดินไม่ใช่เวลาที่จะต้อง "นุ่มนวลละมุนละม่อม"[38] และได้แสดงความเห็นในลักษณะคำถามเชิงวาทศิลป์ว่า แม้ในอุดมคติแล้วจะไม่มีเจ้าของที่ดินคนใดต้องเสียชีวิตในกระบวนการนี้ "หากเจ้าของที่ดินใจแคบบางคนฆ่าตัวตาย นั่นหมายความว่านโยบายของเรามีปัญหาหรือไม่? เราต้องรับผิดชอบหรือ?"[39]
เติ้ง เสี่ยวผิง ใช้เวลาสามปีในเมืองฉงชิ่ง ซึ่งเป็นเมืองที่เขาเคยศึกษาเล่าเรียนในช่วงวัยรุ่นก่อนที่จะเดินทางไปศึกษาต่อยังประเทศฝรั่งเศส ใน ค.ศ. 1951 เขาได้ย้ายไปปักกิ่ง และดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในรัฐบาลกลาง
การขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองในปักกิ่ง
[แก้]ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1952 เติ้งเดินทางมายังกรุงปักกิ่งเพื่อเข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรองประธานคณะกรรมการการเงิน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้อำนวยการสำนักสื่อสาร ใน ค.ศ. 1954 เขาถูกปลดจากตำแหน่งดังกล่าวทั้งหมด เหลือเพียงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ใน ค.ศ. 1956 เขาได้รับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายองค์กรของพรรคคอมมิวนิสต์ และสมาชิกคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง
หลังจากให้การสนับสนุนเหมาอย่างเป็นทางการในการขบวนต่อต้านฝ่ายขวาใน ค.ศ. 1957 เติ้งก็ได้รับตำแหน่งเลขาธิการสำนักเลขาธิการ และรับผิดชอบการบริหารกิจการประจำวันของประเทศร่วมกับประธานาธิบดีหลิว เช่าฉี และนายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล นโยบายของเติ้งและหลิวมุ่งเน้นไปที่เศรษฐกิจมากกว่าอุดมการณ์ เป็นการเบี่ยงเบนจากความกระตือรือร้นอันมหาศาลของนโยบายก้าวกระโดดไกลไปโดยปริยาย ทั้งหลิวและเติ้งต่างให้การสนับสนุนเหมาในการรณรงค์ครั้งใหญ่ในคริสต์ทศวรรษ 1950 ซึ่งทั้งสองได้ร่วมกันโจมตีชนชั้นกลางและทุนนิยม และส่งเสริมอุดมการณ์ของเหมา[40] อย่างไรก็ตาม ความล้มเหลวของนโยบายก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้าได้ถูกมองว่าเป็นการตำหนิความสามารถในการบริหารจัดการเศรษฐกิจของเหมา เผิง เต๋อหวยเริ่มวิพากษ์วิจารณ์เหมาอย่างเปิดเผย ขณะที่หลิวและเติ้งยังคงสงวนท่าทีที่ระมัดระวังมากขึ้น และในที่สุดก็เข้ามารับผิดชอบนโยบายเศรษฐกิจเมื่อเหมาเลิกยุ่งเกี่ยวกับกิจการประจำวันของพรรคและประเทศ เหมาเหมาตกลงที่จะสละตำแหน่งประธานาธิบดี (ตำแหน่งประมุขแห่งรัฐโดยนิตินัย) ให้แก่หลิว ขณะเดียวกันก็ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำพรรคและกองทัพไว้
ใน ค.ศ. 1955 เติ้งได้รับการพิจารณาให้เป็นผู้มีสิทธิ์รับยศจอมพลแห่งกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้รับยศดังกล่าว
ในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่ 8 ใน ค.ศ. 1956 เติ้งได้สนับสนุนให้มีการลบข้อความที่อ้างถึง "ความคิดของเหมา เจ๋อตง" ออกจากข้อบังคับของพรรคทั้งหมด[37]
ใน ค.ศ. 1963 เติ้งได้เดินทางไปยังกรุงมอสโกเพื่อเป็นประธานในการประชุมคณะผู้แทนจากประเทศจีนกับนีกีตา ครุชชอฟ ผู้สืบทอดอำนาจของสตาลิน ความสัมพันธ์ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับสหภาพโซเวียตนั้นเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การถึงแก่อสัญกรรมของสตาลิน ภายหลังการประชุมครั้งนี้ ผลการเจรจาไม่เป็นผลสำเร็จ และความแตกแยกระหว่างจีนกับโซเวียตก็ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจคอมมิวนิสต์ทั้งสองในยุคนั้นหยุดชะงักลงเกือบทั้งหมด[41]
ภายหลังการประชุมคณะทำงาน 7,000 คนใน ค.ศ. 1962 การปฏิรูปเศรษฐกิจของหลิวและเติ้งในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย และได้ฟื้นฟูสถาบันทางเศรษฐกิจหลายแห่งที่ถูกยกเลิกไปก่อนหน้านี้ในช่วงการก้าวกระโดดไกลไปข้างหน้า[40] เหมาเริ่มรู้สึกว่าตนเองจะสูญเสียอำนาจ จึงได้ดำเนินการเพื่อยึดอำนาจการปกครองประเทศกลับคืนมา เหมาได้อ้างถึงจิตวิญญาณแห่งการปฏิวัติของตนและริเริ่มการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปร่วมกันขจัดกลุ่มทุนนิยมขวาจัดที่ได้ "แทรกซึมเข้าสู่พรรค" เติ้งถูกเย้ยหยันว่าเป็น "ผู้สนับสนุนทุนนิยมหมายเลขสอง"[42]
เติ้งเป็นหนึ่งในผู้ร่างหลักแผนพัฒนาเศรษฐกิจ (แผนห้าปี) ฉบับที่สาม[43]: 29 ในร่างฉบับดังกล่าวได้เน้นย้ำถึงการมุ่งเน้นผู้บริโภค และการพัฒนาเมืองชายฝั่งที่มีอุตสาหกรรมของจีนอย่างต่อเนื่อง[43]: 7 เมื่อเหมาได้เสนอแนวคิดการรณรงค์ครั้งใหญ่เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมพื้นฐานและความมั่นคงของชาติภายในประเทศจีนในฐานะแนวรบที่สามเพื่อเตรียมรับมือกับการรุกรานที่อาจเกิดขึ้นจากสหรัฐหรือสหภาพโซเวียต เติ้งก็เป็นหนึ่งในผู้นำคนสำคัญที่คัดค้านแนวคิดดังกล่าว[43]: 7 ภายหลังอุบัติการณ์อ่าวตังเกี๋ยซึ่งก่อให้เกิดความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการถูกสหรัฐโจมตี เติ้งและผู้นำระดับสูงคนอื่น ๆ จึงได้ให้การสนับสนุนการก่อสร้างแนวรบที่สามอย่างเต็มที่ และได้มีการปรับเปลี่ยนจุดเน้นของแผนห้าปีมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ[43]: 7
เป้าหมายของการกวาดล้าง
[แก้]การปฏิวัติทางวัฒนธรรม
[แก้]เหมามีความกังวลว่านโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจของเติ้งและหลิวอาจนำไปสู่การฟื้นระบบทุนนิยมและเป็นอันสิ้นสุดการปฏิวัติจีน[44] ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้นและเหตุผลอื่น ๆ เหมาจึงได้ริเริ่มการปฏิวัติทางวัฒนธรรมใน ค.ศ. 1976 ซึ่งส่งผลให้เติ้งไม่ได้รัยความไว้วางใจและถูกบังคับให้ลาออกจากตำแหน่งทั้งหมด
ในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เขาและครอบครัวตกเป็นเป้าโจมตีของยุวชนแดง ซึ่งได้จับกุมเติ้ง ผู่ฟาง บุตรชายคนโตของเติ้งไว้ เติ้ง ผู่ฟางถูกทรมานและถูกโยนออกจากหน้าต่างอาคารสูงสี่ชั้นใน ค.ศ. 1968 ทำให้เขาเป็นอัมพาตครึ่งล่าง ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1969 เติ้ง เสี่ยวผิงถูกส่งไปใช้แรงงานที่โรงงานรถแทรกเตอร์อำเภอซินเจียน ในเขตชนบทของมณฑลเจียงซี[45]: 466 ในช่วงสี่ปีที่นั่น[46] เติ้งใช้เวลาว่างไปกับการเขียนหนังสือ เขาถูกกวาดล้างในระดับประเทศ แต่ในระดับน้อยกว่าประธานาธิบดีหลิว เช่าฉี
ใน ค.ศ. 1971 หลิน เปียว ผู้สืบทอดตำแหน่งอย่างเป็นทางการคนที่สองของเหมาและรองประธานพรรคเพียงคนเดียวได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก ตามรายงานอย่างเป็นทางการ หลินพยายามหลบหนีออกจากประเทศจีนหลังจากการก่อรัฐประหารเพื่อโค่นล้มเหมาล้มเหลว เหมาได้สั่งกวาดล้างพันธมิตรของหลินทั้งหมด ซึ่งดำรงตำแหน่งระดับสูงเกือบทั้งหมดในกองทัพปลดปล่อยประชาชน ทำให้เติ้ง (ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการทางการเมืองของกองทัพภาคสนามที่ 2 ในช่วงสงครามกลางเมือง) กลายเป็นผู้นำกองทัพที่มีอิทธิพลมากที่สุด[44] ในเวลาต่อมา เติ้งได้เขียนจดหมายถึงเหมาถึงสองครั้งเพื่อแสดงความสำนึกผิดจากเหตุการณ์หลิน เปียว ยอมรับว่าตนเองมี "แนวโน้มทุนนิยม" และไม่ได้ "ยึดมั่นในความคิดของเหมา เจ๋อตง" อย่างแน่วแน่ พร้อมทั้งแสดงเจตจำนงที่จะกลับเข้ามารับใช้พรรคเพื่อชดเชยความผิดพลาดที่ได้กระทำไป[47]: 454 นายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล เคยเป็นผู้สืบทอดอำนาจคนที่สามของเหมา แต่ต่อมาประสบปัญหาสุขภาพด้วยโรคมะเร็ง จึงเลือกเติ้งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1976 เติ้งได้เดินทางกลับมายังกรุงปักกิ่ง หลังจากที่โจวได้เชิญตัวกลับจากการถูกเนรเทศเพื่อให้กลับมามีบทบาทในการฟื้นฟูเศรษฐกิจจีน[48][47]: 455 โจวสามารถโน้มน้าวเหมาให้นำเติ้งกลับเข้ามามีบทบาททางการเมืองอีกครั้งในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่งในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1974 ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วจะผู้ดูแลกิจการประจำวัน[49] อย่างไรก็ตาม เขายังคงระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการขัดแย้งกับอุดมการณ์ลัทธิเหมาบนเอกสาร ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1975 คณะกรรมาธิการกลางพรรคชุดที่ 10 ได้มีมติเลือกเติ้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานพรรคเป็นครั้งแรกในชีวิตทางการเมือง ทำให้หลี่ เต๋อเชิงจำต้องลาออกจากตำแหน่งเพื่อเปิดทางให้ เติ้งเป็นหนึ่งในรองประธานทั้งห้าคน โดยมีโจวเป็นรองประธานคนแรก
ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดในระยะเวลาอันสั้นใน ค.ศ. 1973 เติ้งได้จัดตั้งสำนักวิจัยการเมืองขึ้น โดยมีปัญญาชน อาทิ หู เฉียวมู่ ยฺหวี กวาง-ยฺเหวี่ยน และหู เฉิง เป็นหัวหน้า มีหน้าที่ในการศึกษาค้นคว้าแนวทางปฏิรูปการเมืองและเศรษฐกิจ เขาเป็นผู้นำกลุ่มด้วยตนเองและบริหารโครงการภายในคณะรัฐมนตรี เพื่อป้องกันไม่ให้แก๊งออฟโฟร์เกิดความสงสัย
ใน ค.ศ. 1975 เติ้งมุ่งมั่นที่จะปรับเปลี่ยนทิศทางการดำเนินงานของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีนให้หันมาให้ความสำคัญกับการวิจัยเชิงทฤษฎีมากขึ้น ซึ่งเป็นด้านที่ถูกละเลยไปในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[50]: 74 เติ้งกล่าวว่าการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ในจีนนั้นล้าหลังเมื่อเทียบกับความต้องการในการสร้างสังคมนิยมและสถานะของประเทศที่พัฒนาแล้ว และได้กล่าวเพิ่มเติมว่าเพื่อให้ทันต่อความต้องการ จีนควรให้ความสำคัญกับวิทยาศาตร์ขั้นพื้นฐานเพื่อสร้างรากฐานทางทฤษฎีที่มั่นคง[50]: 74 แม้ว่าแนวทางนี้จะขาดความนิยมทางการเมืองในช่วงที่เติ้งถูกกวาดล้าง แต่แนวทางของเติ้งในการสร้างสมดุลระหว่างการวิจัยประยุกต์และการวิจัยพื้นฐานก็ได้รับการยอมรับให้เป็นนโยบายอย่างเป็นทางการของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีน (CAS) ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1977[50]: 75
การปฏิวัติทางวัฒนธรรมยังคงดำเนินอยู่ และกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายหัวรุนแรงที่รู้จักกันในนาม "แก๊งออฟโฟร์" ที่นำโดยนางเจียง ชิง ภริยาของเหมา ก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแย่งชิงอำนาจภายในพรรค กลุ่มดังกล่าวมองว่าเติ้งเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการชิงอำนาจขิงพวกเขา[51] เหมาเองก็สงสัยว่าเติ้งจะทำลายภาพลักษณ์เชิงบวกของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ซึ่งเหมามองว่าเป็นหนึ่งในนโยบายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตน ตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 1975 เป็นต้นมา เติ้งได้รับคำสั่งให้เขียนคำวิจารณ์ตนเองหลายฉบับ แม้เขาจะยอมรับว่าได้ยึดมั่นใน "แนวคิดอุดมการณ์ที่ไม่เหมาะสม" ในการปฏิบัติงานด้านกิจการของประเทศและพรรค แต่ก็ยังลังเลที่จะยอมรับว่านโยบายของตนนั้นผิดพลาดในสาระสำคัญ ความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างเขากับแก๊งออฟโฟ์นั้นชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเหมาก็ดูเหมือนจะเอนเอียงไปทางกลุ่มนั้น เหมาปฏิเสธที่จะยอมรับคำวิจารณ์ตนเองของเติ้ง และได้ขอให้คณะกรรมาธิการกลางพรรคดำเนินการ "พิจารณาข้อผิดพลาดของเติ้งอย่างละเอียด"
การรณรงค์ “วิจารณ์เติ้ง”
[แก้]โจว เอินไหล ถึงแก่อสัญกรรมในเดือนมกราคม ค.ศ. 1976 ท่ามกลางความเศร้าโศกเสียใจของประชาชนทั่วประเทศ โจวเป็นบุคคลสำคัญยิ่งในชีวิตทางการเมืองของเติ้ง และการอสัญกรรมของเขาได้ทำให้การสนับสนุนที่เหลืออยู่ในคณะกรรมาธิการกลางพรรคลดน้อยลง หลังจากที่เติ้งได้แถลงการณ์สรรเสริญอย่างเป็นทางการให้แก่โจวในรัฐพิธีศพ[37] แก๊งออฟโฟร์โดยได้รับอนุญาตจากเหมาก็ได้เริ่มต้นการรณรงค์ "ต่อต้านการฟื้นฟูกรณีของพวกฝ่ายขวา" ฮฺว่า กั๋วเฟิง ไม่ใช่เติ้ง ได้รับเลือกให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากโจวในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1976
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2519 คณะกรรมาธิการกลางได้ออกคำสั่งสำคัญระดับสูง โดยมีสาระสำคัญในการโยกย้ายเติ้งไปปฏิบัติงานด้าน "กิจการต่างภายนอก"อย่างเป็นทางการ ซึ่งเท่ากับเป็นการถอดเติ้งจากกลไกอำนาจของพรรค เติ้งอยู่บ้านเป็นเวลาหลายเดือนขณะรอคอยชะตากรรม สำนักวิจัยทางการเมืองถูกยุบเลิกในทันที และที่ปรึกษาของเติ้ง เช่น ยฺหวี กวาง-ยฺเหวี่ยน ถูกพักงาน ด้วยเหตุนี้ ความปั่นป่วนทางการเมืองจึงเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจที่เติ้งได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจในการสร้างตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา[52] วันที่ 3 มีนาคม เหมาได้ออกคำสั่งยืนยันความชอบธรรมของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และระบุโดยเฉพาะว่าเติ้งเป็นปัญหาภายในมากกว่าปัญหาภายนอก ต่อมาคณะกรรมาธิการกลางได้สั่งการไปยังหน่วยงานพรรคระดับท้องถิ่นทุกแห่งให้ศึกษาคำสั่งของเหมาและวิพากษ์วิจารณ์เติ้ง
