Official Google Thailand Blog: ตุลาคม 2020

การพัฒนาอินเทอร์เน็ตให้ครอบคลุมมากขึ้นในยุคหลังโควิด-19

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ระหว่างปี 2558 - 2563 มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหน้าใหม่ (New Internet User) มากกว่า 1.5 พันล้านคน และจะเพิ่มขึ้นอีกพันล้านคนภายในปี 2568
ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหน้าใหม่เหล่านี้มาจากเอเชีย ลาตินอเมริกา และแอฟริกา ซึ่งประสบการณ์การใช้อินเทอร์เน็ตของพวกเขานั้นแตกต่างจากคนรุ่นก่อนๆ พวกเขาเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือและหัดใช้แอปและเครื่องมือใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ นับวันไอเดียและความต้องการของพวกเขาคือสิ่งที่กำหนดทิศทางในอนาคตของเทคโนโลยีในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงบริการทางการเงินที่ครอบคลุม (Financial Inclusion) ไปจนถึงการแปลภาษา
ปัจจุบัน ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหน้าใหม่กำลังเผชิญกับความท้าทายที่หนักหนาที่สุดเท่าที่พวกเขาประสบมา นั่นก็คือผลกระทบจากโควิด-19 การช่วยเหลือให้พวกเขาผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ต้องอาศัยการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เพื่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนและครอบคลุม
ครึ่งทศวรรษแห่งการเปลี่ยนแปลง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอินเทอร์เน็ตในวันนี้นั้นสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นกว่าในปี 2558 ค่าบริการอินเทอร์เน็ตก็ถูกลงมาก ส่งผลให้ยอดผู้ใช้สมาร์ทโฟนทะลุสูงกว่า 3 พันล้านคน ในขณะที่สัดส่วนของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักคิดเป็น 3 ใน 4 ของจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมดทั่วโลก และผู้คนทั่วโลกหันมาใช้วิดีโอและคำสั่งเสียงในการหาข้อมูลและบริการต่างๆ บนโลกออนไลน์กันมากขึ้น

สำหรับ Google การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ สำหรับกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหน้าใหม่ช่วยให้เราสร้างสิ่งที่ดีขึ้นสำหรับทุกคน นับตั้งแต่การเปิดตัวโครงการ Next Billion Users เมื่อ 5 ปีที่แล้ว โครงการนี้ก็ได้นำไปสู่ความก้าวหน้าหลายอย่างที่เราไม่เคยทำมาก่อน ตั้งแต่โหมดออฟไลน์ใน YouTube และ Google Maps ไปจนถึง AI ที่สามารถช่วยให้เด็กๆ อ่านได้หลายภาษา แอปที่ปกป้องความเป็นส่วนตัวบนอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกัน และประสบการณ์ผู้ใช้แบบใหม่ใน Google Pay (เปิดตัวครั้งแรกในอินเดีย และจะทยอยให้บริการในประเทศอื่นๆ ทั่วโลกเร็วๆ นี้) นอกจากนี้เรายังจะแบ่งปันเครื่องมือแบบโอเพนซอร์สและแนวทางต่างๆ เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เนื่องจากเราทราบดีว่าการสนับสนุนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหน้าใหม่เป็นเป้าหมายร่วมกัน

ในช่วงครึ่งทศวรรษที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเทคโนโลยีได้สร้างความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญในการลดช่องว่างด้านดิจิทัล ทำให้มีผู้ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีจำนวนหลายล้านคนในแต่ละสัปดาห์ แต่ในขณะที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เทคโนโลยีมีส่วนสำคัญมากขึ้นในชีวิต การงาน การศึกษา และสุขภาพของเรา แต่ก็ยังมีความเสี่ยงว่าความก้าวหน้านั้นจะชะลอตัวลง หรือแย่ไปกว่านั้นคือ ถอยกลับ

ผลกระทบจากโควิด-19

เราได้สอบถามผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหน้าใหม่ว่าโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อพวกเขาอย่างไรบ้าง และหลายคนบอกกับเราว่ามันทำให้พวกเขาต้องรับแรงกดดันมากขึ้น ในช่วงเวลาที่บริการที่สำคัญต่างๆ กำลังถูกย้ายเข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้น การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตครั้งแรกของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหน้าใหม่ก็จะยากขึ้นเรื่อยๆ

