ข้ามไปเนื้อหา

ฮ่องกง

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน

中華人民共和國香港特別行政區
A flag with a white 5-petalled flower design on solid red background
ธงชาติ
A red circular emblem, with a white 5-petalled flower design in the centre, and surrounded by the words "Hong Kong" and "中華人民共和國香港特別行政區"
ตรา
ที่ตั้งของฮ่องกงในประเทศจีน
ที่ตั้งของฮ่องกงในประเทศจีน
ภาษาราชการ
จีนกวางตุ้ง[2]
อักษรทางการ[3]อังกฤษ
จีนดั้งเดิม
กลุ่มชาติพันธุ์
  • 92.0% จีน
  • 2.5% ฟิลิปปินส์
  • 2.1% อินโดนีเซีย
  • 0.8% ตะวันตก
  • 2.6% อื่น ๆ[4]
ศาสนา
การปกครองระบบฝ่ายบริหารที่ได้รับมอบอำนาจปกครองภายในสาธารณรัฐสังคมนิยม
จอห์น ลี
• หัวหน้าฝ่ายยุติธรรม
แอนดรูว์ ชึง
สภานิติบัญญัติสภานิติบัญญัติฮ่องกง
เขตบริหารพิเศษในสาธารณรัฐประชาชนจีน
26 มกราคม 1841
29 สิงหาคม 1842
18 ตุลาคม 1860
1 กรกฎาคม 1898
25 ธันวาคม 1941
ถึง 30 สิงหาคม 1945
19 ธันวาคม 1984
• การรับมอบอธิปไตยจากสหราชอาณาจักร
1 กรกฎาคม 1997
พื้นที่
• รวม
1,104 ตารางกิโลเมตร (426 ตารางไมล์) (179th)
4.58 (50 km2; 19 sq mi)[5]
ประชากร
• 2557 ประมาณ
7,234,800[6] (100th)
6,544[4] ต่อตารางกิโลเมตร (16,948.9 ต่อตารางไมล์)
จีดีพี (อำนาจซื้อ) 2560 (ประมาณ)
• รวม
$ 453.019 พันล้าน
$ 61,015
จีดีพี (ราคาตลาด) 2560 (ประมาณ)
• รวม
$ 334.104 พันล้าน
$ 44,999
จีนี (2559)Negative increase 53.9[7]
สูง
เอชดีไอ (2562)เพิ่มขึ้น 0.949[8]
สูงมาก · 4
สกุลเงินดอลล่าร์ฮ่องกง (HK$) (HKD)
เขตเวลาUTC+8
• ฤดูร้อน (เวลาออมแสง)
UTC+8
ขับรถด้านซ้าย
รหัสโทรศัพท์+852
รหัส ISO 3166HK
โดเมนบนสุด.hk   .香港
ฮ่องกง
ภาษาจีน香港
ยฺหวิดเพ็งHoeng1gong2
เยลกวางตุ้งHēunggóng
ฮั่นยฺหวี่พินอินXiānggǎng
ความหมายตามตัวอักษรท่าเรือที่หอมหวน
เขตบริหารพิเศษฮ่องกง
อักษรจีนตัวเต็ม香港特別行政區 (หรือ 香港特區)
อักษรจีนตัวย่อ香港特别行政区 (หรือ 香港特区)
ยฺหวิดเพ็งHoeng1gong2 Dak6bit6Hang4zing3 Keoi1 (or Hoeng1gong2Dak6keoi1)
ฮั่นยฺหวี่พินอินXiānggǎng Tèbié Xíngzhèngqū (or Xiānggǎng Tèqū)

ฮ่องกง[10] หรือ เซียงก่าง[10] (อังกฤษ: Hong Kong; จีน: 香港) มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (อังกฤษ: Hong Kong Special Administrative Region of the People's Republic of China) เป็นเขตปกครองตนเองริมฝั่งทางตอนใต้ของประเทศจีนอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกในทางภูมิศาสตร์ มีสามเหลี่ยมปากแม่น้ำจูเจียงและทะเลจีนใต้โอบรอบ ด้วยเนื้อที่ 1,104 ตารางกิโลเมตร และประชากรกว่า 7.5 ล้านคน ถือเป็นเขตปกครองที่มีประชากรอยู่อาศัยหนาแน่นที่สุดแห่งหนึ่ง โดยอัตราความหนาแน่นประชากรสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก ฮ่องกงยังเป็นหนึ่งในเขตปกครองตนเองที่พัฒนามากที่สุดในโลก[11]

ประวัติศาสตร์ของฮ่องกงเริ่มต้นจากการเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร (ฮ่องกงของบริเตน) หลังจากจีนพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่น เกาะฮ่องกง และดินแดนตอนปลายคาบสมุทรเกาลูนตกเป็นอาณานิคมใน ค.ศ. 1842 และ 1860 ตามลำดับ อาณานิคมขยายไปถึงคาบสมุทรเกาลูนหลังสงครามฝิ่นครั้งที่สอง และขยายออกไปอีกเมื่อสหราชอาณาจักรทำสัญญาเช่าดินแดนเป็นเวลา 99 ปีใน ค.ศ. 1898 ฮ่องกงของบริเตนถูกยึดครองโดยจักรวรรดิญี่ปุ่นตั้งแต่ ค.ศ. 1941 ถึง 1945 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองก่อนจะกลับมามีสถานะเดิมอีกครั้งหลังการยอมจำนนของญี่ปุ่น[12] ต่อมา สหราชอาณาจักรทำสัญญาส่งมอบดินแดนทั้งหมดคืนให้แก่ประเทศจีนใน ค.ศ. 1997[13] และมีสถานะเป็นหนึ่งในสองเขตบริหารพิเศษของจีน (อีกแห่งคือมาเก๊า) แต่จีนได้รับรองให้ฮ่องกงสามารถรักษาระบอบการปกครองและเศรษฐกิจที่แยกจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ได้ โดยอยู่ภายใต้หลักการของ "หนึ่งประเทศ สองระบบ"[14] เดิมทีฮ่องกงเป็นเพียงหมู่บ้านเกษตรกรและชาวประมง แต่ความเจริญได้เข้ามาสู่เกาะอย่างรวดเร็วและได้พัฒนาจนกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางการค้าและการเดินเรือที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก[15] ฮ่องกงกลายเป็นหนึ่งในสี่เสือแห่งเอเชียที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมในช่วงทศวรรษ 1950 และแม้จะไม่มีสถานะเป็นประเทศ[16] แต่ในปัจจุบันฮ่องกงเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 9 และผู้นำเข้ารายใหญ่อันดับ 8 ของโลก

ฮ่องกงบริหารเศรษฐกิจแบบผสมโดยเน้นระบบทุนนิยมซึ่งมีการเก็บภาษีต่ำและมีระบบการค้าเสรี รายได้หลักมาจากภาคบริการและการส่งออก มีสกุลเงินคือดอลลาร์ฮ่องกง[17] ซึ่งเป็นสกุลเงินที่มีการซื้อขายมากเป็นอันดับ 9 ของโลก ฮ่องกงมีจำนวนมหาเศรษฐีอาศัยอยู่มากเป็นอันดับ 7 ของโลก[18] และเป็นอันดับสองในเอเชีย และยังมีจำนวนประชากรผู้มีรายได้สูงมากที่สุดในโลก[19] แม้ว่าฮ่องกงจะมีรายได้ต่อหัวของประชากรสูง แต่ยังประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสูงเช่นกัน โดยมีความเท่าเทียมกันของรายได้ต่ำ และประสบปัญหาค่าครองชีพสูงเป็นลำดับต้น ๆ ของโลก ฮ่องกงยังมีจำนวนตึกระฟ้ามากที่สุดในโลก[20] และมีราคาอสังหาริมทรัพย์ที่แพงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก[21][22][23]

ฮ่องกงเป็นเขตปกครองตนเองที่พัฒนาแล้วอย่างสูง โดยอยู่ในอันดับ 4 จากการจัดอันดับดัชนีการพัฒนามนุษย์ และเป็นประเทศหรือเขตปกครองตนเองเพียงแห่งเดียวในเอเชียที่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก ประชากรฮ่องกงยังมีอัตราการคาดหมายคงชีพสูง[24] และจากการมีประชากรอาศัยอย่างหนาแน่น ทำให้ฮ่องกงพัฒนาระบบเครือข่ายการคมนาคมที่มีประสิทธิภาพสูง โดยมีอัตราการใช้บริการขนส่งสาธารณะสูงถึง 90% ฮ่องกงยังอยู่ในอันดับสูงของโลกในการจัดอันดับด้านความสามารถการแข่งขันทางการเงิน[25] ฮ่องกงมีส่วนร่วมในองค์การการค้าโลก, ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก, คณะกรรมการโอลิมปิกสากล และหน่วยงานของสหประชาชาติหลายแห่ง

นิรุกติศาสตร์

[แก้]