ชื่อเสียงของเติ้งในฐานะนักปฏิรูปได้รับความเสียหายอย่างหนักหลังจากกรณีเทียนอันเหมินในวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1976 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่ประชาชนจำนวนมากได้มาร่วมไว้อาลัยโจวในเทศกาลเช็งเม้ง แก๊งออฟโฟร์ได้ตีตราเหตุการณ์นี้ว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิวัติและเป็นภัยต่อคุกคามอำนาจของพวกตน ยิ่งไปกว่านั้น แก๊งได้ตีความว่าเติ้งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าว และเหมาได้เขียนไว้ว่า "ธรรมชาติของสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว"[53] เหตุการณ์นี้กระตุ้นให้เหมาดำเนินการปลดเติ้งออกจากตำแหน่งผู้นำทั้งหมด แม้ว่าเขาจะยังคงเป็นสมาชิกพรรคต่อไป ด้วยเหตุนี้ ในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1976 นายกรัฐมนตรีฮฺว่า กั๋วเฟิง จึงได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีแทนเติ้ง และในขณะเดียวกันก็ได้รับตำแหน่งรองประธานพรรคคนที่หนึ่ง ซึ่งเป็นตำแหน่งว่างลงหลังจากที่โจวดำรงตำแหน่ง ทำให้ฮฺว่ากลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งอย่างเป็นทางการคนที่สี่ของเหมา
ผู้นำประเทศ
[แก้]ผู้นำสูงสุด
[แก้]ภายหลังการถึงแก่อสัญกรรมของเหมาในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1976 และการกวาดล้างแก๊งออฟโฟร์ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน นายกรัฐมนตรีฮฺว่า กั๋วเฟิงได้เข้าดำรงตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีน และค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของจีน ก่อนการถึงแก่อสัญกรรมของเหมา ตำแหน่งในรัฐบาลเพียงตำแหน่งเดียวเดียวที่เติ้งดำรงอยู่คือรองนายกรัฐมนตรีคนที่หนึ่ง[54] อย่างไรก็ดี ฮฺว่า กั๋วเฟิงต้องการจะขจัดกลุ่มหัวรุนแรงออกจากพรรค และขับไล่แก๊งออฟโฟร์ออกไปได้สำเร็จ วันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ. 1977 เติ้งได้รับการแต่งตั้งกลับคืนสู่ตำแหน่งรองประธานคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน รองประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง และประธานคณะเสนาธิการกองทัพปลดปล่อยประชาชน[55]
ด้วยการระดมกำลังสนับสนุนจากพรรคอย่างรอบคอบ เติ้งจึงสามารถเอาชนะฮฺว่า ผู้ซึ่งเคยอภัยโทษให้แก่ตนได้ และได้ขับไล่ฮฺว่าออกจากตำแหน่งผู้นำสูงสุดภายใน ค.ศ. 1980 แตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงผู้นำในครั้งก่อน เติ้งอนุญาตให้ฮฺว่าคงสถานะเป็นสมาชิกคณะกรรมธิการกลางและเกษียณอายุอย่างเงียบ ๆ ซึ่งเป็นการวางบรรทัดฐานใหม่ที่แสดงให้เห็นว่าการพ่ายแพ้ในการต่อสู้เพื่ออำนาจในระดับสูงจะไม่นำมาซึ่งอันตรายทางกาย
ในช่วงที่เติ้งเป็นผู้นำสูงสุด เขาดำรงตำแหน่งประธานสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1978 ถึง 1983 และประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง (หน่วยงานเฉพาะกิจที่ประกอบด้วยสมาชิกระดับสูงที่สุดของพรรค) ของสาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1983 ถึง 1990 ในขณะที่ตำแหน่งอย่างเป็นทางการในพรรคของเขาคือรองประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1977 ถึง 1982 ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1981 ถึง 1989 และประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาส่วนกลางตั้งแต่ปี ค.ศ. 1982 ถึง 1987 ใน ค.ศ. 1988 เมื่อกองทัพปลดปล่อยประชาชนได้ฟื้นฟูระบบยศทางทหารขึ้นมาใหม่ เขาได้รับการเสนอยศเป็นพลเอก แต่ก็ได้ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวไปเช่นเดียวกับเมื่อปี ค.ศ. 1955 แม้จะเกษียณจากตำแหน่งคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1987 และคณะกรรมการทหารส่วนกลางใน ค.ศ. 1989 แต่เติ้งก็ยังคงมีอิทธิพลต่อนโยบายของประเทศจีนอย่างต่อเนื่องกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. 1997
การตัดสินใจที่สำคัญมักจะกระทำขึ้น ณ บ้านเลขที่ 11 ซอยหมี่เหลียงกู่ ของเติ้ง โดยมีสมาชิกอาวุโสระดับสูงในพรรคจำนวน 8 คนที่เรียกกันว่า "แปดผู้เฒ่า" รวมถึง เฉิน ยฺหวิน และหลี่ เซียนเนี่ยน ร่วมประชุมปรึกษาหารือ[56][57] แม้เติ้งจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำสูงสุด แต่ในทางปฏิบัติ กลุ่มผู้อาวุโสเหล่านี้จะร่วมกันบริหารประเทศจีนในลักษณะคณะกรรมการขนาดเล็ก[58]: 78 เติ้งครองอำนาจในฐานะ "ผู้นำสูงสุด" แม้จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของพรรคก็ตาม และสามารถปลดผู้นำพรรคได้สามคนติดต่อกัน รวมถึงหู เย่าปัง[59] เติ้งลาออกจากตำแหน่งกรรมาธิการกลางพรรค และคณะกรรมาธิการสามัญประจำกรมการเมืองของพรรค ถึงกระนั้น เขาก็ยังคงดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางของประเทศและพรรค และยังคงเป็นผู้นำสูงสุดจีนมากกว่าที่จะเป็นเลขาธิการจ้าว จื่อหยาง ประธานาธิบดีหลี่ เซียนเนี่ยน และประธานาธิบดีหยาง ช่างคุน
ปัวล่วนฝ่านเจิ้ง
[แก้]เติ้งได้ปฏิเสธการปฏิวัติทางวัฒนธรรม และใน ค.ศ. 1977 ก็ได้ริเริ่ม "ฤดูใบไม้ผลิแห่งปักกิ่ง" ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการวิพากษ์วิจารณ์การกระทำที่เกินขอบเขตและความทุกข์ทรมานที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าวอย่างเปิดเผย นอกจากนี้ยังได้ฟื้นฟูการสอบเข้ามหาวิทยาลัยระดับชาติ (เกาเข่า) ซึ่งถูกยกเลิกไปเป็นเวลาสิบปีในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรม ในขณะเดียวกัน เขายังเป็นผู้ผลักดันให้มีการยกเลิกระบบชนชั้น ภายใต้ระบบนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ลบอุปสรรคในการจ้างงานสำหรับชาวจีนที่ถูกระบุว่ามีความเกี่ยวข้องกับชนชั้นเจ้าของที่ดินในอดีต การลบอุปสรรคดังกล่าวเปิดโอกาสให้กลุ่มบุคคลที่สนับสนุนการฟื้นฟูตลาดเอกชนสามารถเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้
เติ้งค่อย ๆ เอาชนะคู่แข่งทางการเมืองของตนอย่างชาญฉลาด ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์การปฏิวัติทางวัฒนธรรมอย่างเปิดเผย เขาได้ลดทอนอำนาจของกลุ่มบุคคลที่ได้รับตำแหน่งทางการเมืองจากเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะเดียวกันก็เสริมสร้างฐานะให้แก่ผู้ที่เคยถูกขับออกจากอำนาจในช่วงเวลานั้นเช่นเดียวกับตนเอง เติ้งยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเป็นจำนวนมาก ขณะที่เติ้งกำลังค่อย ๆ สร้างความมั่นคงในการควบคุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้น ฮฺว่าได้ถูกแทนที่ด้วยจ้าว จื่อหยางในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน ค.ศ. 1980 และโดยหู เย่าปังในตำแหน่งประธานพรรคใน ค.ศ. 1981 แม้ว่าฮฺว่าจะเป็นผู้ที่เหมาไว้วางใจให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำสูงสุดของพรรคและประเทศก็ตาม ในช่วงการขจัดความวุ่นวายและกลับคืนสู่ภาวะปกติ (ปัวล่วนฝ่านเจิ้ง) การปฏิวัติทางวัฒนธรรมได้ถูกประกาศว่าเป็นโมฆะ และผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของคดีความที่ไม่เป็นธรรมจำนวนกว่า 3 ล้านราย ณ ปี ค.ศ. 1976 ได้รับการฟื้นฟูชื่อเสียงอย่างเป็นทางการ[60]
การที่เติ้งก้าวขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของจีนนั้นหมายความว่าประเด็นทางประวัติศาสตร์และอุดมการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเหมาจำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม เนื่องจากเติ้งปรารถนาที่จะดำเนินการปฏิรูปครั้งใหญ่ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสืบทอดนโยบาย "การต่อสู้ทางชนชั้น" ที่แข็งกร้าว และการรณรงค์ต่อสาธารณะของเหมา ใน ค.ศ. 1982 คณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เผยแพร่เอกสารเรื่อง "ประเด็นทางประวัติศาสตร์ต่างๆ นับตั้งแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน" เหมายังคงรักษาสถานะของตนในฐานะ "มาร์กซิสต์ผู้ยิ่งใหญ่ นักปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพ นักการทหาร และนายพลผู้ยิ่งใหญ่" รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บุกเบิกของประเทศและกองทัพปลดปล่อยประชาชนที่ไม่มีใครเทียบได้ เอกสารดังกล่าวระบุว่า "ควรพิจารณาถึงความสำเร็จของเขาก่อนที่จะพิจารณาถึงความผิดพลาด" เติ้งได้ให้ความเห็นส่วนตัวว่าเหมาเป็นคน "ดีเจ็ดส่วน เลวสามส่วน" เอกสารดังกล่าวยังได้เบี่ยงเบนความรับผิดชอบหลักในการปฏิวัติทางวัฒนธรรมออกจากเหมา (แม้จะระบุไว้ว่า "เหมาได้เริ่มต้นปฏิวัติทางวัฒนธรรมโดยเข้าใจผิด") ไปยัง "กลุ่มต่อต้านการปฏิวัติ" อย่างแก๊งออฟโฟร์และหลิน เปียว
ความพันธ์ระหว่างประเทศ
[แก้]เติ้งให้ความสำคัญสูงสุดต่อการทำให้ประเทศจีนทันสมัยและเปิดรับความสัมพันธ์กับต่างประเทศ โดยประกาศว่า "ยุทธศาสตร์การต่างประเทศของจีนคือการแสวงหาสภาพแวดล้อมที่สงบสุข" เพื่อสนับสนุนนโยบายการปฏิรูปทั้งสี่ด้าน[61] ภายใต้การนำของเติ้ง จีนได้เปิดประเทศสู่ภายนอกเพื่อเรียนรู้จากประเทศที่พัฒนาแล้ว[61] เติ้งได้พัฒนาหลักการที่ว่าในกิจการต่างประเทศ จีนควรซ่อนศักยภาพและคอยโอกาสอันเหมาะสม [61] เขายังคงมุ่งมั่นที่จะรักษาสถานะที่เป็นกลางระหว่างสหรัฐและสหภาพโซเวียต[61] แม้ว่าเติ้งจะยังคงรักษาอำนาจในการตัดสินใจเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติที่สำคัญ แต่เขาก็ได้มอบอำนาจให้แก่ข้าราชการในเรื่องทั่วไป เช่น การให้สัตยาบันต่อการตัดสินใจโดยฉันทามติ และจะเข้ามาแทรกแซงในกรณีที่ไม่สามารถบรรลุฉันทามติได้[61] เมื่อเทียบกับยุคของเหมา เติ้งได้ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของหน่วยงานต่าง ๆ ในการตัดสินใจด้านนโยบายต่างประเทศมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการกระจายอำนาจในการบริหารงานด้านนโยบายต่างประเทศ[62] แนวทางการกระจายอำนาจดังกล่าวส่งผลให้เกิดการพิจารณาผลประโยชน์และมุมมองที่หลากหลาย แต่ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดการแตกแยกของสถาบันกำหนดนโยบาย และการเจรจาต่อรองที่ซับซ้อนระหว่างหน่วยงานราชการต่าง ๆ ในกระบวนการกำหนดนโยบาย[62]
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1978 หลังจากสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศได้เข้าสู่ภาวะปกติ เติ้งได้เดินทางเยือนกรุงเทพ กัวลาลัมเปอร์ และสิงคโปร์ และได้พบปะกับนายกรัฐมนตรีลี กวนยู แห่งสิงคโปร์ เติ้งรู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ความเขียวขจี และที่อยู่อาศัยของประเทศสิงคโปร์ และต่อมาได้ส่งชาวจีนหลายหมื่นคนไปศึกษาและดูงานที่สิงคโปร์และประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกเพื่อนำความรู้และประสบการณ์กลับมาพัฒนาประเทศ ในทางกลับกัน ลี กวนยูได้ให้คำแนะนำแก่เติ้งว่าควรยุติการเผยแพร่อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งคำแนะนำที่ลีบอกเติ้งก็ได้ปฏิบัติตามในภายหลัง[63][64] ในปลายปี ค.ศ. 1978 บริษัทโบอิง ผู้ผลิตอากาศยานได้ประกาศการขายเครื่องบินโบอิง 747 ให้แก่สายการบินต่าง ๆ ในจีน และบริษัทโคคา-โคล่า ผู้ผลิตเครื่องดื่มได้ประกาศเจตนารมณ์ในการเปิดโรงงานผลิตในเซี่ยงไฮ้[ต้องการอ้างอิง]
ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1979 สหรัฐได้ยอมรับสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำให้รัฐบาลชาตินิยม (ไต้หวัน) อยู่ในสถานะที่ไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ และการติดต่อทางธุรกิจระหว่างจีนกับตะวันตกก็เริ่มเติบโตมากขึ้น[65] ในช่วงต้นปี ค.ศ. 1979 เติ้งได้เดินทางเยือนสหรัฐอย่างเป็นทางการ โดยได้เข้าพบประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์ ณ กรุงวอชิงตัน รวมถึงสมาชิกสภาคองเกรสหลายคน ฝ่ายจีนยืนกรานที่จะเชิญอดีตประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันเข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองอย่างเป็นทางการที่ทำเนียบขาว ซึ่งนับเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นที่จะแสดงบทบาทอันเข้มแข็งในด้านหนึ่ง และในอีกด้านหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะสานต่อโครงการต่าง ๆ ที่นิกสันได้ริเริ่มไว้ ในการหารือกับประธานาธิบดีคาร์เตอร์ เติ้งได้พยายามขอความเห็นชอบจากสหรัฐสำหรับการวางแผนรุกรานเวียดนามของจีนในสงครามจีน–เวียดนาม[66] ตามคำกล่าวของซบิกนิว เบรซซินสกี ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐ ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ได้สงวนท่าที ซึ่งเป็นการกระทำที่นักการทูตจีนตีความว่าเป็นการอนุมัติโดยปริยาย และจีนได้เปิดฉากการรุกรานหลังจากการกลับประเทศของเติ้งไม่นาน[66]