การที่พวกเขาต้องประสบกับทั้งปัญหาเรื่องตำแหน่งงานที่ลดลง รายได้ที่น้อยกว่าเดิม และราคาสินค้าที่สูงขึ้น ทำให้พวกเขาต้องจำกัดการใช้อินเทอร์เน็ต ค่าใช้จ่ายเรื่องอาหารและที่พักต้องมาก่อน และเมื่อสมาชิกในครอบครัวอยู่บ้านกันมากขึ้น ก็มีการใช้อินเทอร์เน็ตพร้อมกันหลายๆ คน ทำให้อาจไม่เพียงพอต่อการใช้งาน

ยิ่งไปกว่านั้น การขาดความรู้ด้านดิจิทัลทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหน้าใหม่ต้องดิ้นรนในการเข้าถึงความช่วยเหลือด้านการเงินจากภาครัฐ ทรัพยากรในชุมชน หรือการศึกษา และเมื่อพูดถึงโควิด-19 หลายๆ คนมีปัญหาในการแยกแยะระหว่างข้อมูลที่ถูกต้องและข้อมูลที่ผิด หรือการค้นหาบริการด้านสุขภาพที่เชื่อถือได้

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหน้าใหม่ ทำให้ระบบสนับสนุนต้องสะดุด และทำให้พวกเขาต้องหยุดสิ่งต่างๆ ที่ต้องการทำเอาไว้ก่อน

การช่วยเหลือผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหน้าใหม่ต่อจากนี้ไป ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การศึกษา และระบบนิเวศ

การรับมือกับผลกระทบของโควิด-19 ด้วยการช่วยเหลือผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหน้าใหม่ในระหว่างและหลังวิกฤตโควิด -19 เป็นสิ่งที่ภาคอุตสาหกรรม ภาครัฐ องค์กรระหว่างประเทศ และองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ควรให้ความสำคัญ

ประการแรก เราต้องทำให้แน่ใจว่าผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหน้าใหม่มีเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและสามารถตอบสนองความต้องการทางเศรษฐกิจที่เร่งด่วนของพวกเขาได้

เราตระหนักดีถึงความรับผิดชอบของเราในส่วนนี้ แอปต่างๆ เช่น Kormo Jobs ที่ให้บริการในบังกลาเทศ อินเดีย และอินโดนีเซีย ซึ่งช่วยให้ผู้คนเข้าถึงงานในระดับเริ่มต้น กำลังมีส่วนช่วยให้ผู้คนหางานทำได้ ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเราจะทำการทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่จาก Google ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ผ่านการระดมทุน เพราะเราตระหนักดีว่าการรักษารายได้คือสิ่งที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหน้าใหม่ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก

ประการที่สอง เราต้องมุ่งเน้นเรื่องการศึกษาให้มากขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหน้าใหม่เข้าใจข้อมูลและบริการออนไลน์ได้ดีขึ้น และปรับตัวเพื่อรับมือความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ เช่น การเปลี่ยนแปลงในภาคการศึกษาที่จะมีการปรับการเรียนการสอนให้เป็นรูปแบบออนไลน์กันมากขึ้น เป็นต้น

โครงการริเริ่มด้านการรู้หนังสือระดับรากหญ้าที่ไม่แสวงหาผลกำไร อย่างเช่นโครงการที่ Google.org ให้การสนับสนุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นก้าวสำคัญในทิศทางที่ถูกต้อง เช่นเดียวกับความร่วมมือของ Google News Initiative ในลาตินอเมริกา และโครงการระดับโลกของ Grow with Google อย่าง Be Internet Awesome ที่ให้ความรู้กับเด็กๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยบนโลกออนไลน์ เพื่อให้พวกเขาออกไปท่องโลกออนไลน์ได้อย่างมั่นใจ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะต้องพัฒนาโครงการเหล่านี้ขึ้นมาหลังจากการระบาดใหญ่

ประการที่สาม เราต้องพัฒนาระบบนิเวศที่ช่วยสนับสนุนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหน้าใหม่อย่างต่อเนื่อง เราควรส่งเสริมให้ทุกองค์กรที่เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลให้ความสำคัญกับการเข้าถึงอย่างครอบคลุม

บ่อยครั้งที่ความรับผิดชอบในการช่วยเหลือผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหน้าใหม่ตกไปอยู่ที่ “ครูนอกห้องเรียน” ซึ่งก็คือเพื่อนและครอบครัวของพวกเขานั่นเอง โครงการริเริ่มอย่าง Design Toolkit for Digital Confidence แสดงให้เห็นว่าเราจะเปลี่ยนแปลงจุดนี้ได้อย่างไร ซึ่งเป็นแนวทางที่จะช่วยให้ผู้พัฒนาเทคโนโลยีสร้างเครื่องมือที่ใช้งานได้ง่ายสำหรับทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม

ประการสุดท้าย เราต้องสานต่อความมุ่งมั่นที่ทำให้ Google ริเริ่มโครงการ Next Billion Users ขึ้นมาในปี 2558 นั่นก็คือ การทำให้อินเทอร์เน็ตและเครื่องมือต่างๆ เป็นประโยชน์และเข้าถึงได้สำหรับผู้คนจำนวนมากขึ้น ครอบคลุมหลากหลายภาษามากขึ้น และสามารถใช้งานในรูปแบบต่างๆ ได้มากขึ้น (รวมถึงการรองรับการใช้งานของผู้พิการ)

โควิด-19 เป็นความท้าทายสำหรับทุกคน แต่มันกำลังส่งผลกระทบต่อผู้ใช้อินเทอร์เน็ตหน้าใหม่หนักเป็นพิเศษ ทั้งนี้ หากภาครัฐ ภาคธุรกิจ และองค์กรภาคประชาสังคมร่วมมือกัน เราสามารถทำให้อินเทอร์เน็ตดีขึ้นและเข้าถึงได้ง่ายขึ้นในยุคหลังโควิด-19 เพื่อให้เกิดประโยชน์สำหรับผู้ใช้นับพันล้านคนในปัจจุบัน รวมทั้งผู้ใช้รายใหม่อีกนับพันล้านคนที่กำลังจะตามมา

ซีซาร์ เซงกุปตา

รองประธานฝ่าย Payments และ Next Billion Users Initiative ของ Google

ขอแนะนำ Google Workspace

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2563

กว่า 10 ปีที่ผ่านมา เราได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ช่วยให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของพวกเขา
ปัจจุบัน การทำงานกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หลายๆ คนไม่จำเป็นต้องเดินทางไปทำงานที่ออฟฟิศอีกต่อไป และการสื่อสารโต้ตอบกันที่ก่อนหน้านี้ต้องทำกันต่อหน้าก็กำลังเปลี่ยนเป็นรูปแบบดิจิทัล พนักงานบริษัทไม่ได้พูดคุยกันระหว่างพักดื่มกาแฟหรือระหว่างเดินไปที่ห้องประชุมอีกแล้ว เพราะพวกเขาได้เปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นพื้นที่ทำงาน พนักงานภาคสนาม ไม่ว่าเป็นผู้รับเหมาที่ไซต์งานก่อสร้าง หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งที่กำลังทำการจัดส่งสินค้า ต่างก็หันมาใช้โทรศัพท์มือถือเป็นตัวช่วยในการทำงานให้สำเร็จลุล่วง เทคโนโลยีถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มความสามารถในการให้บริการ ไม่ว่าจะเป็นคุณหมอที่ใช้เพื่อการรักษาผู้ป่วย หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ใช้เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมกับชุมชน
ภายใต้การเปลี่ยนแปลงนี้ เวลาถูกแบ่งออกเป็นหลายส่วนมากขึ้น เช่น การแยกเวลาสำหรับการทำงานออกจากเวลาส่วนตัว นอกจากนี้ การสร้างและรักษาความสัมพันธ์ของผู้คนก็เกิดขึ้นได้ยากกว่าแต่ก่อน
สิ่งเหล่านี้เป็นความท้าทายรูปแบบใหม่ แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีในการช่วยให้ผู้คนประสบความสำเร็จในโลกที่มีการกระจายตัวและเป็นดิจิทัลมากขึ้นในปัจจุบัน การมีเครื่องมือที่เหมาะสมช่วยให้ผู้คนสามารถทำงานร่วมกันได้ง่ายขึ้น ใช้เวลากับสิ่งที่สำคัญมากที่สุด และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
และเครื่องมือนั้นก็คือ Google Workspace ที่รวบรวมทุกสิ่งที่คุณต้องการสำหรับการทำงานไว้ครบจบในที่เดียว Google Workspace รวมแอปที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานที่คุณคุ้นเคยกันดีเอาไว้ด้วยกัน ทั้ง Gmail, Google Calendar, Google Drive, Google Docs, Google Sheets, Google Slides, Google Meet และอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าคุณกำลังกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ ทำงานจากบ้าน ทำงานภาคสนามผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ หรือติดต่อกับลูกค้า Google Workspace คือเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับการทำงาน การติดต่อสื่อสาร และการทำงานร่วมกัน