มีการบันทึกว่าชื่อของเกาะฮ่องกงมีการเขียนเป็นอักษรละตินครั้งแรกว่า "He-Ong-Kong" ใน ค.ศ. 1780[26] แต่เดิมหมายถึงปากน้ำเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างท่าเรือแอเบอร์ดีนและชายฝั่งทางตอนใต้ของเกาะฮ่องกง แอเบอร์ดีนเป็นจุดเริ่มต้นการติดต่อระหว่างกะลาสีชาวอังกฤษและชาวประมงท้องถิ่น แม้จะไม่ทราบที่มาของชื่ออักษรละตินดังกล่าว แต่เชื่อกันว่าเป็นการออกเสียงตามภาษาจีนกวางตุ้ง hēung góng

ชื่อนี้มีความหมายตามตัวอักษรว่า "ท่าเรือที่หอมหวาน" และ "ท่าเรือที่เต็มไปด้วยเครื่องหอม" โดยความหมายของคำว่า "หอมหวาน และ กลิ่นหอม" ที่ปรากฏในชื่อ[27] อาจหมายถึงรสหวานของน้ำจืดที่ไหลผ่านท่าเรือซึ่งมาจากแม่น้ำจูหรืออาจเป็นกลิ่นจากโรงงานเครื่องหอมที่เรียงรายตามแนวชายฝั่งทางเหนือของเกาลูน เครื่องหอมและไม้หอมทั้งหมดถูกเก็บไว้ใกล้ท่าเรือแอเบอร์ดีนเป็นจำนวนมากเพื่อส่งออกก่อนที่อ่าววิกทอเรียจะได้รับการพัฒนา เซอร์จอห์น เดวิส (ผู้ว่าการอาณานิคมคนที่สอง) เสนอแนวคิดในสมมติฐานของชื่อเกาะอีกหนึ่งประการ โดยเดวิสกล่าวว่าชื่อนี้อาจมาจากคำว่า "Hoong-keang" ซึ่งหมายถึง "กระแสน้ำสีแดง" เนื่องจากสีของดินที่น้ำตกบนเกาะไหลผ่าน[28]

ชื่อ Hong Kong ในปัจจุบันเริ่มมีการใช้ใน ค.ศ. 1810 โดยในช่วงแรกนิยมเขียนติดกันเป็น Hongkong กระทั่ง ค.ศ. 1926 รัฐบาลประกาศให้เขียนเป็นสองคำแยกจากกัน จึงมีการใช้คำว่า Honk Kong อย่างเป็นทางการมานับแต่นั้น แต่บริษัทต่าง ๆ ที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงอาณาณิคมยังนิยมใช้ชื่อ Hongkong อยู่ เช่น Hongkong Land, Hongkong Electric Company, Hongkong and Shanghai Hotels และ Hongkong and Shanghai Banking Corporation (HSBC)[29] แต่ในปัจจุบันแทบไม่พบเห็นการเขียนติดกันแล้ว

ประวัติศาสตร์

[แก้]

ยุคก่อนอาณานิคม

[แก้]

"ฮ่องกง" เดิมเป็นเพียงหมู่บ้านประมงเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ในเขตอำเภอซินอัน เมืองเซินเจิ้น ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษากวางตุ้ง ซึ่งมาจากภาษาจีนกลาง ว่า "เซียงกั่ง" ความหมายก็ไม่เหมือนใคร หมายความว่า "ท่าเรือหอม" มีความเป็นมา สืบเนื่องมาแต่ครั้งที่กวางตุ้ง เป็นแหล่งปลูกไม้หอมชนิดหนึ่ง ส่งขายเป็นสินค้าออก โดยที่ต้องมาขนถ่ายสินค้ากัน ที่ท่าเรือน้ำลึกตอนใต้สุดของแผ่นดินจีน ด้วยภูมิประเทศของฮ่องกงเอง ที่เป็นเมืองท่าน้ำลึก เหมาะแก่การจอดเรือสินค้าขนาดใหญ่ จึงทำให้ฮ่องกงกลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโลก[30]

อาณานิคมสหราชอาณาจักร, การยึดครองของญี่ปุ่น และยุคสงครามเย็น

[แก้]
ภาพถ่ายฮ่องกงใน ค.ศ. 1868 โดย จอห์น ทอมสัน

เมื่อราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มีเรือของกองทัพเรือสหราชอาณาจักร นำโดยกัปตัน ชาร์ลส์ อีเลียต (อังกฤษ: Charles Elliot) แล่นผ่านน่านน้ำระหว่าง แหลมเกาลูนและเกาะแห่งหนึ่งที่ร่ำลือกันว่า เป็นที่หลบลมพายุของพวกโจรสลัด กัปตันอีเลียต เกิดได้กลิ่นหอมชนิดหนึ่ง จึงจอดเรือและขึ้นฝั่ง ส่งล่ามลงไปสอบถาม ได้ความว่าเป็นท่าเรือหอม ใช้ขนถ่ายไม้หอม กัปตันรับทราบด้วยความประทับใจ

เมื่อกัปตันอีเลียตเดินทางกลับสู่สหราชอาณาจักรและได้รับการแต่งตั้งให้ไปประจำการฝ่ายการพาณิชย์ของสหราชอาณาจักรในภาคพื้นเอเซีย ซึ่งขณะนั้นเอง ประเทศสหราชอาณาจักรซึ่งปกครองโดยพระนางวิกตอเรีย กำลังต้องการอาณานิคมในแถบทะเลจีนใต้ เพื่อใช้เป็นที่จัดส่งสินค้า หรือฝิ่นนั่นเอง และประจวบเหมาะพอดีกับที่ฝ่ายสหราชอาณาจักรและจีน กำลังมีปัญหาเรื่องการค้าฝิ่นในแถบกวางตุ้งของจีน จนทำให้เกิดสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 ขึ้นใน ค.ศ. 1839 กัปตันอีเลียตจึงตัดสินใจยกพลขึ้นบกที่ท่าเรือกลิ่นหอม และประกาศให้ดินแดนแถบนั้นเป็นของสหราชอาณาจักร ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1841 หลังจากจีนพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่น ปลายศตวรรษที่ 19 เกาะฮ่องกง และดินแดนตอนปลายคาบสมุทรเกาลูน จึงตกเป็นอาณานิคมใน ค.ศ. 1842 และ 1860 ตามลำดับ

ว่ากันว่ามีเหตุการณ์ที่น่าขัน และสร้างความขายหน้าให้กับพระราชินีวิกตอเรียยิ่งนัก ที่กองทหารสหราชอาณาจักรเข้ายึดเกาะที่มีแต่หินโสโครก หาประโยชน์ไม่ได้เลย กัปตันอีเลียตจึงถูกลงโทษด้วยการส่งไปเป็นกงสุลสหราชอาณาจักรประจำรัฐเท็กซัสแทน ต่อมาภายหลัง ตั้งแต่นั้น จีนและสหราชอาณาจักรกระทบกระทั่งกันเรื่องการค้าฝิ่นเรื่อยมา เกิดสงครามฝิ่นถึงสองครั้ง หลังสงครามฝิ่นครั้งที่สองนี่เอง สหราชอาณาจักรได้บีบบังคับให้จีนทำสัญญาใน ค.ศ. 1898 สหราชอาณาจักรได้ทำสัญญา ‘เช่าซื้อ’ พื้นที่ทางตอนใต้ของลำน้ำเซินเจิ้น ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า ‘เขตดินแดนใหม่’ (เขตนิวเทร์ริทอรีส์) รวมทั้งเกาะรอบข้าง ซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่กว่าเมื่อครั้งสหราชอาณาจักรเข้ายึดครองในสมัยสงครามฝิ่นเกือบสิบเท่า.