ในระหว่างการเยือนครั้งนั้น เติ้งได้เดินทางไปเยี่ยมชมศูนย์อวกาศจอห์นสันในเมืองฮิวสตัน ตลอดจนสำนักงานใหญ่ของบริษัทโคคา-โคล่าในเมืองแอตแลนตา และบริษัทโบอิงในเมืองซีแอตเทิล ด้วยความสำคัญของการเยี่ยมชมเหล่านี้ เติ้งได้เน้นย้ำอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลจีนชุดใหม่ให้ความสำคัญสูงสุดต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและเทคโนโลยี[ต้องการอ้างอิง]
เติ้งรับหน้าที่รับผิดชอบการเจรจาขั้นสุดท้ายกับสหรัฐ เรื่องการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างระหว่างทั้งสองประเทศด้วยตนเอง[67] เมื่อเผชิญกับเสียงวิจารณ์ภายในพรรคเกี่ยวกับนโยบายต่อสหรัฐ เติ้งได้กล่าวไว้ว่า "ผมเป็นประธานดำเนินงานเกี่ยวกับสหรัฐ หากเกิดปัญหาใด ๆ ผมจะรับผิดชอบทั้งหมด"[67]
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง[68] เติ้งได้ยกญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างของประเทศที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านเศรษฐกิจให้แก่ประเทศจีน[69]
ในระยะแรก เติ้งยังคงยึดมั่นในแนวทางลัทธิเหมาในยุคที่จีนแตกแยกกับโซเวียต ซึ่งมองว่าสหภาพโซเวียตเป็นมหาอำนาจที่มีลักษณะ "ครอบงำ" เช่นเดียวกับสหรัฐ แต่เป็นภัยคุกคามต่อจีนมากกว่าเนื่องจากตั้งอยู่ใกล้ชิด[70] ความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตเป็นไปในทางที่ดีขึ้นภายหลังจากที่มีฮาอิล กอร์บาชอฟขึ้นดำรงตำแหน่งผู้นำใน ค.ศ. 1985 และในที่สุดความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่างทั้งสองประเทศก็ได้รับการฟื้นฟูอย่างเป็นทางการในการประชุมสุดยอดจีน–โซเวียตใน ค.ศ. 1989[71]
เติ้งตอบโต้การคว่ำบาตรของชาติตะวันตกหลังจากการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมินโดยการนำ "หลักการยี่สิบสี่อักษร" มาใช้ในการดำเนินกิจการระหว่างประเทศของจีน ซึ่งมีใจความสำคัญคือ สังเกตสถานการณ์อย่างรอบคอบ (冷静观察), รักษาจุดยืนของชาติ (稳住阵脚), รับมือความท้าทายอย่างสงบ (沉着应付), ซ่อนศักยภาพของประเทศและคอยโอกาสที่เหมาะสม (韬光养晦), ทำตัวให้ต่ำต้อย (善于守拙) และเลี่ยงการแสดงบทบาทผู้นำ (绝不当头)[72]
การสิ้นสุดของสงครามเย็นและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตได้ทำลายแรงจูงใจดั้งเดิมที่เป็นพื้นฐานของการปรองดองระหว่างจีนกับสหรัฐ[73] เติ้งมีความกังวลว่าสหรัฐอาจจะลดการสนับสนุนการปฏิรูปประเทศจีนให้ทันสมัย จึงได้ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ไม่เปิดเผยตัวเพื่อยอมรับสถานะผู้นำของสหรัฐ และมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาภายในประเทศเป็นหลัก[73] ในช่วงเวลานี้ของนโยบายต่างประเทศ จีนได้ให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน และการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในสถาบันพหุภาคี[73] ดังที่ศาสตราจารย์จ้าว ซุ่ยเชิง ได้ประเมินมรดกทางนโยบายต่างประเทศของเติ้งไว้ว่า "การทูตเพื่อการพัฒนาของเติ้งได้ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมภายนอกที่เอื้ออำนวยต่อการผงาดขึ้นของจีนในศตวรรษที่ 21 ผู้สืบทอดที่เขาเลือกเองกับมืออย่างเจียง เจ๋อหมิน และหู จิ่นเทา ต่างก็ดำเนินรอยตามแนวทางของเขาอย่างซื่อสัตย์ "[73]
ใน ค.ศ. 1990 ระหว่างการพบปะกับนายกรัฐมนตรีพีเอร์ ทรูโด แห่งแคนาดา เติ้งได้กล่าวไว้ว่า "หลักการสำคัญที่ควบคุมระเบียบโลกใหม่ควรเป็นการไม่แทรกแซงกิจการภายในและระบบสังคมของประเทศอื่น การบังคับให้ทุกประเทศในโลกทำตามแบบแผนที่สหรัฐ อังกฤษ และฝรั่งเศสวางไว้นั้นจะไม่เป็นผล[74] เติ้งได้สนับสนุนหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ 5 ประการ โดยระบุว่าหลักการเหล่านี้ควรนำมาใช้เป็น "บรรทัดฐานนำทางในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ"[75]
การปฏิรูปและเปิดกว้าง
[แก้]ณ จุดเริ่มต้นของการปฏิรูปและเปิดดว้างของจีน เติ้งได้กำหนดหลักการสำคัญสี่ประการที่ต้องยึดถือไว้ตลอดกระบวนการ ได้แก่ (1) การนำพาของพรรคคอมมิวนิสต์ (2) เส้นทางสังคมนิยม (3) ลัทธิมากซ์ และ (4) ระบอบเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ[76] โดยรวมแล้ว การปฏิรูปดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเติ้งได้มอบหมายปัญหาเฉพาะต่าง ๆ ให้แก่บุคคลที่ตนอุปถัมภ์ เช่น หู เย่าปัง หรือจ้าว จื่อหยาง ซึ่งต่อมาทั้งสองก็ได้แก้ไขปัญหาเหล่านั้นภายใต้หลักการ "แสวงหาความจริงจากข้อเท็จจริง" หมายความว่าความถูกต้องของแนวทางใด ๆ จะต้องวัดด้วยผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ[58] เติ้งอธิบายถึงการปฏิรูปและเปิดกว้างว่าเป็น "การทดลองในระดับใหญ่" ซึ่งต้องอาศัย "การทดลองในทางปฏิบัติ" อย่างละเอียดรอบคอบ แทนที่จะอาศัยเพียงความรู้จากตำรา[77]: 65
สี่ทันสมัย
[แก้]เติ้งได้กล่าวถึงสุภาษิตโบราณที่ว่า "ไม่สำคัญว่าแมวจะสีดำหรือขาว ตราบใดที่มันจับหนูได้ มันก็คือแมวที่ดี" ประเด็นที่ต้องการจะสื่อคือวิธีการแบบทุนนิยมนั้นได้ผล[78] เติ้งได้ร่วมงานกับคณะทำงานของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจ้าว จื่อหยาง ซึ่งได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน ค.ศ. 1980 แทนฮฺว่า กั๋วเฟิง และหู เย่าปัง ซึ่งได้เข้ารับตำแหน่งประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนใน ค.ศ. 1981 เติ้งจึงได้กุมบังเหียนและเริ่มเน้นย้ำเป้าหมายในการ "พัฒนาประเทศให้ทันสมัยใน 4 ด้าน" อันได้แก่ ด้านเศรษฐกิจ การเกษตร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ เขาได้ประกาศแผนการที่ทะเยอทะยานในการเปิดประเทศและเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ[79]
ตำแหน่งอำนาจสุดท้ายที่เหลืออยู่ของฮฺว่า กั๋วเฟิง คือ ประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลาง ถูกเติ้งยึดไปใน ค.ศ. 1981 อย่างไรก็ดี ความคืบหน้าในการปรับปรุงกองทัพกลับดำเนินไปอย่างเชื่องช้า สงครามชายแดนกับเวียดนามใน ค.ศ. 1977–1979 ทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม สงครามครั้งนี้สร้างความงุนงงให้แก่ผู้สังเกตการณ์ภายนอก จาง เสี่ยวหมิงได้ให้เหตุผลว่าเติ้งมีเป้าหมายหลายประการ ได้แก่ การยับยั้งการขยายอิทธิพลของโซเวียตในภูมิภาค การขอรับการสนับสนุนจากสหรัฐเพื่อดำเนินนโยบายสี่ทันสมัย และการกระตุ้นให้ประเทศจีนเข้าสู่กระบวนการปฏิรูปและบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก เติ้งยังพยายามที่จะเสริมสร้างอำนาจการควบคุมกองทัพปลดปล่อยประชาชนของตน และแสดงให้โลกเห็นว่าประเทศจีนมีความสามารถในการทำสงครามที่แท้จริง จางเห็นว่าการลงโทษเวียดนามเนื่องจากการรุกรานกัมพูชาเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญน้อย[80] ในเหตุการณ์ดังกล่าว กองกำลังของจีนประสบความล้มเหลวอย่างมากทั้งในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ กลยุทธ์ การนำทัพ และประสิทธิภาพในการรบ[81] ต่อมาเติ้งได้ใช้ผลงานที่ย่ำแย่ของกองทัพปลดปล่อยประชาชนเป็นเครื่องมือในการเอาชนะการต่อต้านการปฏิรูปกองทัพของผู้นำทางทหาร[43]: 230
ภัยคุกคามทางทหารหลักของจีนมาจากสหภาพโซเวียต ซึ่งแม้จะมีกำลังพลน้อยกว่าแต่กลับมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าอย่างมาก เนื่องมาจากมีเทคโนโลยีอาวุธที่ก้าวหน้ากว่า ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1981 เติ้งเห็นว่าการซ้อมรบเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกองทัพปลดปล่อยประชาชน และในเดือนกันยายนปีเดียวกันก็ได้มีการจัดการซ้อมรบภาคเหนือขึ้น ซึ่งนับเป็นการซ้อมรบครั้งใหญ่ที่สุดของกองทัพปลดปล่อยประชาชนนับตั้งแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ยิ่งไปกว่านั้น เติ้งได้ริเริ่มการปรับปรุงของกองทัพปลดปล่อยประชาชนให้ทันสมัย และตัดสินใจว่าจีนจำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์พลเรือนขั้นสูงเสียก่อนจึงจะหวังสร้างอาวุธสมัยใหม่ได้ ด้วยเหตุนี่เขาจึงมุ่งเน้นไปที่การลดขนาดกองทัพโดยการปลดทหารจำนวน 1 ล้านนายใน ค.ศ. 1985 (百万大裁军; ไป่ว่านต้าไฉ่-จฺวิน)[82] รวมถึงการปลดเหล่านายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่มีอายุมากและมีความประพฤติมิชอบ ตลอดจนพวกพ้องของบุคคลเหล่านั้น เขาเน้นย้ำถึงการสรรหาชายหนุ่มที่มีการศึกษาดีกว่ามาก ซึ่งจะสามารถควบคุมเทคโนโลยีขั้นสูงได้เมื่อเทคโนโลยีนั้นพร้อมใช้งาน แทนที่จะละเลยให้มีการอุปถัมภ์และการทุจริตในหมู่นายทหาร เขากลับบังคับใช้ระเบียบวินัยที่เข้มงวดในทุกระดับชั้น ใน ค.ศ. 1982 เขาได้จัดตั้งคณะกรรมการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศขึ้นใหม่ เพื่อวางแผนการนำเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นในภาคพลเรือนมาประยุกต์ใช้[83][84]
สามขั้นตอนสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ
[แก้]ใน ค.ศ. 1986 เติ้งได้ให้สัมภาษณ์กับไมก์ วอลเลซ ในรายการ 60 Minutes โดยอธิบายว่าการที่ประชาชนบางกลุ่มและบางภูมิภาคจะเจริญรุ่งเรืองก่อนนั้น จะเป็นการเร่งให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันได้เร็วขึ้น[85] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1987 ในการประชุมสมัยสามัญเต็มคณะของสภาประชาชนแห่งชาติ เติ้งได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางอีกวาระหนึ่ง แต่ได้ลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาส่วนกลาง และเฉิน ยฺหวินก็ได้เข้ารับตำแหน่งแทน เติ้งยังคงทำหน้าที่เป็นประธานและพัฒนาการปฏิรูปและเปิดกว้างเป็นนโยบายหลัก และได้เสนอสามขั้นตอนที่เหมาะสมสำหรับยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของจีนภายใน 70 ปี ขั้นตอนแรกคือการเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ให้เป็นสองเท่าของ ค.ศ. 1980 และทำให้ประชาชนมีอาหารและเสื้อผ้าเพียงพอ ซึ่งบรรลุเป้าหมายภายในสิ้นคริสต์ทศวรรษ 1980 ขั้นตอนที่สองคือการเพิ่ม GDP เป็นสี่เท่าของ ค.ศ. 1980 ภายในสิ้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งบรรลุเป้าหมายใน ค.ศ. 1995 ขั้นตอนที่สามคือการเพิ่ม GDP ต่อหัวให้เท่ากับระดับประเทศที่มีการพัฒนาปานกลางภายใน ค.ศ. 2050 เมื่อถึงจุดนั้น ประชาชนจีนจะค่อนข้างมีความเป็นอยู่ที่ดี และการพัฒนาให้ทันสมัยจะบรรลุเป้าหมายอย่างแท้จริง[86]
การปฏิรูปอื่น ๆ
[แก้]การปรับปรุงความสัมพันธ์กับต่างประเทศเป็นหนึ่งในปรัชญาสำคัญสองประการที่ระบุไว้ในโครงการปฏิรูปของเติ้งซึ่งเรียกว่า "ไก่เก๋อไคฟ่าง" (แปลตรงตัว การปฏิรูปและเปิดกว้าง) ภายใต้การนำของเติ้ง ระบบภายในประเทศของจีนไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม การเมือง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเศรษฐกิจ ล้วนประสบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เป้าหมายของการปฏิรูปของเติ้งสามารถสรุปได้ด้วยนโยบาย "สี่ทันสมัย" อันได้แก่ ด้านการเกษตร อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการทหาร
กลยุทธ์ในการบรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศอุตสาหกรรมสมัยใหม่คือ เศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยม เติ้งได้ให้เหตุผลว่าจีนอยู่ในระยะเริ่มแรกของสังคมนิยม และหน้าที่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนคือการพัฒนา "สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน" ให้สมบูรณ์แบบ[87][37] และ "แสวงหาความจริงจากข้อเท็จจริง" (สิ่งนี้คล้ายคลึงกับหลักการทางทฤษฎีของเลนินที่ใช้สนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (NEP) ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1920 ซึ่งให้เหตุผลว่าสหภาพโซเวียตยังไม่ได้เข้าสู่ระยะทุนนิยมอย่างเต็มที่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการนำระบบทุนนิยมมาใช้ในวงจำกัดเพื่อพัฒนากระบวนการผลิตให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น) "สังคมนิยมอัตลักษณ์จีน" ได้วางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการดำเนินนโยบายชาติพันธุ์อย่างไม่เป็นพิษภัย และสร้างวิธีการทางทฤษฎีเกี่ยวกับชาติพันธุ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ[88]