ด้วย Google Workspace เราจะเปิดตัว 3 สิ่งใหม่นี้:

ประสบการณ์ผู้ใช้แบบใหม่ที่ครบวงจรที่จะช่วยให้ทุกคนในทีมทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พนักงานภาคสนามสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้ตลอดเวลา และธุรกิจสามารถสร้างประสบการณ์ดิจิทัลใหม่ๆ ให้กับลูกค้าได้
อัตลักษณ์ใหม่ของแบรนด์ที่สะท้อนวิสัยทัศน์ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อันทะเยอทะยานของเรา และวิธีที่ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของเราทำงานร่วมกัน
วิธีใหม่ในการเริ่มต้นทำสิ่งต่างๆ ด้วยเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าแต่ละกลุ่ม

ประสบการณ์ใหม่สำหรับผู้ใช้

ในงาน Next OnAir ที่จัดขึ้นในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เราได้เปิดตัวแพลตฟอร์มสำหรับการทำงานที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยการผนวกเครื่องมือหลักในการสื่อสารและการทำงานร่วมงาน เช่น แชท อีเมล การโทรผ่านเสียงและสนทนาผ่านวิดีโอ และการจัดการเนื้อหา เข้าไว้ด้วยกันเพื่อประสบการณ์การใช้งานแบบครบวงจร เพื่อให้พนักงานสามารถเข้าถึงทุกอย่างที่พวกเขาต้องการได้ในที่เดียว ประสบการณ์แบบครบวงจรนี้เปิดให้ใช้แล้วสำหรับลูกค้าแบบจ่ายเงินของ Google Workspace
ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ เราจะเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปเข้าถึงประสบการณ์ใหม่นี้เพื่อช่วยพวกเขาทำสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งกลุ่มภายในชุมชน การจัดการค่าใช้จ่ายของครอบครัว หรือการจัดเตรียมงานเฉลิมฉลอง โดยใช้เครื่องมือต่างๆ ที่ผสานเข้าด้วยกัน เช่น Gmail, Google Chat, Google Meet, Google Docs และ Google Tasks
เราช่วยให้ลูกค้าองค์กรสื่อสารกับลูกค้าและพาร์ทเนอร์ได้ง่ายขึ้นผ่านฟีเจอร์การอนุญาตให้แขกเข้าถึงการทำงานบน Google Chat และ Google Drive และในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า คุณจะสามารถสร้างเอกสารและทำงานร่วมกันกับแขกภายในห้องแชทใน Google Chat ได้ ซึ่งจะทำให้การแชร์เนื้อหาและการทำงานร่วมกับบุคคลภายนอกองค์กรของคุณนั้นง่ายขึ้น และทำให้มั่นใจว่าทุกคนเข้าถึงและมองเห็นข้อมูลเดียวกัน

การสร้างเอกสารภายในห้องแชท

ทุกๆ นาทีที่คุณใช้ทำงานคืออีกหนึ่งนาทีที่คุณไม่สามารถใช้อยู่กับคนในครอบครัวได้ ประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญ เรามุ่งมั่นทำงานอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่ช่วยให้คุณทำงานชิ้นสำคัญให้แล้วเสร็จได้ง่ายขึ้น เช่น ใน Google Docs, Google Sheets และ Google Slides คุณสามารถดูตัวอย่างเนื้อหาของไฟล์ได้โดยไม่จำเป็นต้องเปิดแท็บใหม่ ซึ่งหมายความว่าคุณไม่จำเป็นต้องเสียเวลาเข้าออกแอปต่างๆ และมีเวลาในการทำงานมากขึ้น นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเมื่อคุณเอ่ยถึงผู้ใช้คนอื่น (@) ในเอกสารของคุณ ฟีเจอร์อัจฉริยะจะแสดงรายละเอียดผู้ติดต่อ ซึ่งรวมถึงบุคคลภายนอกองค์กรของคุณ เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบุคคลนั้น พร้อมทั้งแนะนำการดำเนินการอื่นๆ เช่น การเพิ่มบุคคลนั้นลงในรายชื่อผู้ติดต่อ หรือการติดต่อผ่านทางอีเมล แชท หรือวิดีโอ เป็นต้น

การให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับคุณได้โดยตรงใน Google Docs, Google Sheets และ Google Slides ของ Google Workspace ช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ฟีเจอร์อัจฉริยะใน Google Docs, Google Sheets และ Google Slides