ธงฮ่องกงของบริเตน (ค.ศ. 1959-1997)

ผู้สำเร็จราชการคนแรกที่มาประจำยังเกาะฮ่องกง เฮนรี จอห์น เทมเพิล ไวเคานต์พาลเมอร์สตันที่ 3 เคยขนานนามเกาะแห่งนี้ไว้ว่า "หินไร้ค่า" แต่สหราชอาณาจักรได้ช่วยวางรากฐานการศึกษา การปกครอง และผังเมืองให้ฮ่องกงเป็นอย่างดี เพียงชั่วพริบตาเดียว ฮ่องกงได้กลับกลายเป็นศูนย์กลางพาณิชย์และยังเป็นประตูเปิดสู่ประเทศจีน

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองฮ่องกงของบริเตนต้องเผชิญภาวะสงคราม[31] กองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่นได้โจมตีบริเวณเกาะฮ่องกงซึ่งนำไปสู่ยุทธการที่ฮ่องกงในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ในช่วงเช้าวันเดียวกับการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์[32] หลังจากการสู้รบอย่างดุเดือดถึง 18 วัน ผู้ว่าการฮ่องกงของอังกฤษได้ประกาศยอมแพ้ต่อจักรวรรดิญี่ปุ่น และฮ่องกงต้องตกอยู่ภายใต้การยึดครองซึ่งกินเวลาเกือบสี่ปีซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์ฮ่องกง[33] ญี่ปุ่นปกครองฮ่องกงด้วยกฎอัยการศึกตามคำสั่งของรัฐบาลทหารนำโดย พลเอก เร็นสุเกะ อิโซไก[34] มีการออกกฎหมายที่เข้มงวดและกดขี่ประชาชนฮ่องกง[35] รวมถึงมีการทารุณกรรมต่อชาวจีนและฮ่องกงรวมถึงการข่มขืนสตรี[36] และการประหารชีวิตชาวฮ่องกงกว่า 10,000 ราย ทั้งยังมีการปฏิรูปการศึกษาโดยการบังคับให้เรียนภาษาญี่ปุ่น และสั่งห้ามการใช้ภาษาอังกฤษและภาษาจีนกวางตุ้ง

จุดสิ้นสุดของการยึดครองดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการยอมจำนนของญี่ปุ่นต่อฝ่ายสัมพันธมิตร นำไปสู่การยอมคืนเกาะฮ่องกงให้แก่อังกฤษในวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 1945 จากนั้น เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและประชากรเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ฮ่องกงกลายเป็นหนึ่งในสี่เสือแห่งเอเชียที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมในช่วงทศวรรษ 1950 ด้วยจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รัฐบาลอาณานิคมจึงเริ่มปฏิรูปเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะ โครงการบ้านจัดสรรสำหรับประชาชน สำนักงานคณะกรรมการอิสระต่อต้านการทุจริต และรถไฟขนส่งมวลชน ล้วนจัดตั้งขึ้นในช่วงทศวรรษหลังสงครามเพื่อให้มีที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น รวมถึงรณรงค์ด้านความซื่อสัตย์สุจริตในราชการ และพัฒนาการขนส่งเอ็มทีอาร์ (สายรถไฟฟ้า) ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น[37] แม้ว่าความสามารถในการแข่งขันของอาณาเขตในด้านการผลิตจะค่อย ๆ ลดลงเนื่องจากต้นทุนแรงงานและทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น แต่ก็เปลี่ยนไปใช้เศรษฐกิจแบบบริการ ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ฮ่องกงได้จัดตั้งตัวเองเป็นศูนย์กลางทางการเงินและศูนย์กลางการขนส่งระดับโลก[38]

ฮ่องกงเมื่อ ค.ศ. 1978

สหราชอาณาจักรเช่าฮ่องกงเป็นเวลา 99 ปี โดยกำหนดวันหมดสัญญาไว้วันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ. 1997 โดยได้ทำพิธีส่งคืนเกาะฮ่องกง ให้แก่จีนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ทั้งนี้เคยมีการเจรจาระหว่างสหราชอาณาจักรโดย นางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น กับ นายเติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำฝ่ายจีน เพื่อเจรจาขอเช่าเกาะฮ่องกงต่อแต่ได้รับการปฏิเสธ และในปีเดียวกันนั้น วันที่ 26 กันยายน ผู้นำทั้งสองจึงเปิดเจรจาอีกครั้งและลงนามในสัญญา โดยมีสาระสำคัญว่า สหราชอาณาจักรจะยอมส่งมอบคืนเกาะฮ่องกงให้กับจีน และจีนได้ให้สัญญาว่าจะยอมให้ฮ่องกง อยู่ในฐานะ "เขตปกครองตนเอง" ต่อไปได้อีก 50 ปี (สิ้นสุดในปี พ.ศ.2590)

โดยมีนายต่งเจียนหวา เป็นผู้ว่าการเขตบริหารพิเศษฮ่องกงซึ่งเป็นชาวจีนคนแรกหลังการส่งมอบอำนาจอธิปไตยเหนือฮ่องกงจากสหราชอาณาจักรไปยังประเทศจีน ทั้งนี้จีนได้ร่างรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้รัฐบาลปักกิ่งรับผิดชอบด้านกิจการต่างประเทศ การทหาร และความมั่งคงเท่านั้น ส่วนการบริหารยังคงให้อิสระแก่ชาวฮ่องกงเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามด้วยทำเลอันเหมาะสม เกาะฮ่องกงก็ยังมีบทบาทสำคัญยิ่งในศตวรรษที่ 21 ในฐานะเมืองท่าการค้าระหว่างประเทศ ฐานที่ตั้งสำคัญของผู้ผลิต และศูนย์กลางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ปัจจุบัน

[แก้]
เส้นขอบฟ้าของฮ่องกง

ภายหลังสหราชอาณาจักรส่งมอบฮ่องกงคืนแก่จีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกงต้องเผชิญวิกฤติการเงินอย่างรุนแรง รัฐบาลจำเป็นต้องใช้ทุนสำรองจำนวนมากเพื่อรักษาค่าเงินดอลลาร์ฮ่องกงในช่วงวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย[39] และได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากการระบาดทั่วของไข้หวัดนก ตามมาด้วยการระบาดของโรคซาร์ใน ค.ศ. 2002–04 ซึ่งในช่วงเวลานั้นนั้นถือว่าฮ่องกงประสบกับวิกฤติทางเศรษฐกิจครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์[40]

นับตั้งแต่ ค.ศ. 1997 เป็นต้นมา รัฐบาลมีอุดมการณ์แน่วแน่ในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยในสังคมภายใต้หลักการ "หนึ่งประเทศ สองระบบ" ทว่าการตัดสินใจของรัฐบาลกลางในการดำเนินการคัดกรองผู้ได้รับการเสนอชื่อล่วงหน้าก่อนที่จะอนุญาตให้มีการเลือกตั้งผู้บริหารระดับสูงได้ก่อให้เกิดการประท้วงหลายครั้งใน ค.ศ. 2014 ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ "การปฏิวัติร่ม"[41] ความคลาดเคลื่อนในการลงทะเบียนการเลือกตั้งและการตัดสิทธิ์สมาชิกสภานิติบัญญัติที่ได้รับการเลือกตั้งหลังการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติ ค.ศ. 2016 และการบังคับใช้กฎหมายระดับชาติในสถานีรถไฟความเร็วสูงเกาลูนตะวันตกทำให้เกิดความกังวลเพิ่มขึ้นในแง่การรักษาเอกราชของภูมิภาค[42]

ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2019 ได้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์[43] เพื่อตอบสนองต่อร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมการส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่อนุญาตให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังไต้หวัน ในขณะที่ผู้ประท้วงโต้แย้งว่าอาชญากรอาจถูกส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังจีนแผ่นดินใหญ่แทน โดยผู้นำการประท้วงอ้างว่าได้มีประชนในฮ่องกงมากกว่าสามล้านคนเข้าร่วมการประท้วง

ภูมิศาสตร์

[แก้]
Satellite image showing areas of vegetation and conurbation.
ภาพถ่ายดาวเทียมของฮ่องกง

ฮ่องกงอยู่บนชายฝั่งทางตอนใต้ของจีนห่างจากมาเก๊าไปทางตะวันออก 60 กม. (37 ไมล์) ทางด้านตะวันออกของปากแม่น้ำจู ล้อมรอบด้วยทะเลจีนใต้ทุกด้านยกเว้นทางเหนือซึ่งอยู่ติดกับเมืองเซินเจิ้นริมฝั่งแม่น้ำ Sham Chun พื้นที่ 1,110.18 ตารางกิโลเมตร (428.64 ตารางไมล์)[44] ประกอบด้วยเกาะฮ่องกง คาบสมุทรเกาลูน เขตดินแดนใหม่ เกาะลันเตา และเกาะอื่น ๆ อีกกว่า 200 เกาะ จากพื้นที่ทั้งหมด 1,073 ตารางกิโลเมตร[45] (414 ตารางไมล์) เป็นที่ดิน และ 35 ตารางไมล์ (14 ตารางไมล์) เป็นน้ำ จุดที่สูงที่สุดของอาณาเขตคือยอดเขาไท่โม่ชานซึ่งอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 957 เมตร (3,140 ฟุต)[46] การพัฒนาเมืองกระจุกตัวอยู่ที่คาบสมุทรเกาลูน เกาะฮ่องกง และในเมืองใหม่ ๆ ทั่วดินแดนใหม่ ส่วนใหญ่สร้างขึ้นบนที่ดิน 70 รางกิโลเมตร (27 ตารางไมล์) (6% ของที่ดินทั้งหมดหรือประมาณ 25% ของพื้นที่พัฒนาแล้วในอาณาเขต)[47]