นโยบายเศรษฐกิจของเติ้งให้ความสำคัญในการพัฒนากำลังการผลิตของจีน[89] ตามมุมมองของเติ้ง การพัฒนานี้ "เป็นการปฏิวัติที่สำคัญที่สุดเมื่อพิจารณาจากมุมมองของการพัฒนาทางประวัติศาสตร์" และ "สังคมนิยมที่ยากจน" นั้นไม่ใช่สังคมนิยม[89] เหตุผลทางทฤษฎีของเขาในการยอมให้กลไกตลาดเกิดขึ้นก็คือ:
สัดส่วนระหว่างการวางแผนและกลไกตลาดไม่ใช่ปัจจัยแตกต่างที่สำคัญระหว่างระบอบสังคมนิยมและทุนนิยม ระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนไม่เทียบเท่ากับสังคมนิยม เพราะภายใต้ระบบทุนนิยมก็มีการวางแผนเช่นกัน ระบบเศรษฐกิจตลาดก็ไม่ได้เทียบเท่ากับทุนนิยม เพราะภายใต้สังคมนิยมก็มีตลาดเช่นกัน การวางแผนและกลไกตลาดล้วนเป็นเครื่องมือในการควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น แก่นแท้ของสังคมนิยมคือการปลดปล่อยและพัฒนาขุมกำลังการผลิต การขจัดการเอารัดเอาเปรียบและความเหลื่อมล้ำ และการบรรลุความมั่งคั่งให้แก่ประชาชนทุกคนในที่สุด แนวคิดนี้จะต้องถูกอธิบายให้ประชาชนเข้าใจอย่างชัดเจน[90]
แตกต่างจากฮฺว่า กั๋วเฟิง เติ้งเชื่อมั่นว่าไม่ควรปฏิเสธนโยบายใด ๆ เพียงเพราะนโยบายนั้นไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับเหมา และแตกต่างจากผู้นำสายอนุรักษ์นิยมอย่างเช่นเฉิน ยฺหวิน เติ้งไม่ได้คัดค้านนโยบายใด ๆ ด้วยเหตุผลที่ว่านโยบายเหล่านั้นมีความคล้ายกับนโยบายที่พบในประเทศทุนนิยม
ความยืดหยุ่นทางการเมืองที่มีต่อรากฐานของลัทธิสังคมนิยมได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากคำกล่าวเช่น:
เราไม่ควรกลัวที่จะนำวิธีบริหารจัดการที่ก้าวหน้าที่ใช้ในประเทศทุนนิยมมาปรับใช้ ... แก่นแท้ของสังคมนิยมคือการปลดปล่อยและพัฒนาขีดความสามารถในการผลิต ... สังคมนิยมและเศรษฐกิจตลาดนั้นไม่ขัดแย้งกัน ... เราควรคำนึงถึงความเบี่ยงเบนของฝ่ายขวา แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องคำนึงถึงความเบี่ยงเบนของฝ่ายซ้ายด้วย[91][ต้องการเลขหน้า]
แม้ว่าเติ้งจะเป็นผู้วางรากฐานทางทฤษฎีและให้การสนับสนุนทางการเมืองเพื่อให้การปฏิรูปเศรษฐกิจเกิดขึ้นได้ แต่ความเห็นทั่วไปของนักประวัติศาสตร์คือ การปฏิรูปเศรษฐกิจหลายอย่างที่เติ้งนำเสนอนั้นไม่ได้เป็นต้นคิดโดยเติ้งเอง ตัวอย่างเช่น นายกรัฐมนตรีโจว เอินไหลได้ริเริ่มโครงการสี่ทันสมัยก่อนเติ้งหลายปี นอกจากนี้ ผู้นำท้องถิ่นหลายคนได้นำเสนอการปฏิรูปหลายอย่าง ซึ่งมักไม่ได้รับการอนุมัติจากคำสั่งของรัฐบาลกลาง หากการปฏิรูปเหล่านั้นประสบความสำเร็จและมีความน่าสนใจ ก็จะถูกนำไปใช้ในพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และในที่สุดก็ถูกนำมาใช้ทั่วประเทศ ตัวอย่างที่มักถูกอ้างถึงคือระบบรับผิดชอบครัวเรือน ซึ่งครั้งแรกได้ถูกนำมาใช้อย่างลับ ๆ โดยหมู่บ้านชนบทที่ยากจน โดยมีความเสี่ยงที่จะถูกตัดสินว่าเป็นการ "ต่อต้านปฏิวัติ" การทดลองนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก[92] เติ้งให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผยและต่อมาก็ได้นำมาใช้ทั่วประเทศ การปฏิรูปอื่น ๆ อีกหลายอย่างยังได้รับอิทธิพลจากประสบการณ์ของเสือแห่งเอเชียตะวันออก[93]
สิ่งนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากรูปแบบการปฏิรูป (เปเรสตรอยคา) ที่มีฮาอิล กอร์บาชอฟดำเนินการ ซึ่งการปฏิรูปที่สำคัญส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดมาจากกอร์บาชอฟเอง ในทางตรงกันข้าม แนวทางปฏิรูป "จากล่างขึ้นบน" ของเติ้ง เมื่อเปรียบเทียบกับแนวทาง "จากบนลงล่าง" ของเปเรสตรอยคา น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การปฏิรูปของเติ้งประสบความสำเร็จมากกว่า[94][ต้องการเลขหน้า]
การปฏิรูปของเติ้งได้นำระบบการวางแผนและบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาคแบบวางแผนและรวมศูนย์โดยข้าราชการที่มีความเชี่ยวชาญทางเทคนิคมาใช้ แทนที่แนวทางการสร้างเศรษฐกิจแบบรณรงค์มวลชนของเหมา อย่างไรก็ตาม การบริหารจัดการนั้นเป็นไปโดยอ้อมผ่านกลไกตลาด ซึ่งต่างจากแบบของโซเวียต เติ้งได้สืบทอดมรดกของเหมาโดยการให้ความสำคัญต่อผลผลิตทางการเกษตร และส่งเสริมการกระจายอำนาจตัดสินใจไปยังกลุ่มเศรษฐกิจในชนบทและครัวเรือนเกษตรกรรายย่อยอย่างมีนัยสำคัญ ในระดับท้องถิ่นได้มีการใช้แรงจูงใจทางวัตถุแทนที่จะเป็นการปลุกระดมทางการเมืองเพื่อกระตุ้นแรงงาน ซึ่งรวมถึงการอนุญาตให้ชาวนามีรายได้เพิ่มเติมจากการจำหน่ายผลผลิตจากที่ดินส่วนตัวในราคาตลาดเสรี
เน้นการส่งออก
[แก้]ในการปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบการจัดสรรทรัพยากรโดยตลาด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและมณฑลได้รับอนุญาตให้ลงทุนในอุตสาหกรรมที่เห็นว่าให้ผลกำไรสูงสุด ซึ่งส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเบา ด้วยเหตุนี้การปฏิรูปของเติ้งจึงได้เปลี่ยนกลยุทธ์การพัฒนาของจีนให้เน้นไปที่อุตสาหกรรมเบาและการส่งออกเป็นหลัก ผลผลิตอุตสาหกรรมเบาเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่มีฐานทุนต่ำ ด้วยระยะเวลาการลงทุนที่สั้น จำนวนเงินลงทุนเริ่มต้นที่ต่ำ และรายได้จากการส่งออกที่สูงในสกุลเงินต่างประเทศ รายได้ที่เกิดจากอุตสาหกรรมการผลิตเบาจึงสามารถนำกลับมาลงทุนซ้ำในกระบวนการผลิตที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น รวมไปถึงการลงทุนในทรัพย์สินถาวรและการลงทุนอื่น ๆ[ต้องการอ้างอิง]
ทว่าการลงทุนเหล่านี้ไม่ได้เป็นการบังคับโดยรัฐบาล ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการปฏิรูปในทำนองเดียวกันแต่ประสบความสำเร็จน้อยกว่าอย่างมากในสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย และสาธารณรัฐประชาชนฮังการี ทุนที่ลงทุนในอุตสาหกรรมหนักส่วนใหญ่มาจากระบบธนาคาร และทุนส่วนใหญ่ดังกล่าวนั้นมาจากเงินฝากของผู้บริโภค หนึ่งในมาตรการปฏิรูปเบื้องต้นของเติ้งคือ การป้องกันการโอนย้ายผลกำไร ยกเว้นผ่านระบบภาษีอากรหรือระบบธนาคาร ดังนั้นการโอนย้ายผลกำไรในรัฐวิสาหกิจจึงเป็นไปโดยอ้อม ทำให้รัฐวิสาหกิจเหล่านี้มีความเป็นอิสระจากการแทรกแซงของรัฐบาลในระดับหนึ่ง โดยสรุป การปฏิรูปของเติ้งได้จุดชนวนให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศจีน[95]
การปฏิรูปเหล่านี้ถือเป็นการพลิกกลับนโยบายพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจของลัทธิเหมา ประเทศจีนได้ตัดสินใจเร่งกระบวนการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยโดยเพิ่มปริมาณการค้าต่างประเทศอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะการนำเข้าเครื่องจักรจากประเทศญี่ปุ่นและประเทศตะวันตก ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1978 เติ้งได้เดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกเพื่อแลกเปลี่ยนหนังสือรับรองการลงนาม "สนธิสัญญาสันติภาพและมิตรภาพระหว่างประเทศญี่ปุ่นและสาธารณรัฐประชาชนจีน" และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากนายกรัฐมนตรีทาเกโอะ ฟูกูดะ และบุคคลสำคัญอื่น ๆ เติ้งเป็นเพียงรองนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาที่เขาพบปะกับเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่น แต่รัฐบาลญี่ปุ่นยอมรับเขาในฐานะผู้นำสูงสุดที่มีอำนาจอย่างแท้จริงของจีน เนื่องจากประวัติอันยาวนานในการเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนของเขา เติ้งถือเป็นผู้นำจีนคนแรกที่ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิโชวะแห่งญี่ปุ่น ข่าวจากสถานีโทรทัศน์ NHK ของญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1978 รายงานว่าเติ้งได้กล่าวด้วยถ้อยคำอันสุภาพว่า "เราได้พูดคุยกันถึงอดีตที่ผ่านมา แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าประทับใจเป็นอย่างยิ่งคือ พระราชประสงค์ของพระองค์ในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า" คำกล่าวของเติ้งชี้ให้เห็นถึงยุคใหม่แห่งการปฏิรูปการเมืองของจีนผ่านทางการทูตเศรษฐกิจระหว่างประเทศ[96]
สนธิสัญญาสันติภาพและมิตรภาพระหว่างญี่ปุ่นและสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นพันธสัญญาที่ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ระหว่างทั้งสองประเทศมาจนถึงปัจจุบัน มาตรา 1 ของสนธิสัญญาได้กำหนดหลักการแห่งการเคารพซึ่งกันและกันในอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน การไม่รุกรานซึ่งกันและกัน และการไม่แทรกแซงกิจการภายในของกันและกัน มาตรา 2 กำหนดหลักการต่อต้านการครอบงำ (หรืออาจใช้ว่า "ต่อต้านการผูกขาดอำนาจ") มาตรา 3 กล่าวถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างทั้งสองประเทศให้ดียิ่งขึ้น และมาตรา 4 อธิบายถึงความสัมพันธ์ของสนธิสัญญานี้กับประเทศที่สาม แม้การเจรจาสันติภาพนี้จะใช้เวลานานถึง 6 ปีนับตั้งแต่การฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูต เนื่องจากประเด็นข้อความ "ต่อต้านการครอบงำ" และ "ประเทศที่สาม" ถือเป็นประเด็นที่ขัดแย้งกันมากที่สุด แต่ข้อตกลงดังกล่าวยังคงมีอิทธิพลอย่างมากต่อความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นในปัจจุบัน[97] ด้วยการเข้าร่วมในกระบวนการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก ทำให้จีนสามารถเร่งรัดการปฏิรูปสี่ทันสมัยได้สำเร็จ โดยได้รับเม็ดเงินทุนจากต่างประเทศ ตลาดต่างประเทศ เทคโนโลยีขั้นสูง และประสบการณ์การบริหารจัดการที่ทันสมัย ซึ่งส่งผลให้การพัฒนาเศรษฐกิจของจีนมีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา เติ้งได้ดึงดูดบริษัทต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษหลายแห่ง ซึ่งส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ[98][99]
การปฏิรูปดังกล่าวมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของแรงงาน โดยได้มีการนำมาตรการจูงใจด้านวัตถุและระบบโบนัสรูปแบบใหม่มาใช้ ตลาดในชนบทที่จำหน่ายผลผลิตจากไร่นาของเกษตรกรและสินค้าส่วนเกินจากชุมชนก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง ตลาดในชนบทไม่เพียงแต่ส่งเสริมให้ผลผลิตทางการเกษตรเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมอีกด้วย เมื่อเกษตรกรสามารถจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรส่วนเกินในตลาดเสรีได้ การบริโภคภายในประเทศจึงกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรม และยังก่อให้เกิดการสนับสนุนทางการเมืองต่อการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ซับซ้อนขึ้น[ต้องการอ้างอิง]
มีข้อคล้ายคลึงบางประการระหว่างนโยบายสังคมนิยมตลาดของเติ้งโดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น กับนโยบายเศรษฐกิจใหม่ (NEP) ของวลาดิมีร์ เลนิน ตลอดจนนโยบายเศรษฐกิจของนีโคไล บุลกานิน ตรงที่ทั้งสองต่างมองเห็นบทบาทของผู้ประกอบการเอกชนและกลไกตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยการค้าและกลไกราคามากกว่าการวางแผนจากส่วนกลาง ดังที่นักวิชาการ คริสโตเฟอร์ มาร์ควิส และเฉียว คุน-ยฺเหวีวน ได้สังเกตไว้ว่าเติ้งเคยอยู่ในสหภาพโซเวียตในช่วงที่เลนินนำนโยบายเศรษฐกิจใหม่มาใช้ จึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะอนุมานได้ว่านโยบายนั้นอาจมีอิทธิพลต่อมุมมองของเติ้งเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะมีกลไกตลาดอยู่ภายในระบบสังคมนิยม[18]: 254 ในการพบปะครั้งแรกระหว่างเติ้งกับอาร์มานด์ แฮมเมอร์ เติ้งได้กดดันให้นักอุตสาหกรรมและนักลงทุนรายเก่าในสหภาพโซเวียตของเลนินให้ข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจใหม่โดยละเอียดที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
การคืนฮ่องกงและมาเก๊า