เราตระหนักดีว่าการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนนั้นมีความสำคัญยิ่งขึ้นกว่าเดิมในช่วงที่แต่ละคนต้องทำงานทางไกลและสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัล ความสัมพันธ์ที่ดีคือสิ่งที่ทำให้พนักงานทำงานกันเป็นทีม และช่วยเสริมสร้างความภักดีและความไว้วางใจของลูกค้า

ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เราได้ประกาศว่าจะนำฟีเจอร์การประชุมผ่าน Google Meet แบบ picture-in-picture หรือการแสดงภาพซ้อนภาพ ผนวกเข้าไปใน Gmail และ Google Chat เพื่อให้คุณได้ยินและเห็นหน้าของผู้ร่วมงานคนอื่นในขณะที่ทำงานร่วมกัน ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เราจะขยายฟีเจอร์นี้ไปยัง Google Docs, Google Sheets และ Google Slides ด้วย ฟีเจอร์นี้มีประโยชน์มาก โดยเฉพาะสำหรับการโต้ตอบกับลูกค้าตอนที่คุณกำลังพรีเซนต์ข้อเสนอ หรือกำลังอธิบายเอกสารที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งก่อนหน้านี้คุณจะเห็นแค่เอกสารที่คุณกำลังนำเสนอ แต่จากนี้ไปคุณจะสามารถมองเห็นสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายได้ด้วย

การประชุมผ่าน Google Meet แบบ picture-in-picture ใน Google Docs, Google Sheets และ Google Slides

เพราะเรารู้ว่าหลายๆ บริษัทมีระบบการทำงานแบบผสมผสาน ทั้งทำงานที่ออฟฟิศและจากบ้าน Google Meet รองรับอุปกรณ์หลากหลายชนิดที่มาพร้อมกับปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ที่ดีที่สุดของ Google ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ Series One ที่ให้เสียงคมชัดและขยายการใช้งานได้อย่างง่ายดาย ไปจนถึง Chromecast และ Nest Smart Displays ที่ทำงานร่วมกับ AI ของ Google ช่วยให้คุณเพลิดเพลินไปกับการทำงาน ไม่ว่าจะทำจากที่ทำงานหรือที่บ้านก็ตาม

อัตลักษณ์ใหม่ของแบรนด์

เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผลิตภัณฑ์ของเราหลายตัวถูกพัฒนาขึ้นเป็นแอปเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะทาง เช่น อีเมลที่ดีกว่าด้วย Gmail หรือการทำงานเอกสารร่วมกันผ่าน Google Docs ในเวลาต่อมาผลิตภัณฑ์ของเราถูกนำไปใช้งานร่วมกันมากขึ้นจนทำให้รอยต่อระหว่างแอปเริ่มจางหายไป

แบรนด์ Google Workspace ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่นี้ สะท้อนถึงประสบการณ์ใหม่ที่เชื่อมต่อกันมากขึ้น มีประโยชน์มากขึ้น และยืดหยุ่นมากขึ้น ไอคอนใหม่ของเราก็จะสะท้อนสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ คุณจะได้พบกับไอคอนสี่สีใหม่ของ Gmail, Google Drive, Google Calendar และ Google Meet รวมถึงเครื่องมือสร้างเนื้อหาสำหรับการทำงานร่วมกัน เช่น Google Docs, Google Sheets, และ Google Slides ซึ่งอยู่ในตระกูลเดียวกัน โดยสิ่งเหล่านี้แสดงถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะสร้างประสบการณ์ในการสื่อสารและการทำงานร่วมกันแบบครบวงจรสำหรับทุกคน ทั้งหมดนี้ด้วยความช่วยเหลือจาก Google

นอกจากนี้ เรายังจะให้บริการ Google Workspace แก่สถาบันการศึกษาและองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ด้วย โดยลูกค้ากลุ่มสถาบันการศึกษาสามารถเข้าถึงเครื่องมือต่างๆ ของเราผ่านทาง G Suite for Education ซึ่งประกอบด้วย Google Classrooms, Google Assignments, Gmail, Google Calendar, Google Drive, Google Docs, Google Sheets, Google Slides และ Google Meet ด้าน G Suite for Nonprofits จะยังเปิดให้ใช้สำหรับองค์กรที่ผ่านเกณฑ์ของโครงการ Google for Nonprofits