ภูมิประเทศที่ยังไม่พัฒนาเป็นเนินเขาถึงภูเขา มีที่ราบน้อยมาก และส่วนใหญ่ประกอบด้วยทุ่งหญ้า ป่าไม้ ไม้พุ่ม หรือพื้นที่เกษตรกรรม ประมาณ 40% ของพื้นที่ที่เหลือเป็นสวนสาธารณะและเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ ฮ่องกงมีระบบนิเวศที่หลากหลาย มีพืชมากกว่า 3,000 สายพันธุ์บนเกาะนี้ (300 สายพันธุ์มีถิ่นกำเนิดในฮ่องกง)[48] และแมลง นก รวมถึงสัตว์น้ำหลายพันชนิดเนืองจากอยู่ติดแหล่งน้ำขนาดใหญ่[49]

ภูมิอากาศ

[แก้]

ฤดูร้อนอากาศร้อนชื้น มีอุณหภูมิอยู่ระหว่าง 26-30 องศาเซลเซียส ฤดูหนาวอากาศเย็นสบายและแห้ง น้อยครั้งที่จะมีอุณหภูมิต่ำกว่า 5 องศาเซลเซียส เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายนฝนตกชุกและมีลมแรง ฤดูร้อนมักเกิดลมมรสุม

ข้อมูลภูมิอากาศของฮ่องกง
เดือน ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ทั้งปี
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก °C (°F) 26.9
(80.4)
28.3
(82.9)
30.1
(86.2)
33.4
(92.1)
35.5
(95.9)
35.6
(96.1)
35.7
(96.3)
36.1
(97)
35.2
(95.4)
34.3
(93.7)
31.8
(89.2)
28.7
(83.7)
36.1
(97)
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) 18.6
(65.5)
18.9
(66)
21.4
(70.5)
25.0
(77)
28.4
(83.1)
30.2
(86.4)
31.4
(88.5)
31.1
(88)
30.1
(86.2)
27.8
(82)
24.1
(75.4)
20.2
(68.4)
25.6
(78.1)
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F) 16.3
(61.3)
16.8
(62.2)
19.1
(66.4)
22.6
(72.7)
25.9
(78.6)
27.9
(82.2)
28.8
(83.8)
28.6
(83.5)
27.7
(81.9)
25.5
(77.9)
21.8
(71.2)
17.9
(64.2)
23.24
(73.84)
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) 14.5
(58.1)
15.0
(59)
17.2
(63)
20.8
(69.4)
24.1
(75.4)
26.2
(79.2)
26.8
(80.2)
26.6
(79.9)
25.8
(78.4)
23.7
(74.7)
19.8
(67.6)
15.9
(60.6)
21.4
(70.5)
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก °C (°F) 0.0
(32)
2.4
(36.3)
4.8
(40.6)
9.9
(49.8)
15.4
(59.7)
19.2
(66.6)
21.7
(71.1)
21.6
(70.9)
18.4
(65.1)
13.5
(56.3)
6.5
(43.7)
4.3
(39.7)
0.0
(32)
ปริมาณฝน มม (นิ้ว) 24.7
(0.972)
54.4
(2.142)
82.2
(3.236)
174.7
(6.878)
304.7
(11.996)
456.1
(17.957)
376.5
(14.823)
432.2
(17.016)
327.6
(12.898)
100.9
(3.972)
37.6
(1.48)
26.8
(1.055)
2,398.4
(94.425)
ความชื้นร้อยละ 74 80 82 83 83 82 81 81 78 73 71 69 78.0
วันที่มีฝนตกโดยเฉลี่ย (≥ 0.1 mm) 5.37 9.07 10.90 12.00 14.67 19.07 17.60 16.93 14.67 7.43 5.47 4.47 137.65
จำนวนชั่วโมงที่มีแดด 143.0 94.2 90.8 101.7 140.4 146.1 212.0 188.9 172.3 193.9 180.1 172.2 1,835.6
แหล่งที่มา: Hong Kong Observatory (normals 1981–2010, extremes 1884–1939 and 1947–present)[50][51]

การเมืองการปกครอง

[แก้]
จอห์น ลี ผู้บริหารสูงสุดฮ่องกงคนปัจจุบัน[52][53][54]
สภานิติบัญญัติฮ่องกง

ฮ่องกงเป็นเขตบริหารพิเศษที่ขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง รัฐบาลจีนใช้นโยบาย "หนึ่งประเทศ สองระบบ" ปกครองฮ่องกง ตามกฎหมายพื้นฐานที่ใช้ปกครองและบริหารฮ่องกงที่สภาประชาชนจีนอนุมัติและประกาศใช้เป็นกฎหมายเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1990 ให้สิทธิฮ่องกงในการปกครองตนเองอย่างอิสระ สามารถดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจ การค้า การเงิน การพาณิชย์ ฯลฯ ได้ตามระบบเสรี รัฐบาลจีนได้กำหนดให้ฮ่องกงสามารถดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเสรีต่อไปได้อีกเป็นเวลา 50 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1997 จนไปถึง 30 มิถุนายน ค.ศ. 2047[55][56]

การบริหารของรัฐบาลแบ่งออกเป็น:

  • ฝ่ายบริหาร: ผู้บริหารสูงสุดฮ่องกง มีหน้าที่รับผิดชอบในการบังคับใช้กฎหมายระดับภูมิภาค สามารถบังคับให้มีการพิจารณากฎหมายใหม่ และแต่งตั้งสมาชิกสภาบริหารและเจ้าหน้าที่หลัก รวมถึงรักษาการกับคณะมนตรีบริหาร หัวหน้าผู้บริหารในสภาสามารถเสนอร่างกฎหมายใหม่ ออกกฎหมายรอง และมีอำนาจในการยุบสภา
  • สภานิติบัญญัติ: สภานิติบัญญัติฮ่องกง มีสภาเดียวมีหน้าที่ออกกฎหมายระดับภูมิภาค อนุมัติงบประมาณ และมีอำนาจฟ้องร้องผู้บริหารระดับสูง[57]
  • ตุลาการ: ศาลอุทธรณ์และศาลล่างมีอำนาจตีความกฎหมาย และยกเลิกกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมายพื้นฐาน ผู้พิพากษาได้รับการแต่งตั้งโดยหัวหน้าผู้บริหารตามคำแนะนำของคณะกรรมการ

ผู้บริหารสูงสุดฮ่องกงเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร ทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลและดำรงตำแหน่งสูงสุดได้สองวาระไม่เกินห้าปี โดยมีคณะมนตรีรัฐกิจสาธารณรัฐประชาชนจีน ทำหน้าที่แต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงซึ่งได้รับเสนอชื่อโดยคณะผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งของฮ่องกง ซึ่งประกอบด้วยผู้นำธุรกิจ ชุมชน และรัฐบาลจำนวน 1,200 คน[58]

สภานิติบัญญัติมีสมาชิก 70 คน แต่ละคนมีวาระการดำรงตำแหน่งสี่ปี[59] จำนวน 35 คนจะได้รับเลือกโดยตรงจากเขตเลือกตั้งทางภูมิศาสตร์ 30 คนได้รับเลือกจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่จำกัดซึ่งเป็นตัวแทนของภาคเศรษฐกิจหรือกลุ่มผลประโยชน์พิเศษ และสมาชิกที่เหลืออีก 5 คนได้รับการเสนอชื่อจากสมาชิกสภาเขต

ฮ่องกงมีพรรคการเมือง 22 พรรค ซึ่งพรรคเหล่านี้มีการแบ่งแยกตามอุดมการณ์ออกเป็นสามกลุ่มหลักได้แก่[60] กลุ่มสนับสนุนค่ายปักกิ่ง (รัฐบาลปัจจุบัน) กลุ่มสนับสนุนประชาธิปไตย และกลุ่มท้องถิ่น พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่มีสถานะทางการเมืองอย่างเป็นทางการในฮ่องกง และสมาชิกของพรรคไม่มีสิทธิ์ลงสมัครรับเลือกตั้งในท้องถิ่น[61] ฮ่องกงเป็นตัวแทนในสภาประชาชนแห่งชาติโดยผู้แทน 36 คนที่ได้รับการคัดเลือกผ่านวิทยาลัยการเลือกตั้งและผู้แทน 203 คนในการประชุมปรึกษาหารือทางการเมืองของประชาชนจีนซึ่งแต่งตั้งโดยรัฐบาลกลาง