[แก้]ตั้งแต่ ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา เติ้งได้เป็นผู้นำในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และในแง่การเมือง เขารับหน้าที่เจรจาต่อรองกับสหราชอาณาจักรเพื่อขอคืนฮ่องกง โดยการพบปะหารือกับนางมาร์กาเรต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรในขณะนั้น นางแทตเชอร์เข้าร่วมการประชุมโดยหวังจะรักษาอำนาจการปกครองของอังกฤษเหนือเกาะฮ่องกงและเกาลูน ซึ่งเป็น 2 ใน 3 ของเขตปกครองของอาณานิคมแห่งนี้ แต่เติ้งได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้อย่างเด็ดขาด[100] ผลจากการเจรจาเหล่าดังกล่าวคือปฏิญญาร่วมระหว่างจีนกับอังกฤษ ลงนามในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1984 ปฏิญญาดังกล่าวระบุอย่างเป็นทางการว่าสหราชอาณาจักรจะต้องคืนอาณานิคมฮ่องกงทั้งหมดให้แก่จีนภายใน ค.ศ. 1997 รัฐบาลจีนได้ให้สัญญาว่าจะเคารพรักษาระบบเศรษฐกิจและเสรีภาพส่วนบุคคลของเขตปกครองพิเศษซึ่งเดิมเป็นอาณานิคมของอังกฤษเป็นระยะเวลา 50 ปีนับจากการส่งมอบอำนาจปกครอง[101][102]
ทฤษฎีหนึ่งประเทศ สองระบบของเติ้งถูกนำไปประยุกต์ใช้กับฮ่องกงและมาเก๊า และเติ้งยังมีความประสงค์ที่จะนำเสนอแนวคิดนี้ต่อประชาชนชาวไต้หวัน เพื่อเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการผนวกดินแดนไต้หวันเข้ากับประเทศจีนในอนาคต ซึ่งปัจจุบันยังคงมีข้อพิพาทเกี่ยวกับอธิปไตยเหนือดินแดนดังกล่าว[103] ใน ค.ศ. 1982 เติ้งได้อธิบายถึงแนวคิด "หนึ่งประเทศ สองระบบ" เป็นครั้งแรก โดยมีไต้หวันเป็นตัวอย่างหลักในการนำเสนอแนวคิดนี้[104]: 231
คำกล่าวของเติ้งในระหว่างการร่างกฎหมายมูลฐานแห่งฮ่องกง ค.ศ. 1987 ได้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของเขาที่มีต่อหลักการดังกล่าวในบริบทของฮ่องกง[105]: 176 ในขณะนั้น เติ้งได้ประกาศว่ารัฐบาลกลางจะไม่แทรกแซงกิจการประจำวันของฮ่องกง แต่คาดการณ์ว่าบางครั้งฮ่องกงอาจเผชิญกับปัญหาบางประการที่กระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งจำเป็นต้องให้รัฐบาลกลางเข้ามาเกี่ยวข้อง[105]: 178–179 เติ้งกล่าวว่า "หลังจากปี ค.ศ. 1997 เราจะยังคงอนุญาตให้ประชาชนในฮ่องกงวิจารณ์พรรคคอมมิวนิสต์จีนและประเทศจีนได้ในทางวาจา แต่ถ้าคำพูดเหล่านั้นถูกนำไปปฏิบัติ โดยพยายามเปลี่ยนฮ่องกงให้กลายเป็นฐานการต่อต้านจีนแผ่นดินใหญ่โดยอ้างถึง "ประชาธิปไตย" แล้ว กรณีเช่นนั้นก็ย่อมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการแทรกแซง"[106][107] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1988 เติ้งได้กล่าวไว้ว่า "ระบบการเมืองของฮ่องกงในปัจจุบันไม่ได้เป็นแบบอังกฤษหรือแบบอเมริกัน และในอนาคตก็ไม่ควรนำระบบแบบตะวันตกมาใช้"[105]: 179
การควบคุมประชากรและอาชญากรรม
[แก้]การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของจีนนำมาซึ่งปัญหาหลายประการ การสำรวจสำมะโนประชากรใน ค.ศ. 1982 ได้เปิดเผยถึงการเติบโตของประชากรอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีจำนวนเกินกว่าหนึ่งพันล้านคนแล้ว เติ้งได้ดำเนินนโยบายจำกัดการมีบุตรซึ่งเป็นนโยบายที่ฮฺว่า กั๋วเฟิงริเริ่มขึ้น โดยกำหนดให้สตรีมีบุตรได้เพียงคนเดียว หากฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษทางปกครอง[108] นโยบายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ในเขตเมือง และรวมถึงการบังคับให้ทำแท้ง[109]
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1983 เติ้งได้ประกาศเริ่ม "การรณรงค์ปราบปรามอาชญากรรมอย่างเด็ดขาด" เพื่อแก้ไขปัญหาความปลอดภัยของประชาชนที่ย่ำแย่ลงภายหลังจากการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[110][111][112] มีรายงานว่ารัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายการประหารชีวิตไว้ที่ 5,000 รายภายในกลางเดือนพฤศจิกายน และแหล่งข่าวจากไต้หวันอ้างว่ามีผู้ถูกประหารชีวิตสูงถึง 60,000 รายในช่วงเวลาดังกล่าว[113] อย่างไรก็ตาม การประมาณการล่าสุดระบุว่ามีผู้ถูกตัดสินประหารชีวิต 24,000 ราย (ส่วนใหญ่ในช่วง "การปราบปราม" ครั้งแรกของการรณรงค์)[112][114] บุคคลจำนวนหนึ่งที่ถูกจับกุม (บางรายได้รับโทษประหารชีวิต) เป็นบุตรหรือญาติของเจ้าหน้าที่รัฐในระดับต่าง ๆ รวมถึงหลานชายของจู เต๋อ แสดงให้เห็นถึงหลักการที่ว่า "ทุกคนเท่าเทียมกันต่อหน้ากฎหมาย"[111][112][115] การรณรงค์ดังกล่าวส่งผลบวกต่อความปลอดภัยสาธารณะในทันที แต่ก็ก่อให้เกิดข้อถกเถียงเกี่ยวกับความรุนแรงเกินควรของบทลงโทษทางกฎหมายบางประการ และผลกระทบระยะยาวต่อความปลอดภัยสาธารณะ[115][116]
การเพิ่มขึ้นของเสรีภาพทางเศรษฐกิจกำลังถูกแปลความหมายไปสู่เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นที่กว้างขวางขึ้น และมีนักวิจารณ์เริ่มผุดขึ้นภายในระบบ รวมถึงเว่ย์ จิงเชิง นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยชื่อดังผู้ซึ่งบัญญัติศัพท์ "การปฏิรูปที่ห้า" เพื่ออ้างถึงระบอบประชาธิปไตยซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ขาดหายไปในแผนการปฏิรูปของเติ้ง เสี่ยวผิง ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1980 ความไม่พอใจต่อระบอบอำนาจนิยมและความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นได้ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่สุดต่อความเป็นผู้นำของเติ้ง
ปราบปรามการประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน
[แก้]การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 ซึ่งจุดสุดยอดคือเหตุการณ์การสังหารหมู่ในวันที่ 4 มิถุนายน เป็นการชุมนุมประท้วงที่เกิดขึ้นในและบริเวณใกล้กับจัตุรัสเทียนอันเหมินระหว่างวันที่ 15 เมษายน ถึง 5 มิถุนายน ค.ศ. 1989 อันเป็นปีที่รัฐบาลคอมมิวนิสต์หลายประเทศล่มสลาย
การประท้วงดังกล่าวจุดชนวนจากการถึงแก่อสัญกรรมของหู เย่าปัง เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิรูปที่ได้รับการสนับสนุนจากเติ้ง แต่ถูกขับออกจากตำแหน่งโดยกลุ่มแปดผู้เฒ่าและฝ่ายอนุรักษ์นิยมภายในคณะกรมการเมือง ประชาชนจำนวนมากไม่พอใจต่อการตอบสนองที่ล่าช้าของพรรค รวมถึงพิธีศพที่จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายเกินไป ประชาชนได้เริ่มการไว้ทุกข์สาธารณะตามท้องถนนในกรุงปักกิ่งและในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในพื้นที่ใกล้เคียง ในกรุงปักกิ่ง เหตุการณ์นี้มีศูนย์กลางอยู่ที่อนุสาวรีย์วีชนในจัตุรัสเทียนอันเหมิน การไว้ทุกข์ดังกล่าวได้กลายเป็นช่องทางสาธารณะในการระบายความไม่พอใจต่อระบบอุปถัมภ์ที่รับรู้ได้ภายในรัฐบาล การปลดออกจากตำแหน่งอย่างไม่เป็นธรรม และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของหู รวมถึงบทบาทเบื้องหลังของกลุ่มผู้ทรงอำนาจรุ่นเก่า ในวันก่อนหน้าพิธีศพของหู จำนวนผู้เข้าร่วมการประท้วงในจัตุรัสเทียนอันเหมินก็ได้เพิ่มขึ้นเป็น 100,000 คน แม้การประท้วงขาดเอกภาพในการเรียกร้องหรือผู้นำ แต่ผู้เข้าร่วมประท้วงได้หยิบยกประเด็นการทุจริตภายในรัฐบาล บางส่วนได้เรียกร้องให้มีการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจ[117] และการปฏิรูปประชาธิปไตยภายในโครงสร้างรัฐบาล[117] ขณะที่บางส่วนเรียกร้องให้มีรูปแบบสังคมนิยมที่เผด็จการน้อยลงและไม่รวบอำนาจมากนัก[118][119]
ระหว่างการประท้วง จ้าว จื่อหยาง เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป็นพันธมิตรสนับสนุนนโยบายตลาดของเติ้ง ได้ให้การสนับสนุนผู้ประท้วงและแสดงท่าทีแยกตัวออกจากคณะกรมการเมือง กฎอัยการศึกถูกประกาศในวันที่ 20 พฤษภาคม โดยนายกรัฐมนตรีหลี่ เผิง ซึ่งเป็นนักการเมืองสายสังคมนิยมหัวรุนแรง แต่การรุกคืบของกองทัพในเมืองในช่วงแรกถูกขัดขวางโดยชาวเมือง การเคลื่อนไหวนี้กินเวลานานถึงเจ็ดสัปดาห์ วันที่ 3–4 มิถุนายน ทหารจำนวนกว่า 200,000 นายพร้อมด้วยรถถังและเฮลิคอปเตอร์ได้เข้ายึดเมืองเพื่อปราบปรามการประท้วงโดยใช้กำลัง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนหลายร้อยถึงหลายพันคน ประชาชนจำนวนมากในกรุงปักกิ่งเชื่อว่าเติ้งเป็นผู้สั่งการ แต่บรรดานักวิเคราะห์การเมืองยังไม่สามารถระบุได้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งดังกล่าวเป็นใคร[120][ต้องการเลขหน้า] อย่างไรก็ตาม บุตรีของเติ้งได้ออกมาปกป้องการกระทำดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นการตัดสินใจร่วมกันของผู้นำพรรค[121]
เพื่อขจัดกลุ่มบุคคลที่เห็นพ้องสนับสนุนผู้ประท้วงเหตุการณ์จัตุรัสเทียนอันเหมิน พรรคคอมมิวนิสต์ได้ริเริ่มโครงการระยะเวลาหนึ่งปีครึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการขบวนการต่อต้านฝ่ายขวา กลุ่มผู้มีอาวุโส เช่น เติ้ง เฟย์ มีเป้าหมายที่จะ "ปราบปรามสมาชิกพรรคที่มีแนวโน้มเสรีนิยมแบบชนชั้นกลางอย่างเด็ดขาด" และมีการส่งเจ้าหน้าที่พรรคคอมมิวนิสต์จำนวนกว่า 30,000 นายไปปฏิบัติภารกิจดังกล่าว[122][ต้องการเลขหน้า]
จ้าวถูกควบคุมตัวไว้ในบ้านโดยกลุ่มหัวรุนแรง และเติ้งเองก็ถูกบีบให้ยอมรับเงื่อนไขบางประการของกลุ่มดังกล่าว[120][ต้องการเลขหน้า] ไม่นานนัก เขาได้ประกาศว่า "โลกจักรวรรดินิยมตะวันตกทั้งหมดวางแผนที่จะบีบบังคับให้ประเทศสังคมนิยมทุกประเทศละทิ้งแนวทางสังคมนิยม และจากนั้นให้นำประเทศเหล่านั้นเข้าสู่การผูกขาดของทุนนิยมระหว่างประเทศ และเดินบนเส้นทางทุนนิยม" หลายเดือนต่อมาเขาได้กล่าวว่า "สหรัฐมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง" ในการเคลื่อนไหวของนักศึกษา โดยอ้างถึงบรรดานักข่าวต่างชาติที่ได้ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่นักศึกษาแกนนำ และต่อมาได้ช่วยเหลือนักศึกษาเหล่านั้นหลบหนีไปยังประเทศตะวันตกหลายประเทศ โดยส่วนใหญ่ไปยังสหรัฐผ่านฮ่องกงและไต้หวัน[120][ต้องการเลขหน้า]
แม้ว่าในเบื้องต้นเติ้งจะยอมผ่อนปรนให้แก่กลุ่มผู้สนับสนุนสังคมนิยมหัวรุนแรง แต่ไม่นานหลังจากการเดินทางเยือนภาคใต้ใน ค.ศ. 1992 เขาก็ได้กลับมาดำเนินการปฏิรูปอีกครั้ง หลังจากการเยือนครั้งนั้น เขาสามารถยุติการโจมตีการปฏิรูปของกลุ่มสังคมนิยมหัวรุนแรงผ่านการรณรงค์ "ตั้งชื่อว่าทุนนิยมหรือสังคมนิยม" ได้สำเร็จ[123][ต้องการเลขหน้า] เติ้งได้กล่าวเป็นการส่วนตัวกับพีเอร์ ทรูโด อดีตนายกรัฐมนตรีแคนาดา ว่ากลุ่มต่าง ๆ ภายในพรรคคอมมิวนิสต์นั้นสามารถยึดหน่วยทหารได้ และประเทศก็เสี่ยงจะเกิดสงครามกลางเมือง[122][ต้องการเลขหน้า] สองปีต่อมา เติ้งได้สนับสนุนให้จู หรงจี้ นายกเทศมนตรีเซี่ยงไฮ้ขึ้นดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี จูได้ปฏิเสธที่จะประกาศกฎอัยการศึกในเซี่ยงไฮ้ในระหว่างการประท้วง แม้ว่ากลุ่มผู้สนับสนุนสังคมนิยมหัวรุนแรงจะกดดันเขาแล้วก็ตาม[120][ต้องการเลขหน้า]
การเกษียณและเยือนภาคใต้
[แก้]เติ้งตัดสินใจเกษียณอายุจากตำแหน่งสูงสุดอย่างเป็นทางการ เมื่อเขาได้ลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1989 และเจียง เจ๋อหมิน ผู้สืบทอดตำแหน่งของเขาก็ได้เข้ารับตำแหน่งแทนและเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ[124][125] อย่างไรก็ตาม จีนยังคงอยู่ในยุคสมัยของเติ้ง เสี่ยวผิง เขายังคงได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นผู้นำทางพฤตินัยของประเทศ ถึงแม้จะไม่มีตำแหน่งทางการใด ๆ นอกเหนือจากประธานสมาคมไพ่บริดจ์แห่งประเทศจีน และเชื่อกันว่าเขามีอำนาจควบคุมอยู่เบื้องหลัง[126] ทั้งนี้เขาได้แต่งตั้งหู จิ่นเทาให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของเจียงในการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคครั้งที่ 14 ใน ค.ศ. 1992 เติ้งได้รับการยกย่องอย่างเป็นทางการว่าเป็น "สถาปนิกผู้นำการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมนิยมสมัยใหม่ของจีน" สำหรับพรรค เชื่อกันว่าเขาเป็นแบบอย่างที่ดีแก่แกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ที่ปฏิเสธที่จะเกษียณอายุเมื่อถึงวัย เขาได้ทำลายธรรมเนียมปฏิบัติเดิมที่ยึดถือการดำรงตำแหน่งตลอดชีวิต เขามักถูกเรียกขานสั้น ๆ ว่า "สหายเสี่ยวผิง" โดยปราศจากตำแหน่งใด ๆ ต่อท้าย
การประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ค.ศ. 1989 ส่งผลให้อำนาจของเติ้งอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ และภายในพรรคก็ได้เกิดกลุ่มอนุรักษ์นิยมขึ้นมาต่อต้านการปฏิรูปของเติ้งอย่างแข็งขัน เพื่อย้ำนโยบายทางเศรษฐกิจของตนอีกครั้ง ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1992 เติ้งได้เดินทางเยือนภาคใต้ของจีน โดยได้เยือนเมืองกว่างโจว เชินเจิ้น จูไห่ และใช้เวลาช่วงเทศกาลตรุษจีนที่เซี่ยงไฮ้ การเดินทางครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นย้ำนโยบายเศรษฐกิจของตนหลังจากเกษียณอายุไปแล้ว[127][128] เขากล่าวว่า "คนบางกลุ่มได้ให้ร้ายต่อระบบสังคมนิยมของเราว่าเป็นระบบของราชวงศ์ฉิน ซึ่งเป็นการกล่าวหาที่น่ารำคาญยิ่งนัก! ระบบของเราไม่ได้เป็นเผด็จการ แต่เป็นประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ ในช่วงที่ประธานเหมาเป็นผู้นำก็ไม่ได้เป็นแบบราชวงศ์ฉิน แต่เป็นประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์เช่นกัน หากจะเปรียบเทียบแล้ว ระบบของเรานั้นน่าจะใกล้เคียงกับระบบของฝรั่งเศสมากกว่า"[129] การเยือนภาคใต้ใน ค.ศ. 1992 ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของจีน เพราะได้ช่วยรักษาการปฏิรูปเศรษฐกิจของจีนไว้ และยังคงไว้ซึ่งความมั่นคงของสังคม[130][131][132][133][134] สุขภาพของเติ้งเสื่อมลงอย่างรวดเร็วหลังปี ค.ศ. 1994 ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1995 บุตรีของเติ้งได้ให้เปิดเผยแก่สื่อมวลชนว่า "เมื่อปีที่แล้ว ท่านสามารถเดินได้นาน 30 นาทีวันละ 2 ครั้ง แต่ปัจจุบันไม่สามารถเดินได้แล้ว ... ท่านต้องอาศัยคนช่วยพยุงสองคน"[135] ยังมีรายงานอีกว่าในปีเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคพาร์คินสันถูกส่งตัวไปยังปักกิ่งเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เขา[136]
อสัญกรรม
[แก้]เติ้งถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1997 เวลา 21.08 น. ตามเวลาปักกิ่ง สิริอายุ 92 ปี จากการติดเชื้อในปอดและโรคพาร์คินสัน[137][138] ประชาชนส่วนใหญ่มีความพร้อมรับกับการอสัญกรรมของเขา เนื่องจากมีข่าวลือว่าสุขภาพของเขากำลังย่ำแย่ลง เวลา 10:00 น. ของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ นายกรัฐมนตรีหลี่ เผิง ได้ขอให้ประชาชนร่วมกันยืนสงบนิ่งเพื่อแสดงความอาลัยเป็นเวลา 3 นาที ธงชาติของประเทศถูกลดครึ่งเสาเป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ พิธีศพซึ่งถ่ายทอดสดไปทั่วประเทศ เป็นพิธีที่เรียบง่ายและค่อนข้างเป็นส่วนตัว มีเพียงผู้นำระดับสูงของประเทศและครอบครัวของเติ้งเท่านั้นที่เข้าร่วม และได้มีการถ่ายทอดสดผ่านช่องสัญญาณเคเบิลทุกช่อง ภายหลังพิธีศพ อวัยวะของเขาได้ถูกบริจาคเพื่อการวิจัยทางการแพทย์ ส่วนร่างกายที่เหลือได้ถูกนำไปฌาปนกิจ ณ สุสานปฏิวัติปาเป่าชาน และอัฐิของเขาได้ถูกโปรยลงสู่ทะเลตามความประสงค์สุดท้าย ตลอดสองสัปดาห์ถัดมา สื่อของรัฐบาลจีนได้เผยแพร่ข่าวและสารคดีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและการอสัญกรรมของเติ้ง โดยรายการข่าวแห่งชาติเวลา 19:00 น. ซึ่งเป็นรายการข่าวภาคค่ำประจำวัน ได้ขยายเวลาออกอากาศไปเกือบสองชั่วโมงจากเวลาออกอากาศปกติ[ต้องการอ้างอิง]
เจียง เจ๋อหมิน ผู้สืบทอดตำแหน่งของเติ้งยังคงดำเนินนโยบายตามแนวทางปรัชญาทางการเมืองและเศรษฐกิจของเติ้ง เติ้งได้รับการยกย่องว่าเป็น "มาร์กซิสต์ผู้ยิ่งใหญ่ นักปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพผู้ยิ่งใหญ่ รัฐบุรุษ นักยุทธศาสตร์การทหาร และนักการทูต หนึ่งในผู้นำหลักของพรรคคอมมิวนิสต์จีน กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน และสาธารณรัฐประชาชนจีน สถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่แห่งการเปิดประเทศแบบสังคมนิยมและการปฏิรูปประเทศจีนให้ทันสมัย และผู้ริเริ่มทฤษฎีเติ้ง เสี่ยวผิง"[139] อย่างไรก็ตาม กลุ่มบุคคลบางกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มลัทธิเหมาสมัยใหม่และนักปฏิรูปหัวรุนแรง (ทั้งฝ่ายซ้ายจัดและขวาจัด) นั้นมีมุมมองต่อเขาในแง่ลบ ปีต่อมา บทเพลงอย่าง "ชุนเทียนเตอะกู้ชื่อ" (นิทานฤดูใบไม้ผลิ) ที่ขับร้องโดยต่ง เหวิน-หฺวา ซึ่งประพันธ์ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เติ้งหลังจากการเดินทางเยือนภาคใต้ของเขาใน ค.ศ. 1992 ก็กลับมาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอีกครั้ง[ต้องการอ้างอิง]
การถึงแก่อสัญกรรมของเติ้งได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาในระดับนานาชาติ โคฟี แอนนัน เลขาธิการสหประชาชาติ กล่าวว่า "เติ้งควรได้รับการจดจำในประชาคมโลกว่าเป็นสถาปนิกในการปฏิรูปและพัฒนาเศรษฐกิจของจีนให้ก้าวกระโดด" ประธานาธิบดีฌัก ชีรัก แห่งฝรั่งเศส กล่าวว่า "ในศตวรรษนี้มีชายเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถนำชุมชนมนุษย์ขนาดใหญ่ผ่านการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งและกำหนดชะตาชีวิตได้มากเท่ากับเติ้ง" นายกรัฐมนตรีจอห์น เมเจอร์ แห่งสหราชอาณาจักร ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับบทบาทสำคัญของเติ้งในการส่งมอบฮ่องกงกลับคืนสู่การปกครองของจีน นายกรัฐมนตรีฌ็อง เครเตียง แห่งแคนาดา เรียกเติ้งว่าเป็น "บุคคลสำคัญ" ในประวัติศาสตร์จีน ประธานพรรคก๊กมินตั๋งแห่งไต้หวันได้ส่งคำแสดงความเสียใจพร้อมระบุว่าปรารถนาที่จะเห็นสันติภาพ ความร่วมมือ และความเจริญรุ่งเรือง องค์ทะไลลามะได้แสดงความเสียใจที่เติ้งอสัญกรรมไปโดยไม่ได้แก้ไขปัญหาเกี่ยวกับทิเบต[140]
มรดก
[แก้]วิสัยทัศน์ของเติ้งที่ว่า "การพัฒนาเป็นหลักการสำคัญยิ่ง" ยังคงเป็นแนวทางในการบริหารประเทศของจีนต่อไป[141]: 49 ในการประชุมสมัยสามัญครั้งที่ 4 ของคณะกรรมาธิการกลางพรรคชุดที่ 13 เจียง เจ๋อหมินและคณะผู้นำรุ่นที่สามได้ประกาศว่า "การพัฒนาเป็นเป้าหมายสูงสุดของพรรคในการบริหารประเทศและฟื้นฟูชาติ"[141]: 49 ในทำนองเดียวกัน การที่เติ้งให้ความสำคัญสูงสุดกับการพัฒนานั้นได้มีอิทธิพลต่อมุมมองทางวิทยาศาสตร์ต่อการพัฒนาของหู จิ่นเทา และฝันจีนของสี จิ้นผิง ซึ่งเน้นย้ำให้การพัฒนาเป็นภารกิจหลักของประเทศจีน[141]: 49
อนุสรณ์
[แก้]อนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เติ้งมักมีรูปแบบเรียบง่ายและไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับผู้นำคนอื่น ๆ ซึ่งสอดคล้องกับภาพลักษณ์ความเรียบง่ายและเน้นการปฏิบัติจริงของเติ้ง แทนที่จะถูกเก็บรักษาศพไว้ในโลงแก้วเช่นเดียวกับเหมา เขาได้เลือกที่จะฌาปนกิจ และให้โปรยอัฐิลงสู่ทะเล อย่างไรก็ตาม ยังคงมีการจัดแสดงสิ่งของส่วนตัวของเขาเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่สาธารณชน ในวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 ได้มีพิธีเปิดอนุสาวรีย์สำริด ณ ลานสวนสาธารณะเหลียนฮฺวาชานในเชินเจิ้น เพื่อเป็นเกียรติแก่บทบาทของเติ้งในฐานะผู้ออกแบบและผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเชินเจิ้น อนุสาวรีย์มีความสูง 6 เมตร (20 ฟุต) พร้อมฐานสูงอีก 3.68 เมตร แสดงให้เห็นถึงเติ้งที่กำลังก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ ผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีนจำนวนมากได้เดินทางมาเยือนอนุสาวรีย์แห่งนี้ นอกจากนี้ ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลและบนเกาะไหหลำ เติ้งยังปรากฏตัวอยู่บนป้ายโฆษณาริมทางพร้อมด้วยข้อความที่เน้นย้ำถึงการปฏิรูปเศรษฐกิจหรือนโยบายหนึ่งประเทศ สองระบบของเขา.
วันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 2004 ได้มีการจัดพิธีเปิดอนุสาวรีย์สำริดเพื่อฉลองครบรอบ 100 ปีชาตกาลของเติ้ง ณ เมืองกว่างอาน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเติ้งในมณฑลเสฉวน ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน แสดงให้เห็นถึงเติ้งที่แต่งกายแบบสบายกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้และมีสีหน้ายิ้มแย้ม อักษรจีนที่จารึกไว้บนฐานนั้น เป็นลายมือของเจียง เจ๋อหมิน เลขาธิการคณะกรรมาธิการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และประธานคณะกรรมการการทหารส่วนกลางในขณะนั้น[142]
บ้านเกิดของเติ้ง เสี่ยวผิงในหมู่บ้านไผฝาง มณฑลเสฉวน ได้รับการอนุรักษ์ไว้ในเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ใน
กรุงบิชเคก เมืองหลวงของประเทศคีร์กีซสถาน มีถนนขนาดสี่ช่องจราจรกว้าง 25 เมตร (82 ฟุต) ยาว 3.5 กิโลเมตร (2 ไมล์) ชื่อว่าถนนเติ้ง เสี่ยวผิง ซึ่งได้เปิดใช้งานในวันที่ 18 มิถุนายน ค.ศ. 1997 อนุสาวรีย์หินแกรนิตสีแดงสูง 2 เมตรตั้งอยู่ทางปลายด้านตะวันออกของถนนสายนี้ คำจารึกเขียนเป็นภาษาจีน รัสเซีย และคีร์กีซ[143][144]
ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง "เติ้ง เสี่ยวผิง" ซึ่งสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีน (CCTV) ได้เผยแพร่ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1997 นั้นได้นำเสนอประวัติชีวิตของเติ้งตั้งแต่สมัยที่เป็นนักศึกษาในประเทศฝรั่งเศสจนถึงการเดินทางเยือนภาคใต้ใน ค.ศ. 1992[145] ใน ค.ศ. 2014 CCTV ได้เผยแพร่ละครโทรทัศน์เรื่อง "เติ้ง เสี่ยวผิง บนจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์" (Deng Xiaoping at History's Crossroads) เพื่อเป็นการเตรียมฉลองครบรอบ 110 ปีชาตกาลของเขา
การประเมิน
[แก้]เติ้งได้รับการขนานนามว่าเป็น "สถาปนิกแห่งประเทศจีนยุคปัจจุบัน"[124][125][146][147] และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่ 20[148] เขาได้รับเลือกให้เป็นบุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ใน ค.ศ. 1978 และ 1985 นับเป็นผู้นำจีนคนที่สาม (รองจากเจียง ไคเชก และนางซ่ง เหม่ย์หลิง ภริยา) และเป็นผู้นำคอมมิวนิสต์คนที่สี่ (รองจากโจเซฟ สตาลิน ซึ่งได้รับเลือกสองครั้ง และนีกีตา ครุชชอฟ) ที่ได้รับเกียรตินี้[149]
เติ้งเป็นที่จดจำอย่างมากจากการปฏิรูปเศรษฐกิจที่เขาได้ริเริ่มในขณะที่เป็นผู้นำสูงสุดของจีน ซึ่งผลักดันจีนให้ไปสู่เศรษฐกิจตลาด ส่งผลเศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชากรหลายร้อยล้านคน[150] ขยายเสรีภาพส่วนบุคคลและวัฒนธรรม และบูรณาการประเทศเข้ากับเศรษฐกิจโลกอย่างมีนัยสำคัญ[151][152][153] ภายใต้การนำของเขา ประชากรจำนวนมากได้หลุดพ้นจากสภาวะความยากจนมากกว่าช่วงเวลาใด ๆ ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิรูปที่เขาได้ริเริ่มเป็นส่วนใหญ่[148] จากเหตุผลดังกล่าว จึงมีผู้เสนอแนะว่าเติ้งสมควรได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ[154][155][156] เติ้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ลดทอนการบูชาเหมาอย่างสุดโต่ง และเป็นผู้ยุติยุคแห่งความวุ่นวายของการปฏิวัติทางวัฒนธรรม[157] ยิ่งไปกว่านั้น การใช้อำนาจอย่างเด็ดขาดของเขายังได้รับการยกย่องว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนยังคงเป็นปึกแผ่น ต่างจากมหาอำนาจคอมมิวนิสต์อีกแห่งหนึ่งในยุคนั้นอย่างสหภาพโซเวียตที่ล่มสลายลงใน ค.ศ. 1991[158]
อย่างไรก็ตาม เติ้งยังเป็นที่จดจำในด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเหตุความรุนแรงทางการเมืองจำนวนมาก[152][159] ในฐานะผู้นำสูงสุด เขามีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งการปราบปรามประชาชนที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน และภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว เขาก็มีอิทธิพลอย่างสูงในการปกปิดเหตุการณ์นี้ภายประเทศของพรรคคอมมิวนิสต์จีน[160][161][162] ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกวาดล้างที่โหดร้ายที่สุดในช่วงที่เหมาครองอำนาจ ตัวอย่างเช่น เขาสั่งการให้กองทัพปราบปรามหมู่บ้านมุสลิมในมณฑลยูนนาน ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 1,600 คน รวมถึงเด็กอีก 300 คน[157]
ในฐานะผู้นำสูงสุด เติ้งยังได้เจรจาเพื่อยุติการปกครองแบบอาณานิคมของอังกฤษเหนือฮ่องกง และสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตให้เป็นปกติกับสหรัฐและสหภาพโซเวียต[159][163] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1980 เขาได้ริเริ่มการปฏิรูปทางการเมืองจีนโดยการกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของเจ้าหน้าที่ และเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่สามของจีนที่ร่างขึ้นในช่วงการปฏิวัติทางวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ได้นำหลักการของลัทธิรัฐธรรมนูญนิยมในแบบฉบับของจีนมาใช้ และได้รับการอนุมัติจากสภาประชาชนแห่งชาติในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1982 โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ยังคงมีผลบังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน[164][165][166][167] เขามีส่วนสำคัญในการจัดระบบการศึกษาภาคบังคับ 9 ปีของจีน[168][169] และฟื้นฟูการปฏิรูปทางการเมืองของจีน[170]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ Faison, Seth (20 February 1997). "Deng Xiaoping is Dead at 92; Architect of Modern China". The New York Times. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 January 2017. สืบค้นเมื่อ 19 April 2021.