วิธีใหม่ในการเริ่มต้นทำสิ่งต่างๆ

ความเรียบง่าย ประโยชน์ และความยืดหยุ่น เป็นหลักการสำคัญของเราในการออกแบบประสบการณ์การใช้งานให้กับผู้ใช้และการดำเนินธุรกิจของเรา ลูกค้าของเราทุกรายล้วนแล้วแต่มีความต้องการเครื่องมือที่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับพวกเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานจากทางไกล การสนับสนุนพนักงานภาคสนาม การสร้างประสบการณ์ดิจิทัลใหม่ๆ ให้กับลูกค้า หรือทั้งหมดที่กล่าวมา แต่ความต้องการด้านการจัดเก็บ การบริหารจัดการ รวมถึงการรักษาความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของลูกค้าแต่รายนั้นแตกต่างกันมาก

เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้นและได้รับประโยชน์สูงสุดจาก Google Workspace เราจะพัฒนาข้อเสนอที่ตรงกับความต้องการที่แตกต่างกันออกไปของลูกค้ามากขึ้น โดยข้อเสนอสำหรับธุรกิจขนาดเล็กเหมาะสำหรับลูกค้าที่ต้องการทำธุรกรรมที่รวดเร็วและจัดการดูแลได้เอง ด้านข้อเสนอสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ถูกออกแบบมาเพื่อองค์กรที่มีความซับซ้อนและมีความต้องการการดูแลด้านเทคนิคอย่างใกล้ชิดตลอดระยะเวลาที่ใช้บริการ

คุณสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อเสนอใหม่ๆ ดังกล่าวได้ที่นี่

การเพิ่มขีดความสามารถให้กับลูกค้าและพาร์ทเนอร์

คุณ ในฐานะลูกค้าและผู้ใช้ของเรา คือแรงบันดาลใจในการทำงานของเราเพื่ออนาคตที่ดีกว่า นี่คือช่วงเวลาแห่งความท้าทาย แต่เราเชื่อว่ามันคือจุดเริ่มต้นของรูปแบบใหม่ในการทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ใกล้ชิดกันมากขึ้น และสร้างความแตกต่างได้มากขึ้น

Google Workspace สะท้อนวิสัยทัศน์ของเราที่ต้องการสร้างอนาคตที่การทำงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เวลาเป็นสิ่งมีค่าที่สุด และสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของผู้คนมีความสำคัญยิ่งขึ้นกว่าที่เคย ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ที่เรายึดถือมานานกว่าทศวรรษ และเป็นวิสัยทัศน์ที่เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะทำให้เกิดขึ้นจริงร่วมกับคุณ

ฮาเวียร์ โซลเทโร

รองประธานและผู้จัดการทั่วไปของ Google Workspace

เข้าใจทิศทางได้ดีขึ้นด้วย Live View

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2563

https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhcfX7nc5amaOPJ48TxxIWmEC-b0HFFyRQ9GC1KnfLmoJVfb-AcJbPXAyi3-j_e7oujkt3jjQhYg9FZ9HEQ0rTce3k6btdK4vW8PewabJr2YDeIh6Ywoxb6BLJPeosW3sZQfZx1QVQ53LY/w640-h265/Live+View+hero+image.png Mirko Ranieri Product Manager Google Maps

ฟีเจอร์ Live View ใน Google Maps ช่วยให้คุณเข้าใจทิศทางไปยังจุดหมายปลายทางของคุณได้ดียิ่งขึ้น วิธีใหม่ๆ ในการใช้ Live View ที่เราจะมาแบ่งปันให้คุณทราบในวันนี้จะช่วยให้คุณทำความเข้าใจทิศทางได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าคุณจะเดินไปยังสถานที่ต่างๆ เดินออกจากสถานีขนส่งสาธารณะ หรือพบปะกับเพื่อนๆ
เราเปิดตัว Live View ในปีที่ผ่านมา และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฟีเจอร์นี้ก็ได้ช่วยให้ผู้คนเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ที่การเดินทางจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งให้โดยใช้เส้นทางที่ตรงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ถือเป็นสิ่งสำคัญ ด้วยเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) คุณจะเห็นลูกศรทิศนำทาง ทิศทาง และเครื่องหมายบอกระยะทางถูกแสดงผลร่วมกับภาพของจริงผ่านจอโทรศัพท์ ทำให้คุณไม่ต้องเสียเวลาคาดเดาว่าจะต้องเดินไปทางไหน
ใช้สถานที่สำคัญประกอบการทำความเข้าใจทิศทางใน Live View
เมื่อคุณเลือกหรือค้นหาสถานที่บน Google Maps คุณสามารถแตะไปที่ Live View เพื่อดูจุดหมายปลายทางของคุณในโลกแห่งความเป็นจริงได้ และในเร็วๆ นี้คุณจะสามารถสำรวจสถานที่สำคัญที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อช่วยให้คุณเข้าใจทิศทางและสิ่งแวดล้อมรอบตัวคุณได้เร็วและง่ายขึ้น Live View จะแสดงให้คุณเห็นว่าสถานที่สำคัญแต่ละที่อยู่ห่างจากคุณมากน้อยเพียงใด และคุณต้องไปในทิศทางใดเพื่อไปให้ถึงที่นั่น สถานที่สำคัญเหล่านี้อาจจะเป็นสถานที่สะดุดตา เช่น ตึกเอ็มไพร์สเตทในมหานครนิวยอร์ก และวิหารแพนธิออนในกรุงโรม รวมถึงสถานที่ที่จดจำได้ง่าย เช่น สวนสาธารณะ หรือสถานที่ท่องเที่ยว เป็นต้น