ศาลอุทธรณ์สูงสุดฮ่องกง

โดยทั่วไปแล้วกฎหมายภายในประเทศของจีนไม่มีผลบังคับใช้ในภูมิภาคนี้ และฮ่องกงจะถือว่าเป็นเขตอำนาจศาลที่แยกจากกัน[62] ระบบตุลาการตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายจารีตประเพณี สืบสานประเพณีทางกฎหมายที่จัดตั้งขึ้นระหว่างการปกครองของอังกฤษ ศาลท้องถิ่นอาจอ้างถึงแบบอย่างที่กำหนดไว้ในกฎหมายอังกฤษและนิติศาสตร์ในต่างประเทศ[63] อย่างไรก็ตาม กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในจีนแผ่นดินใหญ่มีผลบังคับใช้กับกรณีที่สำนักงานปกป้องความมั่นคงแห่งชาติใช้สอบสวนคดี การตีความและแก้ไขอำนาจเหนือกฎหมายพื้นฐานและเขตอำนาจศาลเหนือการกระทำของรัฐอยู่ที่ผู้มีอำนาจส่วนกลาง ทำให้ศาลระดับภูมิภาคในท้ายที่สุดอยู่ใต้บังคับบัญชาของระบบกฎหมายแพ่งสังคมนิยมของแผ่นดินใหญ่ การตัดสินใจของคณะกรรมการประจำสภาประชาชนแห่งชาติมีผลเหนือกระบวนการยุติธรรมในอาณาเขต[64] นอกจากนี้ ในสถานการณ์ที่คณะกรรมการประจำประกาศภาวะฉุกเฉินในฮ่องกง สภาแห่งรัฐอาจบังคับใช้กฎหมายระดับชาติควบคุมสถานการณ์

ผู้เดินทางระหว่างฮ่องกง, จีน และมาเก๊าทุกคนต้องผ่านด่านควบคุมชายแดนโดยไม่คำนึงถึงสัญชาติ[65] พลเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ไม่มีสิทธิ์อาศัยอยู่ในฮ่องกงและอยู่ภายใต้การควบคุมการเข้าเมือง นโยบายการเงินสาธารณะได้รับการจัดการแยกต่างหากจากรัฐบาลแห่งชาติ

การแบ่งเขตการปกครอง

[แก้]
แผนที่แสดงการแบ่งเขตการปกครองของฮ่องกง

อาณาเขตแบ่งออกเป็น 18 เขต แต่ละเขตเป็นตัวแทนของสภาเขต และมีส่วนช่วยในการแนะนำรัฐบาลในประเด็นการแก้ปัญหาท้องถิ่น เช่น การจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะ การบำรุงรักษาโปรแกรมชุมชน การส่งเสริมวัฒนธรรม และนโยบายสิ่งแวดล้อม มีที่นั่งสภาเขตทั้งหมด 479 ที่นั่ง[66] โดย 452 ที่นั่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีประธานคณะกรรมการชนบทซึ่งเป็นตัวแทนของหมู่บ้านและปริมณฑลรอบนอก

นโยบายต่างประเทศ

[แก้]

รัฐบาลกลางและกระทรวงการต่างประเทศรับผิดชอบด้านการทูต ฮ่องกงมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในองค์การการค้าโลก ฟอรัมความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก คณะกรรมการโอลิมปิกสากล และหน่วยงานของสหประชาชาติหลายแห่ง รัฐบาลระดับภูมิภาคมีสำนักงานการค้าในจีนแผ่นดินใหญ่และประเทศอื่น ๆ การบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติของฮ่องกงโดยรัฐบาลกลางในกรุงปักกิ่งในเดือนมิถุนายน 2020 ส่งผลให้มีการระงับสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนแบบทวิภาคีโดยสหราชอาณาจักร แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฟินแลนด์ และไอร์แลนด์[67] สหรัฐอเมริกายุติการปฏิบัติพิเศษทางเศรษฐกิจและการค้าของฮ่องกงในเดือนกรกฎาคม 2020 เนื่องจากไม่สามารถแยกฮ่องกงว่าเป็นหน่วยงานที่แยกจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้อีกต่อไป[68]

ปัญหา

[แก้]
การประท้วงในฮ่องกง พ.ศ. 2562–2563

ฮ่องกงอยู่ภายใต้การปกครองผสมที่ไม่ได้เป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมด[69] สมาชิกสภานิติบัญญัติซึ่งมาจากการเลือกตั้งตามเขตเลือกตั้งที่ประกอบด้วยกลุ่มอาชีพและกลุ่มข้าราชการเฉพาะไม่ใช่ประชาชนทั่วไป การจัดการเลือกตั้งรับประกันว่าเสียงข้างมากในฝ่ายนิติบัญญัติจะได้รับการสนับสนุนตั้งแต่การโอนอำนาจอธิปไตย ในทำนองเดียวกัน ผู้บริหารระดับสูงได้รับเลือกจากนักการเมืองที่ตั้งขึ้นและสมาชิกองค์กรของคณะกรรมการการเลือกตั้งมากกว่าที่จะมาจากการเลือกตั้งโดยตรง แม้ว่าการออกเสียงลงคะแนนสากลสำหรับผู้บริหารระดับสูงและการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติทั้งหมดจะเป็นเป้าหมายที่กำหนดไว้ในมาตรา 45 และ 68 ของกฎหมายขั้นพื้นฐาน สภานิติบัญญัติได้รับการเลือกตั้งโดยตรงเพียงบางส่วนเท่านั้น และผู้บริหารยังคงได้รับการเสนอชื่อโดยหน่วยงานที่ไม่เป็นตัวแทนอยู่ รัฐบาลได้รับการร้องเรียนหลายครั้งให้มีการปฏิรูประบบดังกล่าว[70][71]

ชนกลุ่มน้อยและชาติพันธุ์อื่น ๆ (ยกเว้นกลุ่มชาติพันธุ์ในยุโรป) มีส่วนร่วมเพียงเล็กน้อยในการบริหารงานของรัฐบาล[72] และมักประสบกับการเลือกปฏิบัติในด้านที่อยู่อาศัย การศึกษา และการจ้างงาน[73] การสมัครงานและการใช้บริการสาธารณะมักมีข้อกำหนดด้านภาษา และทรัพยากรการศึกษาภาษายังคงไม่เพียงพอสำหรับผู้ศึกษาภาษาจีน[74] ผู้ช่วยแม่บ้านชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสตรีจากฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ได้รับการคุ้มครองเพียงเล็กน้อยภายใต้กฎหมายระดับภูมิภาค แม้ว่าจะอาศัยและทำงานในฮ่องกง แต่คนงานเหล่านี้ไม่ถือว่ามีฐานะเป็นบุคคลและไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ในดินแดน การค้ามนุษย์และการขดขี่ทางเพศในฮ่องกงยังคงเป็นปัญหา[75][76] ผู้หญิงและเด็กหญิงชาวฮ่องกงและชาวต่างชาติถูกบังคับให้ค้าประเวณีในซ่องโสเภณี บ้าน และธุรกิจต่าง ๆ ในเมือง[77][78]

ปฏิญญาร่วมรับรองกฎหมายพื้นฐานของฮ่องกงเป็นเวลา 50 ปีหลังจากการโอนอำนาจอธิปไตย ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าฮ่องกงจะถูกปกครองอย่างไรหลัง ค.ศ. 2047[79] และบทบาทของรัฐบาลกลางในการกำหนดระบบการปกครองในอนาคตของดินแดนแห่งนี้เป็นหัวข้อของการอภิปรายและการแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองถึงปัจจุบัน ระบบการเมืองและตุลาการของฮ่องกงอาจรวมเข้ากับระบบของจีนในขณะนั้น หรืออาจบริหารอาณาเขตต่อไปแยกกัน[80] อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่มีการประท้วงครั้งใหญ่ในปี 2020 คณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาประชาชนแห่งชาติ (National People's Congress) ได้ผ่านร่างกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติฮ่องกงที่เป็นประเด็นถกเถียง[81] และได้จัดตั้งสำนักงานเพื่อการปกป้องความมั่นคงแห่งชาติซึ่งเป็นสำนักงานสืบสวนภายใต้อำนาจของรัฐบาลกลางซึ่งได้รับการยกเว้นจากเขตอำนาจศาล สหราชอาณาจักรถือว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นการละเมิดปฏิญญาร่วมอย่างร้ายแรง[82] ในเดือนตุลาคม 2020 ตำรวจฮ่องกงจับกุมนักการเมืองที่สนับสนุนประชาธิปไตย 7 คน ฐานทะเลาะวิวาทกับนักการเมืองที่สนับสนุนรัฐบาลจีนในเดือนพฤษภาคม พวกเขาถูกตั้งข้อหาดูหมิ่นและก่อกวนการทำหน้าที่สมาชิกสภา[83]

เศรษฐกิจ

[แก้]

ความไม่เท่าเทียมกันของรายได้เพิ่มขึ้นตั้งแต่การโอนอำนาจอธิปไตย เนื่องจากประชากรสูงอายุในภูมิภาคนี้ค่อย ๆ เพิ่มจำนวน แม้ว่ารายได้เฉลี่ยของครัวเรือนจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2016 แต่ช่องว่างทางรายได้ยังคงสูง ฮ่องกงมีจำนวนมหาเศรษฐีอาศัยอยู่มากที่สุด โดยคิดเป็นอัตราหนึ่งต่อ 109,657 คน[84] แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามลดความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มมากขึ้น