- ↑ "Deng Xiaoping: Architect of modern China". China Daily. 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2024-06-23.
- ↑ Vogel 2011.
- ↑ "The Anti-Rightist Campaign of 1957" (PDF). May 2006. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 8 May 2019.
- ↑ Denmark, Abraham. "40 years ago, Deng Xiaoping changed China — and the world". The Washington Post. ISSN 0190-8286. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 May 2019. สืบค้นเมื่อ 19 April 2021.
- ↑ "Man of the Year: Teng Hsiao-p'ing: Visions of a New China". Time. 1 January 1979. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 April 2021. สืบค้นเมื่อ 19 April 2021.
- ↑ "Man of the Year: Deng Xiaoping". Time. 6 January 1986. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 December 2019. สืบค้นเมื่อ 19 April 2021.
- ↑ Wu, Wei (4 June 2015). "Why China's Political Reforms Failed". The Diplomat. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2023. สืบค้นเมื่อ 3 May 2020.
- ↑ Denmark, Abraham. "40 years ago, Deng Xiaoping changed China — and the world". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 May 2019. สืบค้นเมื่อ 19 April 2021.
- ↑ "The arrival of the Hakkas in Sichuan Province". Asiawind.com. 29 December 1997. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 November 2010. สืบค้นเมื่อ 13 March 2010.
- ↑ "Luodai, a Hakkanese town in Sichuan Province". GOV.cn. 14 January 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 September 2018. สืบค้นเมื่อ 14 May 2010.
- ↑ Yingcong Dai (2009). The Sichuan Frontier and Tibet: Imperial Strategy in the Early Qing. University of Washington Press. pp. 25–. ISBN 978-0-295-98952-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 November 2016. สืบค้นเมื่อ 20 July 2016.
- ↑ Yang 1997, pp. 11–12.
- ↑ "Deng Xiaoping – Childhood". China.org.cn. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 September 2018. สืบค้นเมื่อ 14 May 2010.
- ↑ "Deng Xiaoping quits smoking". UPI. 1 Apr 1991. สืบค้นเมื่อ 23 Oct 2023.
- ↑ Evans, Richard (1995). Deng Xiaoping and the Making of Modern China (2 ed.). Penguin. p. 5. ISBN 978-0-14-013945-7.
- ↑ Xia, Zhengnong (2003). 大辭海. Vol. 哲學卷. Shanghai: Shanghai Dictionary Publishing House. p. 38. ISBN 9787532612369.
- ↑ 18.0 18.1 Marquis, Christopher; Qiao, Kunyuan (2022). Mao and Markets: The Communist Roots of Chinese Enterprise. New Haven: Yale University Press. doi:10.2307/j.ctv3006z6k. ISBN 978-0-300-26883-6. JSTOR j.ctv3006z6k. OCLC 1348572572. S2CID 253067190.
- ↑ Spence, Jonathan (1999), "In Search of Modern China", 310
- ↑ Vogel (2011), p. 18–20.
- ↑ Stewart, Whitney (2001). Deng Xiaoping: Leader in a Changing China. Twenty-First Century Books. p. 23. ISBN 9780822549628.
- ↑ Mair, Victor H. (2013). Chinese Lives: The people who made a civilization. London: Thames & Hudson. p. 215. ISBN 9780500251928.
- ↑ [1] เก็บถาวร 27 พฤศจิกายน 2010 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Wang Song. "Chinese Revolutionaries in France".
- ↑ Bailey, Paul (1988). "The Chinese Work-Study Movement in France". The China Quarterly. 115 (115): 441–461. doi:10.1017/S030574100002751X. JSTOR 654865. S2CID 154375449. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2021. สืบค้นเมื่อ 19 February 2021.
- ↑ Pantsov (2015), p. 450.
- ↑ "Exiled son who saved the state". Times Higher Education. 22 March 2002. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 December 2012. สืบค้นเมื่อ 2 December 2010.
- ↑ Gao 2008
- ↑ 28.0 28.1 Yang 1997, pp. 66–67.
- ↑ Franz 1988, pp. 86–87.
- ↑ Goodman 1994, p. 34.
- ↑ 31.0 31.1 Franz 1988, p. 87.
- ↑ Deng 1968.
- ↑ Yang 1997, p. 70.
- ↑ "豫西革命纪念馆和鲁山邓小平旧居扩建工程竣工". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2022. สืบค้นเมื่อ 11 July 2022.
- ↑ "西关大街,从历史中走来". เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 July 2022. สืบค้นเมื่อ 11 July 2022.
- ↑ Cheng Li (2001). China's leaders. Rowman & Littlefield. p. 131. ISBN 9780847694976. สืบค้นเมื่อ 6 March 2016.
- ↑ 37.0 37.1 37.2 37.3 37.4 GREGOR BENTON. "Assessing Deng Xiaoping". jacobinmag.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 January 2019. สืบค้นเมื่อ 28 January 2019.
- ↑ DeMare, Brian James (2019). Land wars : the story of China's agrarian revolution. Stanford, California: Stanford University Press. pp. 117. ISBN 978-1-5036-0849-8. OCLC 1048940018.
- ↑ DeMare, Brian James (2019). Land wars : the story of China's agrarian revolution. Stanford, California: Stanford University Press. pp. 118. ISBN 978-1-5036-0849-8. OCLC 1048940018.
- ↑ 40.0 40.1 "The Man Who Re-Invented China". origins.osu.edu. 17 September 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 July 2019. สืบค้นเมื่อ 27 July 2019.
- ↑ Jacques Guillermaz, The Chinese Communist Party in Power, 1949–1976 (1976) pp. 320–331.
- ↑ Henry He (2016). Dictionary of the Political Thought of the People's Republic of China. Taylor & Francis. p. 713. ISBN 9781315500430. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 March 2021. สืบค้นเมื่อ 3 October 2019.
- ↑ 43.0 43.1 43.2 43.3 43.4 Meyskens, Covell F. (2020). Mao's Third Front: The Militarization of Cold War China. Cambridge, United Kingdom: Cambridge University Press. doi:10.1017/9781108784788. ISBN 978-1-108-78478-8. OCLC 1145096137. S2CID 218936313.
- ↑ 44.0 44.1 Minqi Li (December 2008). "Socialism, capitalism, and class struggle: The Political economy of Modern china". Economic & Political Weekly.
- ↑ Shambaugh, David (1993). "Deng Xiaoping: The Politician". The China Quarterly. 135 (135): 457–490. doi:10.1017/S0305741000013874. ISSN 0305-7410. JSTOR 654098. S2CID 154440131. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 February 2023. สืบค้นเมื่อ 23 February 2023.
- ↑ "Film makers flock to tractor factory to shoot Deng's stories". News Guandong. 26 July 2004. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 September 2018. สืบค้นเมื่อ 18 February 2011.
- ↑ 47.0 47.1 Yan, Jiaqi (1996). Kwok, Daniel W. Y. (บ.ก.). Turbulent decade : a history of the cultural revolution. Honolulu: University of Hawaii Press. doi:10.1515/9780824865313. ISBN 9780824865313. สืบค้นเมื่อ 23 February 2023.
- ↑ Wood, Michael (3 September 2020). The Story of China: A portrait of a civilisation and its people. Simon & Schuster UK. p. 341. ISBN 978-1-4711-7600-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 November 2021. สืบค้นเมื่อ 18 November 2021.
In 1973, Premier Zhou Enlai had brought Deng back to Beijing from exile to focus on reconstructing the Chinese economy.
- ↑ Dillon, Michael (27 October 2014). Deng Xiaoping: The Man who Made Modern China. Bloomsbury Publishing. p. 201. ISBN 978-0-85772-467-0. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 November 2021. สืบค้นเมื่อ 18 November 2021.
A major confrontation erupted on 4 October 1974 when Mao agreed, on the advice of Zhou Enlai, that Deng should be appointed first deputy premier of the State Council.
- ↑ 50.0 50.1 50.2 Minami, Kazushi (2024). People's Diplomacy: How Americans and Chinese Transformed US-China Relations during the Cold War. Ithaca, NY: Cornell University Press. ISBN 9781501774157.
- ↑ "Deng Rong's Memoirs: Chpt 49". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 December 2008.
- ↑ Pantsov, Alexander; Levine, Steven I. (2015). Deng Xiaoping: A Revolutionary Life. Oxford University Press. ISBN 978-0-19-939203-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 August 2020. สืบค้นเมื่อ 20 May 2021.
- ↑ "Deng Rong's Memoirs: Chapter 53". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 December 2008.
- ↑ 1975–1976 and 1977–1980, Europa Publications (2002) "The People's Republic of Chine: Introductory Survey" The Europa World Year Book 2003 volume 1, (44th edition) Europa Publications, London, p. 1075, col. 1, ISBN 1-85743-227-4; and Bo, Zhiyue (2007) China's Elite Politics: Political Transition and Power Balancing World Scientific, Hackensack, New Jersey, p. 59, ISBN 981-270-041-2
- ↑ "1977: Deng Xiaoping back in power". BBC News. 22 July 1977. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 July 2017. สืบค้นเมื่อ 21 July 2011.
- ↑ "百年老胡同米粮库中的那些名人"住客"". visitbeijing.com. Beijing Tourism Network. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 April 2023. สืบค้นเมื่อ 30 April 2023.
- ↑ ""家庭园艺师"邓小平". people.com. People's Daily. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 August 2024. สืบค้นเมื่อ 30 August 2024.
- ↑ 58.0 58.1 Ang, Yuen Yuen (2016). How China Escaped the Poverty Trap. Cornell University Press. ISBN 978-1-5017-0020-0. JSTOR 10.7591/j.ctt1zgwm1j.
- ↑ Xiang, Lanxin (20 April 2012). "Bo Xilai probe shows up China's outdated system of government". South China Morning Post
- ↑ "1989年6月1日 吴林泉、彭飞:胡耀邦同志领导平反"六十一人案"追记-胡耀邦史料信息网". www.hybsl.cn (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 January 2021. สืบค้นเมื่อ 29 April 2020.
- ↑ 61.0 61.1 61.2 61.3 61.4 Zhao, Suisheng (2023). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. p. 9. ISBN 978-1-5036-3415-2. OCLC 1332788951.
- ↑ 62.0 62.1 Zhao, Suisheng (2023). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. pp. 175–176. ISBN 978-1-5036-3088-8. OCLC 1331741429. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 March 2023. สืบค้นเมื่อ 8 January 2023.
- ↑ "MFA, Singapore Press Release". App.mfa.gov.sg. 29 December 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 March 2012. สืบค้นเมื่อ 27 November 2011.
- ↑ Lee Kuan Yew, From Third World to First: The Singapore Story, 1965–2000, Volume 2, (HarperCollins: 2000), pp. 595–603
- ↑ "United States announces that it will recognize communist China | December 15, 1978 | HISTORY". HISTORY. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 December 2023. สืบค้นเมื่อ 15 January 2024.
- ↑ 66.0 66.1 Zhao, Suisheng (2023). The Dragon Roars Back Transformational Leaders and Dynamics of Chinese Foreign Policy. Stanford: Stanford University Press. p. 56. ISBN 978-1-5036-3415-2. OCLC 1346366969.
- ↑ 67.0 67.1 Zhao, Suisheng (2023). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. pp. 9–10. ISBN 978-1-5036-3415-2. OCLC 1332788951.
- ↑ (Article 2) "The Contracting Parties declare that neither of them should seek hegemony in the Asia-Pacific region or in any other region and that each is opposed to efforts by any other country or group of countries to establish such hegemony." MOFA: Treaty of Peace and Friendship between Japan and the People's Republic of China เก็บถาวร 9 มิถุนายน 2017 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ Perkins, D in Barnett, A Doak and Ralph N Clough, Modernizing China : Post-Mao Reform and Development (Westgview Press, 1986), p 58.
- ↑ Michael E. Marti in China and the Legacy of Deng Xiaoping, (Brassy's, 2002) p. 19.
- ↑ Parks, Michael (15 May 1989). "Gorbachev in China: The Communist Summit: Deng and Gorbachev: Great Reformers Battling Socialist Crises". Los Angeles Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 July 2020. สืบค้นเมื่อ 8 March 2020.
- ↑ Zhao, Suisheng (2023). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. p. 62. ISBN 978-1-5036-3415-2. OCLC 1332788951.
- ↑ 73.0 73.1 73.2 73.3 Zhao, Suisheng (2022). The Dragon Roars Back: Transformational Leaders and Dynamics of Chinese Foreign Policy. Stanford University Press. p. 51. doi:10.1515/9781503634152. ISBN 978-1-5036-3415-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 April 2023. สืบค้นเมื่อ 1 January 2023.
- ↑ Chinese Foreign Policy Under Xi. Taylor & Francis. 2017. p. 115.
- ↑ Comparative Development of India & China Economic, Technological, Sectoral & Socio-cultural Insights. SAGE Publications. 2020. p. 372.
- ↑ Zhao, Suisheng (2023). The dragon roars back : transformational leaders and dynamics of Chinese foreign policy. Stanford, California: Stanford University Press. p. 136. ISBN 978-1-5036-3088-8. OCLC 1331741429. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 March 2023. สืบค้นเมื่อ 8 January 2023.
- ↑ Heilmann, Sebastian (2018). Red Swan: How Unorthodox Policy-Making Facilitated China's Rise. The Chinese University of Hong Kong Press. ISBN 978-962-996-827-4.
- ↑ John Naisbitt; Doris Naisbitt (2010). China's Megatrends: The 8 Pillars of a New Society. HarperBusiness. p. 4. ISBN 9780061963445.
- ↑ Mason, David (1984). "China's Four Modernizations: Blueprint for Development or Prelude to Turmoil?". Asian Affairs. 11 (3): 47–70. doi:10.1080/00927678.1984.10553699.
- ↑ Zhang, Xiaoming (2010). "Deng Xiaoping and China's Decision to go to War with Vietnam". Journal of Cold War Studies. 12 (3): 3–29. doi:10.1162/JCWS_a_00001. S2CID 57559703.
- ↑ Vogel (2011), p. 526–535.
- ↑ "Troop Cut to Save Money, Deng Says". Los Angeles Times. 6 May 1985. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 June 2020. สืบค้นเมื่อ 20 June 2020.
- ↑ Vogel (2011), p. 535–552.
- ↑ Dreyer, June Teufel (1988). "Deng Xiaoping and Modernization of the Chinese Military". Armed Forces & Society. 14 (2): 215–231. doi:10.1177/0095327X8801400203. S2CID 144391672.
- ↑ Paulson, Henry M. (2015). Dealing with China : an insider unmasks the new economic superpower (First ed.). New York. p. 21. ISBN 9781455504213.
- ↑ "The Three-Step Development Strategy". china.org.cn. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 September 2018. สืบค้นเมื่อ 28 November 2010.
- ↑ "Deng Xiaoping Is Dead at 92; Architect of Modern China". The New York Times. 20 February 1997. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 January 2017. สืบค้นเมื่อ 15 February 2017.
- ↑ "万方数据知识服务平台". d.wanfangdata.com.cn. doi:10.3969/j.issn.1004-1494.2011.05.008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 February 2021. สืบค้นเมื่อ 28 October 2020.
- ↑ 89.0 89.1 Boer, Roland (2021-10-01). "From Belgrade to Beijing : Comparing Socialist Economic Reforms in Eastern Europe and China". World Review of Political Economy. 12: 309. doi:10.13169/worlrevipoliecon.12.3.0296. ISSN 2042-8928. S2CID 247967541.
- ↑ Cited by John Gittings in The Changing Face of China, Oxford University Press, Oxford, 2005. ISBN 0-19-280612-2. Page 253.