สถานที่สำคัญใน Live View ช่วยให้คุณเข้าใจสิ่งแวดล้อมรอบตัวคุณได้ดีขึ้น

ใช้ Live View ในสถานที่อื่นๆ

ตอนนี้คุณสามารถใช้ Live View ได้จากแท็บขนส่งสาธารณะ (transit) ใน Google Maps ได้แล้ว ย้อนกลับไปในปี 2561 เราได้เปิดตัวการนำทางแบบหลายรูปแบบ (multi-modal navigation) ซึ่งเป็นวิธีการขอเส้นทางสำหรับการเดินทางที่ต้องอาศัยการขนส่งหลายประเภท ทั้งการเดินเท้า การขับรถยนต์ การขี่จักรยาน และขนส่งสาธารณะ ตอนนี้หากคุณใช้เส้นทางขนส่งสาธารณะและมีบางช่วงที่ต้องเดิน คุณสามารถใช้ Live View เพื่อค้นหาเส้นทางของคุณได้ ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อคุณออกจากสถานีขนส่งและไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ

ใช้ Live View ได้โดยตรงจากระบบนำทางขนส่งสาธารณะ

Live View ในการแชร์ตำแหน่ง พร้อมให้บริการบน Android และ iOS เร็วๆ นี้

หากคุณมีนัดพบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆ ในสถานที่ที่อยู่ไกลออกไป อาจเป็นเรื่องยากที่จะระบุตำแหน่งที่อยู่ของของพวกเขา เมื่อเดือนที่แล้วเราได้เปิดตัวฟีเจอร์ Live View ในการแชร์ตำแหน่ง (Location Sharing) ให้กับผู้ใช้ Pixel และเร็วๆ นี้เราจะขยายฟีเจอร์นี้ให้ครอบคลุมผู้ใช้ Android และ iOS ทุกคนทั่วโลก เมื่อเพื่อนแชร์ตำแหน่งให้กับคุณ คุณแค่แตะไปที่ไอคอนของพวกเขา จากนั้นแตะปุ่ม Live View เพื่อดูว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนและไกลจากคุณแค่ไหน โดยจะมีลูกศรและทิศทางต่างๆ ปรากฏขึ้นมาเพื่อช่วยนำทางคุณไปยังที่หมาย

ฟีเจอร์ Live View ในการแชร์ตำแหน่งจะครอบคลุมผู้ใช้ Android และ iOS ทุกคนทั่วโลกที่ใช้อุปกรณ์ที่รองรับ ARCore และ ARKit ในเร็วๆ นี้

การปักหมุดที่แม่นยำมากขึ้น

เพื่อทำให้ฟีเจอร์เหล่านี้มีชีวิตชีวา เราได้ทำการปรับปรุง Global Localization ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่ขับเคลื่อนฟีเจอร์ Live View ทั้งหมดบน Google Maps เช่นตอนนี้ ด้วยพลังของแมชชีนเลิร์นนิงและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งของเราเกี่ยวกับภูมิประเทศของโลก ทำให้เราสามารถพิจารณาระดับความสูงของสถานที่ เพื่อช่วยให้การแสดงตำแหน่งของจุดหมายปลายทางที่ปักหมุดไว้ใน Live View มีความแม่นยำมากขึ้น ในรูปด้านล่างนี้คุณจะเห็นว่าถนนลอมบาร์ด (Lombard Street) ซึ่งเป็นถนนที่สูงชันและคดเคี้ยวแห่งหนึ่งในซานฟรานซิสโก อยู่ห่างออกไปไกลมาก ตอนนี้คุณจะเห็นว่าถนนลอมบาร์ดอยู่ใกล้มากขึ้น และหมุดจะอยู่ในแนวเดียวกับจุดเริ่มต้นของถนนที่ด้านล่างของเนินเขา