โครงสร้าง

[แก้]
ดมีตรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซีย และนาย โรนัลด์ อาร์คุลลี่ ประธานตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงใน ค.ศ. 2011

ฮ่องกงมีเศรษฐกิจบริการแบบผสมผสานแบบเน้นทุนนิยม โดยมีการเก็บภาษีต่ำ มีการแทรกแซงตลาดของรัฐบาลเพียงเล็กน้อย เศรษฐกิจของฮ่องกงอยู่ในอันดับต้น ๆ ของดัชนีเสรีภาพทางเศรษฐกิจของมูลนิธิเฮอริเทจตั้งแต่ปี 1995 ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลก โดยมีมูลค่าตามราคาตลาดอยู่ที่ 30.4 ล้านล้านเหรียญฮ่องกง (3.87 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) ณ เดือนธันวาคม 2018[85]

ฮ่องกงเป็นองค์กรการค้าที่ใหญ่เป็นอันดับ 10 ในการส่งออกและนำเข้า (2017) โดยซื้อขายสินค้าที่มีมูลค่ามากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ กว่าครึ่งของปริมาณการขนส่งสินค้าประกอบด้วยการถ่ายลำ (สินค้าที่เดินทางผ่านฮ่องกง) ผลิตภัณฑ์จากจีนแผ่นดินใหญ่มีสัดส่วนประมาณ 40% ที่ตั้งของเมืองอนุญาตให้สร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ซึ่งรวมถึงท่าเรือที่พลุกพล่านที่สุดอันดับเจ็ดของโลก และมีท่าอากาศยานที่พลุกพล่านที่สุดสำหรับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ตลาดส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของอาณาเขตคือจีนแผ่นดินใหญ่และสหรัฐอเมริกา คู่ค้าสำคัญในกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แก่ สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ฮ่องกงยังเป็นตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราใหญ่อันดับ 7 และเป็นตลาดค้าทองคำขนาดใหญ่หนึ่งในสี่ของโลก นอกจากนี้ ฮ่องกงยังเป็นเขตการส่งออกสินค้าทั่วโลก อาทิ เสื้อผ้าสำเร็จรูป นาฬิกา ของเล่น เกมคอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอุตสาหกรรมขนาดเบาอีกหลายชนิด[86][87][88]

ฮ่องกงเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหมทางทะเลที่ไหลจากชายฝั่งจีนผ่านคลองสุเอซไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน[89] ซึ่งมีเส้นทางรถไฟไปยังยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก[90][91] ฮ่องกงมีที่ดินทำกินน้อยและมีทรัพยากรธรรมชาติน้อย ต้องนำเข้าอาหารและวัตถุดิบส่วนใหญ่ อาหารฮ่องกงมากกว่า 90% ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ รวมทั้งเนื้อสัตว์และข้าวเกือบทั้งหมดรวมทั้งจากประเทศไทย[92] กิจกรรมทางการเกษตรคือ 0.1% ของจีดีพีและประกอบด้วยการปลูกพืชและพันธุ์ไม้ดอก[93]

ระหว่างปี 1961 ถึง 1997 ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของฮ่องกงเพิ่มขึ้น 180 เท่า และจีดีพีต่อหัวเพิ่มขึ้น 87 เท่า[94][95] จีดีพีฮ่องกงเทียบกับจีนแผ่นดินใหญ่สูงสุดที่ 27% ในปี 1993 ลดลงเหลือน้อยกว่า 3% ในปี 2017 เนื่องจากจีนแผ่นดินใหญ่พัฒนาการเปิดเสรีเศรษฐกิจ การบูรณาการทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานกับจีนเพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่การเปิดเสรีตลาดบนแผ่นดินใหญ่ในปี 1978 นับตั้งแต่เริ่มให้บริการรถไฟข้ามพรมแดนอีกครั้งในปี 1979 ทางเชื่อมทางรถไฟและถนนจำนวนมากได้รับการปรับปรุงและสร้าง อำนวยความสะดวกในการค้าระหว่างภูมิภาคต่าง ๆ ข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้นได้กำหนดนโยบายการค้าเสรีระหว่างสองพื้นที่อย่างเป็นทางการ โดยแต่ละเขตอำนาจให้คำมั่นว่าจะขจัดอุปสรรคที่เหลืออยู่ในการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดน

รัฐบาลอาณานิคมมีนโยบายอุตสาหกรรมเพียงเล็กน้อยและแทบไม่มีการควบคุมการค้า ภายใต้หลักคำสอนของ "การไม่แทรกแซงภาคธุรกิจ" การบริหารประเทศหลังสิ้นสุดสงครามจงใจหลีกเลี่ยงการจัดสรรทรัพยากรโดยตรง การแทรกแซงอย่างแข็งขันถือว่าเป็นอันตรายต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่เศรษฐกิจเปลี่ยนไปเป็นพื้นฐานการบริการในช่วงทศวรรษ 1980 รัฐบาลอาณานิคมในช่วงปลายได้แนะนำนโยบายการแทรกแซง การบริหารหลังการส่งมอบยังคงดำเนินต่อไปและขยายโครงการเหล่านี้ รวมถึงการค้ำประกันการส่งออก, โครงการบำเหน็จบำนาญภาคบังคับ, ค่าแรงขั้นต่ำ, กฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติ และผู้สนับสนุนการจำนองของรัฐ[96]

การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

[แก้]

การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในฮ่องกงสามารถทำได้โดยเสรี เงินดอลลาร์ฮ่องกง (Hong Kong Dollar) เป็นสกุลเงินที่สามารถแลกเปลี่ยนกับเงินตราต่างประเทศได้ อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันทางการฮ่องกงได้กำหนดให้เงินดอลลาร์ฮ่องกงมีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (Fixed Rate) กับเงินดอลลาร์สหรัฐ (แต่เพิ่มสูง/ต่ำกว่าอัตราที่กำหนดได้เล็กน้อย) อัตราแลกเปลี่ยนในเดือนมกราคม ค.ศ. 2022 คือ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 7.79 ดอลลาร์ฮ่องกง[97] 1หยวนจีน เท่ากับ 1.22ดอลลาร์ฮ่องกง และ 1 ปอนด์สเตอร์ลิงก์ เท่ากับ 10.45ดอลลาร์ฮ่องกง (อัตราซื้อขายโดยเฉลี่ย) ธนบัตรของฮ่องกงพิมพ์โดยธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ ธนาคารเอชเอสบีซี และธนาคารแห่งประเทศจีน

การท่องเที่ยว

[แก้]

ฮ่องกงเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางด้านสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างเห็นได้ชัด ทั้งตึกสูงระฟ้า อาคารทันสมัย ตลาดขายของพื้นเมือง ตลาดขายของเก่า วัดวาอาราม หรือแม้แต่แปลงปลูกผัก จากความหลากหลายเหล่านี้จึงทำใหฮ่องกงมีมนต์เสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างมากมาย นักท่องเที่ยวสามารถพบกับสิ่งที่น่าสนใจและหลากหลาย โดยเราสามารถแบ่งเขตท่องเที่ยวสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลัก ๆ ออกเป็น 3 เขต คือ เกาะฮ่องกง ฝั่งเกาลูน เขตนิวเทอร์ริทอรี่ส์ และหมู่เกาะต่าง ๆ

  • ย่านเซ็นทรัล (Central)

เขตเซ็นทรัลเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจของฮ่องกง เป็นที่ตั้งของบริษัทธุรกิจชั้นนำของเอเชีย ธนาคารนานาชาติ สำนักงานใหญ่ของรัฐบาล และอาคารศาลสูงสุด พื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยตึกสูงระฟ้า ที่เป็นอาคารสำนักงานและศูนย์การค้าอันทันสมัย ตลอดจนโรงแรมระดับ 5 ดาว อาคารที่มีชื่อเสียงที่ตั้งอยู่ในย่านเซ็นทรัลนี้ ได้แก่ อาคาร Bank of China Tower ออกแบบโดย I.M. Pei และ อาคาร HongKong Bank ออกแบบโดย Sir Norman Foster ท่ามกลางความทันสมันเหล่านี้ยังมีถนนแบบขั้นบันไดอันเก่าแก่ ซึ่งได้รับการบันทึกว่าเป็นทางเลื่อนต่อเนื่องที่ยาวที่สุดในโลก และนอกจากนี้เรายังสามารถพบเห็นสวนสาธารณะที่ร่มรื่นเขียวขจีแทรกตัวอยู่ทั่วไป นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมายังเขตเซ็นทรัลได้โดยรถไฟใต้ดิน ลงสถานี Central หรือ สถานี Hongkong

ถนนนาธานในย่านจิ๊มซ้าโจ๋ย หนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวและเขตเศรษฐกิจที่สำคัญของฮ่องกง