- ↑ Cited by António Caeiro in Pela China Dentro (translated), Dom Quixote, Lisboa, 2004. ISBN 972-20-2696-8
- ↑ Dali Yang, Calamity and Reform in China, Stanford University Press, 1996
- ↑ Cited by David Shambaugh in Deng Xiaoping: portrait of a Chinese statesman, Oxford University, Oxford, 1995. ISBN 0-19-828933-2
- ↑ Cited by Susan L. Shirk in The Political Logic of Economic Reform in China, University of California, Berkeley and Los Angeles, 1993. ISBN 0-520-07706-7
- ↑ FlorCruz, Jaime (19 December 2008) "Looking back over China's last 30 years" เก็บถาวร 20 มีนาคม 2018 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน CNN
- ↑ NHK JAPAN. "鄧小平副首相 天皇皇后両陛下と会見". NHK JAPAN. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 14 March 2023. สืบค้นเมื่อ 30 May 2024.
- ↑ Lee, Chae-Jin (1979). "The Making of the Sino-Japanese Peace and Friendship Treaty". Pacific Affairs. 52 (1): 420–445. doi:10.2307/2757656. JSTOR 2757656.
- ↑ Stoltenberg, Clyde D. (1984). "China's Special Economic Zones: Their Development and Prospects". Asian Survey. 24 (6): 637–654. doi:10.2307/2644396. ISSN 0004-4687. JSTOR 2644396.
- ↑ Holmes, Frank (21 April 2017). "China's New Special Economic Zone Evokes Memories Of Shenzhen". Forbes. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 March 2019. สืบค้นเมื่อ 22 March 2019.
- ↑ Hurst, Matthew (2022). "Britain's Approach to the Negotiations over the Future of Hong Kong, 1979–1982". The International History Review. 44 (6): 1386–1401. doi:10.1080/07075332.2021.2024588. S2CID 257431054.
- ↑ Vogel, Deng Xiaoping, pp. 487–511.
- ↑ Nancy C. Jackson, "The Legal Regime of Hong Kong After 1997: An Examination of the Joint Declaration of the United Kingdom and the People's Republic of China". International Tax & Business Lawyer (1987): 377–423. Online[ลิงก์เสีย]
- ↑ Vogel, Deng Xiaoping, pp. 477–91.
- ↑ Wu, Guoyou; Ding, Xuemai (2020). Zheng, Qian (บ.ก.). An Ideological History of the Communist Party of China. Vol. 3. แปลโดย Sun, Li; Bryant, Shelly. Montreal, Quebec: Royal Collins Publishing Group. ISBN 978-1-4878-0392-6.
- ↑ 105.0 105.1 105.2 Hu, Richard (2023). Reinventing the Chinese City. New York: Columbia University Press. ISBN 978-0-231-21101-7.
- ↑ "Speech at a Meeting with the Members of The Committee for Drafting the Basic Law of the Hong Kong Special Administrative Region". china.org.cn. 16 Apr 1987. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 May 2005. สืบค้นเมื่อ 1 Jan 2024.
- ↑ "回歸25周年|重溫鄧小平與香港的那些事". 香港01 (ภาษาจีน). 2 Jul 2022. สืบค้นเมื่อ 1 Jan 2024.
- ↑ "Family Planning in China". www.china-un.ch. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 June 2018. สืบค้นเมื่อ 28 November 2019.
- ↑ Wang Feng, Yong Cai, and Baochang Gu, "Population, policy, and politics: how will history judge China's one-child policy?". Population and Development Review 38 (2013): 115–129. online เก็บถาวร 6 มิถุนายน 2019 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ "People's Daily Online -- China rejects "strike hard" anti-crime policy for more balanced approach". en.people.cn. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 October 2020. สืบค้นเมื่อ 21 June 2020.
- ↑ 111.0 111.1 "Detentions, torture, executions: how China dealt with mafia in the past". South China Morning Post. 26 January 2018. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 June 2020. สืบค้นเมื่อ 21 June 2020.
- ↑ 112.0 112.1 112.2 Tao, Ying. "1983年"严打":非常时期的非常手段". history.people.com.cn (ภาษาจีน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 June 2020. สืบค้นเมื่อ 21 June 2020.
- ↑ "In Human Rights, China Remains in the Maoist Era | the Heritage Foundation". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 May 2011. สืบค้นเมื่อ 31 January 2017.
- ↑ "Strike less hard". The Economist. 3 August 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 March 2019. สืบค้นเมื่อ 23 March 2019.
- ↑ 115.0 115.1 ""严打"政策的前世今生". criminallaw.com.cn (ภาษาจีน). 1 July 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 February 2020. สืบค้นเมื่อ 21 June 2020.
- ↑ Trevaskes, Susan (2002). "Courts on the Campaign Path in China: Criminal Court Work in the "Yanda 2001" Anti-Crime Campaign". Asian Survey. 42 (5): 673–693. doi:10.1525/as.2002.42.5.673. hdl:10072/6536. ISSN 0004-4687. JSTOR 10.1525/as.2002.42.5.673.
- ↑ 117.0 117.1 Nathan, Andrew J. (January–February 2001). "The Tiananmen Papers". Foreign Affairs. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 December 2008.
- ↑ "Voices for Tiananmen Square: Beijing Spring and the Democracy Movement". Social Anarchism. 8 February 2006. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 17 September 2018. สืบค้นเมื่อ 13 March 2010.
- ↑ Palmer, Bob (8 February 2006). Voices for Tiananmen Square: Beijing Spring and the Democracy Movement เก็บถาวร 23 มิถุนายน 2004 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Social Anarchism. 20.
- ↑ 120.0 120.1 120.2 120.3 The Politics of China By Roderick MacFarquhar
- ↑ Deng Xiaoping's daughter defends his Tiananmen Square massacre decision เก็บถาวร 14 ตุลาคม 2017 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. Taipei Times. 25 June 2007.
- ↑ 122.0 122.1 The Legacy of Tiananmen By James A. R. Miles
- ↑ Miles, James (1997). The Legacy of Tiananmen: China in Disarray. University of Michigan Press. ISBN 978-0-472-08451-7.
- ↑ 124.0 124.1 Faison, Seth (20 February 1997). "Deng Xiaoping Is Dead at 92; Architect of Modern China". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). p. A1. ISSN 0362-4331. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 January 2017. สืบค้นเมื่อ 27 July 2019.
- ↑ 125.0 125.1 Denmark, Abraham (19 December 2018). "Analysis | 40 years ago, Deng Xiaoping changed China—and the world". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 May 2019. สืบค้นเมื่อ 27 July 2019.
- ↑ How China is ruled เก็บถาวร 11 กันยายน 2017 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, BBC 2003.
- ↑ Fisher, Max (2 June 2014). "This 1989 speech is one of China's most important". Vox. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 July 2019. สืบค้นเมื่อ 27 July 2019.
- ↑ Zhao, Suisheng (1993). "Deng Xiaoping's Southern Tour: Elite Politics in Post-Tiananmen China". Asian Survey. 33 (8): 739–756. doi:10.2307/2645086. ISSN 0004-4687. JSTOR 2645086.
- ↑ "邓小平文选(第三卷)". ebook.dswxyjy.org.cn.
- ↑ "Deng Xiaoping's Southern Tour" (PDF). Berkshire Publishing Group LLC. 2009. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 17 May 2017. สืบค้นเมื่อ 1 May 2020.
- ↑ Ma, Damien (23 January 2012). "After 20 Years of 'Peaceful Evolution,' China Faces Another Historic Moment". The Atlantic (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 16 August 2019. สืบค้นเมื่อ 1 May 2020.
- ↑ "'How my father's speeches saved Chinese economic reform': Deng Xiaoping's daughter pays tribute". South China Morning Post. 21 August 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 August 2020. สืบค้นเมื่อ 1 May 2020.
- ↑ "The great pragmatist: Deng Xiaoping". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 18 December 2008. ISSN 0261-3077. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 May 2020. สืบค้นเมื่อ 1 May 2020.
- ↑ Zhao, Suisheng (1993). "Deng Xiaoping's Southern Tour: Elite Politics in Post-Tiananmen China". Asian Survey. 33 (8): 739–756. doi:10.2307/2645086. ISSN 0004-4687. JSTOR 2645086.
- ↑ "Health of China's Deng worsens". Tampa Bay Times. 14 Jan 1995. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 December 2023. สืบค้นเมื่อ 30 Nov 2023.
- ↑ "Parkinson's experts sent to help Deng". South China Morning Post. 26 Jan 1995. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 Nov 2023. สืบค้นเมื่อ 30 Nov 2023.
- ↑ Hsü, Immanuel C.Y. (2000). The Rise of Modern China (6th ed.). New York: Oxford University Press. p. 974. ISBN 9780195125047.
- ↑ "Deng Xiaoping, leader of China's economic reforms, dies". Associated Press. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 October 2021. สืบค้นเมื่อ 18 July 2021.
- ↑ CNN: China officially mourns Deng Xiaoping เก็บถาวร 19 พฤศจิกายน 2002 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน 24 February 1997
- ↑ CNN:World leaders praise Deng's economic legacy เก็บถาวร 16 สิงหาคม 2007 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน 24 February 1997
- ↑ 141.0 141.1 141.2 Meng, Wenting (2024). Developmental Piece: Theorizing China's Approach to International Peacebuilding. Ibidem. Columbia University Press. ISBN 9783838219073.
- ↑ "China Daily article "Deng Xiaoping statue unveiled"". China Daily. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 May 2009. สืบค้นเมื่อ 13 March 2010.
- ↑ "Turkistan-Newsletter Volume: 97-1:13, 20 June 1997". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 October 2007. สืบค้นเมื่อ 2 December 2010.
- ↑ Pomfret, John (18 October 2001). "In Its Own Neighborhood, China Emerges as a Leader". Taiwan Security Research. Washington Post. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 January 2002. สืบค้นเมื่อ 18 August 2013.
- ↑ 文献纪录片《邓小平》 (ภาษาจีนตัวย่อ). CCTV. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 August 2015. สืบค้นเมื่อ 23 September 2014.
- ↑ "Forty years after Deng opened China, reformists are cowed". The Economist. 8 December 2018. ISSN 0013-0613. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 July 2019. สืบค้นเมื่อ 27 July 2019.
- ↑ Huang, Dan Kopf, Echo (21 August 2018). "Happy birthday Deng Xiaoping: Here are 10 charts showing how he changed China". Quartz. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 July 2019. สืบค้นเมื่อ 27 July 2019.
- ↑ 148.0 148.1 "Deng Xiaoping's lasting legacy". The Japan Times. 27 August 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 June 2019. สืบค้นเมื่อ 14 September 2019.
- ↑ Rosenberg, Jennifer. "A Complete Look at Time's Person of the Year List, from 1927–2017". ThoughtCo. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 July 2019. สืบค้นเมื่อ 27 July 2019.
- ↑ Robert Dernberger (1993). China in the Era of Deng Xiaoping. Sharpe. ISBN 9781563242786. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 December 2021. สืบค้นเมื่อ 13 March 2010.
- ↑ Knight, John (January 2012). "Review: Deng Xiaoping and the Transformation of China". Origins. The Ohio State University. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 July 2019. สืบค้นเมื่อ 27 July 2019.
- ↑ 152.0 152.1 The Editors of Encyclopaedia Britannica (1 November 2019). "Deng Xiaoping". Encyclopaedia Britannica. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 October 2019. สืบค้นเมื่อ 22 November 2019.
{{cite web}}
:|last=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) - ↑ Kopf, Dan; Lahiri, Tripti (17 December 2018). "The charts that show how Deng Xiaoping unleashed China's pent-up capitalist energy in 1978". Quartz. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 September 2019. สืบค้นเมื่อ 22 November 2019.
- ↑ "Deng should have been first Chinese to get Nobel Peace Prize: Exco chief". South China Morning Post. 13 November 2010. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 November 2019. สืบค้นเมื่อ 22 November 2019.
- ↑ Rein, Shaun (14 December 2010). "How To Fix Western-Chinese Relations". Forbes. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 January 2017. สืบค้นเมื่อ 22 November 2019.
- ↑ Byrnes, Sholto (12 October 2010). "Ignoble reactions to the Nobel Peace Prize". New Statesmen. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 8 June 2013. สืบค้นเมื่อ 22 November 2019.
- ↑ 157.0 157.1 "Deng Xiaoping's legacy: The Great Stabiliser". The Economist. 22 October 2011. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 May 2019. สืบค้นเมื่อ 14 September 2019.
- ↑ "The Legacy of Deng Xiaoping". The New York Times. 20 January 1997. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 October 2017. สืบค้นเมื่อ 14 September 2019.
- ↑ 159.0 159.1 Tyler, Patrick E. (20 February 1997). "Deng Xiaoping: A Political Wizard Who Put China on the Capitalist Road". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 August 2019. สืบค้นเมื่อ 22 November 2019.
- ↑ Michael Dillon (2014). Deng Xiaoping: The Man who Made Modern China. Bloomsbury Publishing. pp. 292–296. ISBN 978-0-85772-467-0. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 December 2021. สืบค้นเมื่อ 22 June 2019.
- ↑ "Tiananmen Square Fast Facts". CNN. 4 June 2019. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 September 2019. สืบค้นเมื่อ 22 November 2019.
- ↑ "A Massacre Erased". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 November 2019. สืบค้นเมื่อ 22 November 2019.
- ↑ Wasserstrom, Jeffrey N.; Cunningham, Maura Elizabeth (2018). China in the 21st Century: What Everyone Needs to Know (3 ed.). Oxford University Press. p. 80. ISBN 978-0190659073.
- ↑ Jianfu, Chen (1 May 2004). "The Revision of the Constitution in the PRC. A great leap forward or a symbolic gesture?". China Perspectives (ภาษาฝรั่งเศส). 2004 (53). doi:10.4000/chinaperspectives.2922. ISSN 2070-3449.
- ↑ Jone, William. "The Constitution of the People's Republic of China". Washington University in St. Louis. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 April 2019.
- ↑ Caldwell, Ernest (December 2012). "Horizontal Rights and Chinese Constitutionalism: Judicialization through Labor Disputes". Chicago-Kent Law Review. 88. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 December 2021. สืบค้นเมื่อ 28 October 2019.
- ↑ Shigong, Jiang (2014). "Chinese-Style Constitutionalism: On Backer's Chinese Party-State Constitutionalism". Modern China. 40 (2): 133–167. doi:10.1177/0097700413511313. ISSN 0097-7004. JSTOR 24575589. S2CID 144236160.
- ↑ PEPPER, SUZANNE. "China's Education Reform in the 1980s: Policies, Issues, and Historical Perspectives" (PDF). UC Berkeley. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 28 November 2019.
- ↑ Song, Wei. "China's education reforms and strive for innovation". Chinadaily. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 November 2019. สืบค้นเมื่อ 28 November 2019.
- ↑ Ng-Quinn, Michael (1982). "Deng Xiaoping's Political Reform and Political Order". Asian Survey. 22 (12): 1187–1205. doi:10.2307/2644047. ISSN 0004-4687. JSTOR 2644047.
- บทความที่มีลิงก์เสียตั้งแต่June 2022
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่May 2023
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่September 2023
- บทความวิกิพีเดียที่ต้องการอ้างอิงหมายเลขหน้าตั้งแต่July 2020
- บทความวิกิพีเดียที่ต้องการอ้างอิงหมายเลขหน้าตั้งแต่December 2017
- บทความที่ขาดแหล่งอ้างอิงเฉพาะส่วนตั้งแต่September 2024
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2447
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2540
- เติ้ง เสี่ยวผิง
- รองนายกรัฐมนตรีจีน
- เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์จีน
- ผู้นำสูงสุดของจีน
- ผู้นำในสงครามเย็น
- บุคคลจากกว่างอาน
- เหยื่อของการปฏิวัติวัฒนธรรม