การปรับปรุง Global Localization ทำให้แสดงตำแหน่งการปักหมุดที่แม่นยำมากขึ้น

ไม่ว่าคุณจะเดินไปที่ไหน ฟีเจอร์ Live View จะช่วยให้คุณไปถึงจุดหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด คุณจะเริ่มเห็นฟีเจอร์ Live View ในแท็บขนส่งสาธารณะ (Transit) และการแชร์ตำแหน่ง (Location Sharing) บน Android และ iOS ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ส่วนการแสดงสถานที่สำคัญก็จะเริ่มเปิดตัวเร็วๆ นี้ ทั้งบน Android และ iOS ในเกือบ 25 เมืองทั่วโลก* และจะมีเมืองอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามาอีกในภายหลัง

*อัมสเตอร์ดัม กรุงเทพมหานคร บาร์เซโลนา เบอร์ลิน บูดาเปสต์ ดูไบ ฟลอเรนซ์ อิสตันบูล กัวลาลัมเปอร์
เกียวโต ลอนดอน ลอสแอนเจลิส มาดริด มิลาน มิวนิค นิวยอร์ก โอซาก้า ปารีส ปราก โรม ซานฟรานซิสโก ซิดนีย์ โตเกียว เวียนนา

Mirko Ranieri

Product Manager, Google Maps

A new sense of direction with Live View

Live View in Google Maps helps you keep your bearings so you can find your way around. With new ways to use Live View, we're making it even easier to orient yourself in the world whether you’re walking around, leaving a public transit station or meeting up with friends.

We launched Live View last year, and since then it’s helped people get around efficiently–especially during the pandemic, when getting from place to place as directly as possible is top of mind. Thanks to augmented reality (AR), you can see arrows, directions, and distance markers placed right on top of your world so you spend less time figuring out which way you should be headed.

Use landmarks to orient yourself in Live View

When you select or search for a place on Google Maps, you can already tap on the Live View button to visualize your destination in the real world. Soon, you’ll also be able to see nearby landmarks so you can quickly and easily orient yourself and understand your surroundings. Live View will show you how far away certain landmarks are from you and what direction you need to go to get there. These landmarks can include iconic places, like the Empire State Building in New York and the Pantheon in Rome, and easily recognizable places, like local parks and tourist attractions.

Seeing landmarks in Live View helps you better understand your surroundings.

Get Live View in more places

You can now access Live View right from the transit tab in Google Maps. Back in 2018, we launched multi-modal navigation–a way to get directions for a trip that involves a combination of transportation types, including walking, driving, biking and transit. Now, if you’re using transit directions and have a walking portion of your journey, you can use Live View to find your way. This is particularly useful when you exit a transit station and don’t know which way to go.

Use Live View right from transit navigation.

Live View in Location Sharing–soon available on Android and iOS

If you’re meeting up with friends for a socially distant gathering, it can be hard to pinpoint exactly where they are. Last month, we launched Live View in Location Sharing for Pixel users, and we’ll soon expand this to all Android and iOS users around the globe. When a friend has chosen to share their location with you, you can easily tap on their icon and then on Live View to see where and how far away they are–with overlaid arrows and directions that help you know where to go.

Live View in Location Sharing will soon expand to all Android and iOS users globally on ARCore and ARKit supported phones.

A more accurate pin

To bring all of these features to life, we’ve made improvements to global localization, the underlying technology that powers all Live View features on Google Maps. With the help of machine learning and our understanding of the world’s topography, we’re able to take the elevation of a place into account so we can more accurately display the location of the destination pin in Live View. Below, you can see how Lombard Street—a steep, winding street in San Francisco—previously appeared far off into the distance. Now, you can quickly see that Lombard Street is much closer and the pin is aligned with where the street begins at the bottom of the hill.

Improvements to global localization now show a more accurate pin placement.

No matter where you’re walking, Live View can help you get there as efficiently as possible. You’ll start seeing Live View in the transit tab and Location Sharing on Android and iOS in the coming weeks, along with a more accurate pin. Landmarks start rolling out soon on Android and iOS in nearly 25 cities* around the world, with more to come.

*Amsterdam, Bangkok, Barcelona, Berlin, Budapest, Dubai, Florence, Istanbul, Kuala Lumpur, Kyoto, London, Los Angeles, Madrid, Milan, Munich, New York, Osaka, Paris, Prague, Rome, San Francisco, Sydney, Tokyo, Vienna