ฮ่องกงมีชื่อเสียงในด้านการเป็นแหล่งชอปปิ้ง โดยย่านที่มีชื่อเสียง เช่น ถนนนาธาน (จิมซ้าโจ๋ย) ย่านเซ็นทรัล เป็นต้น แหล่งท่องเที่ยวอื่น ๆ เช่น สวนสนุก ฮ่องกง ดิสนีย์แลนด์ รีสอร์ท สวนสนุกโอเชียนปาร์ค วิกตอเรียพีค พระใหญ่วัดโปลิน(พระไวโรจนพุทธะ) วัดหวังต้าเซียน อ่าวน้ำตื้น Repulse Bay นอกจากนั้นยังมีการแสดง Symphony of lights ซึ่งเป็นมัลติมีเดียโชว์ที่ติดตั้งถาวรใหญ่ที่สุดในโลก

นโยบายการค้า

[แก้]

ฮ่องกงดำเนินนโยบายการค้าเสรีและเป็นเมืองท่าเสรี การดำเนินการค้าแบบเสรีมาตั้งแต่เดิมจนถึงปัจจุบันติดต่อกันมาเป็นเวลานาน ทำให้ฮ่องกงมีมูลค่าการค้าระหว่างประเทศมากเป็นอันดับที่ 9 ของโลก รวมทั้งเป็นศูนย์กลางการพาณิชย์และการเงินที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ ฮ่องกงยังเป็นส่วนหนึ่งของขุมพลังทางเศรษฐกิจที่สำคัญของจีนในเขตเศรษฐกิจสามเหลี่ยมปากแม่น้ำซูเจียง หรือแม่น้ำเพิร์ล อันเปรียบเสมือนประตูการค้าเข้าสู่สาธารณรัฐประชาชนจีน

ในปัจจุบันฮ่องกงเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก โดยใช้ชื่อในฐานะสมาชิกขององค์การการค้าโลกว่า "Hong Kong, China" ซึ่งเป็นสมาชิกแยกต่างหากจากจีน นอกจากนั้น ฮ่องกงยังเป็นสมาชิกในองค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ ด้วย คือ APEC, PECC, ADB, WCO, ESCAP รวมทั้งเป็นผู้สังเกตการณ์ใน OECD ด้วย

จากการดำเนินนโยบายการค้าแบบเสรีและเป็นเมืองท่าเสรี ฮ่องกงจึงไม่มีการจัดเก็บภาษีศุลกากรในการนำเข้าและส่งออก แต่มีการเก็บภาษีสรรพสามิต (Excise Duty) สินค้า 3 หมวด คือ สินค้าเครื่องดึ่มผสมแอลกอฮอล์และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ ใบยาสูบ และหมวดผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิง

Skyline at night, with building lights reflected in water
ภูมิทัศน์ของฮ่องกงเมื่อมองจากริมอ่าววิกทอเรีย

โครงสร้างพื้นฐาน

[แก้]

คมนาคม และโทรคมนาคม

[แก้]
รถรางฮ่องกง

ฮ่องกงเป็นเมืองที่มีการพัฒนาด้านเครือข่ายการคมนาคมขนส่งสูงทั้งของรัฐ และเอกชน การเดินทางในแต่ละวันของชาวฮ่องกง 90% เป็นการใช้ขนส่งสาธารณะ และทำให้ฮ่องกงเป็นเมืองหนึ่งที่มีขนส่งสาธารณะครอบคลุมและมีประสิทธิภาพเมืองหนึ่งของโลก เพื่อความสะดวกสบายจึงมีบัตรเงินสดอ็อคโทปัส เป็นบัตรที่ไว้ใช้จ่ายค่าโดยสารรถไฟ รถราง รถบัส เรือข้ามฟาก และยังสามารถใช้ได้ที่ร้านสะดวกซื้อกับร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดเช่นกัน

บันไดเลื่อนและทางเดินกลางในฮ่องกง

The Peak Tram ซึ่งเป็นระบบขนส่งสาธารณะระบบแรกของฮ่องกง ให้บริการรถรางไฟฟ้าระหว่างเซ็นทรัลและวิกตอเรียพีคตั้งแต่ ค.ศ. 1888[98] เขตภาคกลางและตะวันตกมีระบบบันไดเลื่อนและทางเท้าที่กว้างขวาง รวมถึงบันไดเลื่อนและทางเดินกลาง (ระบบบันไดเลื่อนกลางแจ้งที่ยาวที่สุดในโลก) Hong Kong Tramways ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของเกาะฮ่องกง รถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (MTR) เป็นเครือข่ายรถไฟโดยสารที่ครอบคลุม เชื่อมต่อสถานีรถไฟใต้ดิน 93 แห่งทั่วอาณาเขต ด้วยจำนวนผู้โดยสารมากกว่าห้าล้านคนต่อวัน ระบบให้บริการ 41% ของผู้โดยสารระบบขนส่งสาธารณะทั้งหมดในเมือง และมีอัตราตรงเวลา 99.9%[99] บริการรถไฟข้ามพรมแดนไปยังเซินเจิ้นให้บริการโดยรถไฟสายตะวันออก และรถไฟระหว่างเมืองระยะไกลไปยังกวางโจว เซี่ยงไฮ้ และปักกิ่งดำเนินการจากสถานีฮุงฮอม มีบริการเชื่อมต่อระบบรถไฟความเร็วสูงแห่งชาติที่สถานีรถไฟเกาลูนตะวันตก[100]

ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกงเป็นสนามบินหลักของอาณาเขต สายการบินกว่า 100 แห่งให้บริการเที่ยวบินจากสนามบิน รวมทั้งคาเธ่ย์แปซิฟิค, ฮ่องกงแอร์ไลน์[101] และสายการบินต้นทุนต่ำฮ่องกงเอ็กซเพรส และสายการบินขนส่งสินค้าแอร์ฮ่องกง เป็นสนามบินที่พลุกพล่านที่สุดอันดับที่ 8 ของโลกในแง่จำนวนผู้โดยสาร และรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าทางอากาศมากที่สุดในโลก

อินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์มีให้บริการอย่างแพร่หลาย โดย 92.6% ของครัวเรือนสามารถเข้าถึงการเชื่อมต่อ[102] การเชื่อมต่อผ่านโครงสร้างพื้นฐานไฟเบอร์ออปติกเป็นที่แพร่หลายมากขึ้น ทำให้มีความเร็วในการเชื่อมต่อเฉลี่ยในภูมิภาคสูงถึง 21.9 Mbit/s (เร็วที่สุดเป็นอันดับสี่ของโลก) การใช้โทรศัพท์มือถือแพร่หลายเช่นกัน[103] โดยฮ่องกงมีการลงทะเบียนโทรศัพท์มือถือมากกว่า 18 ล้านบัญชี มากกว่าสองเท่าของจำนวนประชากรทั้งหมด

วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี

[แก้]

จากการพัฒนาพื้นที่ปกครองอย่างรวดเร็วหลังสิ้นสุดการยึดครองของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลก กอปรกับการได้รับวัฒนธรรมและความเจริญทางเทคโนโลยีของสหราชอาณาจักรทำให้ฮ่องกงพัฒนาขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่เป็นหนึ่งในสี่เสือแห่งเอเชียในทศวรรษ 1950 ฮ่องกงมีชื่อเสียงในด้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์, เครื่อใช้ไฟฟ้า รวมถึงเทคโนโลยีชีวภาพ และการแพทย์ของฮ่องกงยังได้รับการยกย่องว่ามีมาตรฐานระดับโลก[104] พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ฮ่องกงมีชื่อเสียงจากการจัดนิทรรศการนานาชาติมากกว่า 500 งาน รวมถึงการแสดงหุ่นยนต์และความเป็นจริงเสมือน

ใน ค.ศ. 2006 วงการแพทย์ของฮ่องกงสร้างชื่อเสียงจากการค้นพบวิธีการห้ามเลือดได้ในชั่วพริบตา[105] จากการรายงานการวิจัยในวารสาร Nanomedicine (การแพทย์นาโน) ซึ่งเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตระบุว่านักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยฮ่องกงและสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ของสหรัฐฯ กำลังค้นคว้าวิธีใหม่ในการห้ามเลือดระหว่างการผ่าตัดด้วยของเหลวเทคโนโลยีชั้นสูงที่มีส่วนผสมของเปปไทด์ ซึ่งยังช่วยร่นระยะเวลาการผ่าตัดได้อย่างมาก นอกจากนี้ นับตั้งแต่เกิดการระบาดทั่วของไวรัสโคโรนา ทีมแพทย์ฮ่องกงยังมีส่วนสำคัญในการร่วมวิจัยและพัฒนาประสิทธิภาพวัคซีนไฟเซอร์[106]

สาธารณูปโภค

[แก้]

ฮ่องกงผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่จากผู้ผลิตท้องถิ่น[107] พลังงานส่วนใหญ่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล โดย 46% มาจากถ่านหินและ 47% มาจากปิโตรเลียม ส่วนที่เหลือมาจากการนำเข้าอื่น ๆ รวมถึงพลังงานนิวเคลียร์ที่ผลิตในจีนแผ่นดินใหญ่ แหล่งพลังงานหมุนเวียนมีพลังงานเพียงเล็กน้อยที่สร้างขึ้นได้เอง แหล่งพลังงานลมขนาดเล็กได้รับการพัฒนาเล็กน้อย และบ้านส่วนตัวและอาคารสาธารณะจำนวนเล็กน้อยได้ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์

จากการมีความหนาแน่นของประชากรสูง แต่มีแหล่งน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการ ส่งผลให้ประชากรฮ่องกงประสบปัญหาการเข้าถึงแหล่งน้ำ และมีปริมาณน้ำฝนไม่เพียงพอในบางปี แม่น้ำตงเจียงในกวางตุ้งเป็นแหล่งจ่ายน้ำ 70% ในเขตเมืองฮ่องกง ห้องน้ำสาธารณะบางแห่งจะใช้น้ำทะเลซึ่งช่วยลดปริมาณการใช้น้ำจืด[108]

การศึกษา

[แก้]
มหาวิทยาลัยฮ่องกง (The University of Hong Kong)

การศึกษาในฮ่องกงยึดระบบตามแบบของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะระบบการศึกษาภาษาอังกฤษภาคบังคับ[109] เด็ก ๆ จะต้องเข้าเรียนในโรงเรียนตั้งแต่อายุ 6 ขวบจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษา โดยทั่วไปแล้วเมื่ออายุ 18 ปี เมื่อจบชั้นมัธยมศึกษา นักเรียนทุกคนทำการสอบและได้รับรางวัลประกาศนียบัตรการศึกษาระดับมัธยมศึกษาแห่งฮ่องกงเมื่อสำเร็จหลักสูตร ผู้อยู่อาศัยอายุ 15 ปีขึ้นไป 81% สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 66% จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย 32% เข้าร่วมโปรแกรมระดับอุดมศึกษาและ 24% ได้รับปริญญาตรีหรือสูงกว่า การศึกษาภาคบังคับมีส่วนทำให้อัตราการรู้หนังสือของผู้ใหญ่สูงถึง 95.7% แต่ยังต่ำกว่าประเทศพัฒนาแล้วอื่น ๆ เนื่องจากการไหลเข้าของผู้ลี้ภัยจากจีนแผ่นดินใหญ่ในช่วงยุคอาณานิคมหลังสงคราม ประชากรสูงอายุส่วนใหญ่ไม่ได้รับการศึกษาเนื่องจากภาวะสงครามและความยากจน[110]

โรงเรียนแบ่งออกเป็นสามประเภท: โรงเรียนของรัฐที่ดำเนินการโดยรัฐบาล, โรงเรียนที่ได้รับเงินอุดหนุน รวมทั้งโรงเรียนสงเคราะห์และให้ทุนจากรัฐบาล และโรงเรียนเอกชนซึ่งมักจะดำเนินการโดยองค์กรทางศาสนาและที่รับสมัครตามคุณธรรมทางวิชาการ โรงเรียนเหล่านี้อยู่ภายใต้แนวทางหลักสูตรตามที่สำนักการศึกษากำหนด โรงเรียนเอกชนที่ได้รับเงินอุดหนุนภายใต้โครงการเงินช่วยเหลือโดยตรง โรงเรียนนานาชาติอยู่นอกระบบนี้ซึ่งบริหารโดยเอกชน และอาจเลือกใช้หลักสูตรที่แตกต่างกันและสอนโดยใช้ภาษาอื่น[111]

รัฐบาลรักษานโยบายของ "การสอนภาษาแม่" โรงเรียนส่วนใหญ่ใช้ภาษาจีนกวางตุ้งเป็นสื่อกลางในการสอน โดยมีการศึกษาข้อเขียนทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ภาษาอื่น ๆ ที่ใช้เป็นสื่อการสอนในการศึกษานอกโรงเรียนนานาชาติ ได้แก่ ภาษาอังกฤษและภาษาจีนกลางมาตรฐาน (ผู่ทงฮฺว่า) โรงเรียนมัธยมศึกษาเน้นย้ำ "การรู้หนังสือสองภาษาและสามภาษา" ซึ่งสนับสนุนให้มีการศึกษาภาษาพูดภาษาจีนกลางเพิ่มมากขึ้น[112]

ฮ่องกงมีมหาวิทยาลัย 11 แห่ง มหาวิทยาลัยฮ่องกง (The University of Hong Kong) ก่อตั้งขึ้นเป็นสถาบันอุดมศึกษาแห่งแรกของเมืองในช่วงยุคอาณานิคมตอนต้นใน ค.ศ. 1911[113] Chinese University of HongKong เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยสาธารณะ ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1963 โดยกฎบัตรที่ได้รับจากสภานิติบัญญัติแห่งฮ่องกง เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับสองของฮ่องกง เป็นหนึ่งในสามสถาบันด้านการวิจัยที่ดีที่สุดของเอเชียร่วมกับ Hong Kong University of Science and Technology และ City University of Hong Kong

สาธารณสุข

[แก้]

ความคาดหมายคงชีพเฉลี่ยในฮ่องกงอยู่ที่ 82.2 ปีสำหรับผู้ชายและ 87.6 ปีสำหรับผู้หญิงในปี 2018 ซึ่งสูงเป็นอันดับหกของโลก[114] มะเร็ง โรคปอดบวม โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และอุบัติเหตุเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ระบบสาธารณสุขถ้วนหน้าได้รับทุนจากรายได้ภาษีทั่วไป และค่ารักษาพยาบาลได้รับการสนับสนุนอย่างสูง โดยเฉลี่ยแล้ว 95% ของค่ารักษาพยาบาลได้รับการคุ้มครองโดยรัฐบาล[115]

ประชากรศาสตร์

[แก้]

เชื้อชาติ

[แก้]

ฮ่องกงมีจำนวนประชากรกว่า 6.99 ล้านคน ในปี 2549 ความหนาแน่นของประชากร 6,300 คนต่อตารางกิโลเมตร ประชากรส่วนมากป็นชาวฮ่องกง มีร้อยละ 3 เป็นชาวต่างชาติ อาทิ สหราชอาณาจักร ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย อเมริกัน ฯลฯ

ระเบียบการเข้าเมือง

[แก้]

หนังสือเดินทางมีอายุใช้งานอย่างน้อย 1 เดือน นักท่องเที่ยวหลายสัญชาติจากหลายประเทศไม่ต้องขอวีซ่าตั้งแต่ 7 วัน ถึง 180 วัน ขึ้นอยู่กับสัญชาติ (สำหรับคนไทยอยู่ในฮ่องกงได้โดยไม่ต้องขอวีซ่านาน 1 เดือน)

ศาสนา

[แก้]
วัดหว่องไท่ซิน เป็นวัดในลัทธิเต๋าที่มีชื่อเสียงของฮ่องกง[116]

ในบรรดาประชากรที่นับถือศาสนา "คำสอนสามประการ" ตามประเพณีของจีน ศาสนาพุทธ ลัทธิขงจื๊อ และลัทธิเต๋า มีผู้นับถือมากที่สุด (20%) รองลงมาคือคริสต์ศาสนา (12%) และอิสลาม (4%) ผู้นับถือศาสนาอื่น ๆ รวมทั้งศาสนาซิกข์ ศาสนาฮินดู และศาสนายิว มีไม่มากนัก

ภาษา

[แก้]

ภาษากวางตุ้งซึ่งเป็นภาษาถิ่นที่มีการพูดตั้งแต่มณฑลกวางตุ้งของจีนเรื่อยมาจนถึงฮ่องกงได้กลายมาเป็นภาษาทางการของฮ่องกง[117] ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นของภาษาของเจ้าอาณานิคมก็ยังคงเป็นภาษาทางการร่วมซึ่งถูกใช้พูดมากกว่า 38 เปอร์เซ็นของประชากร ก็เป็นภาษาที่ใช้แพร่หลาย[118] ส่วนภาษาจีนท้องถิ่นอื่นเช่นแต้จิ๋ว หรือจีนแคะ ฯลฯ ก็มีไม่น้อยเช่นกัน และตั้งแต่ฮ่องกงกลับสู่ใต้การปกครองของจีนแผ่นดินใหญ่ การใช้ภาษาจีนกลางในการติดต่อก็เริ่มเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากการเข้ามาของชาวจีนแผ่นดินใหญ่และการติดต่อค้าขายระหว่างกัน ถึงแม้ว่าการใช้อักษรจีนนั้นยังนิยมใช้อักษรจีนตัวเต็มอยู่ก็ตาม นอกจากนั้นทางรัฐบาลฮ่องกงได้มีโครงการ "สองแบบอักษร สามภาษา" เพื่อสนับสนุนให้ชาวฮ่องกงใช้ภาษาทั้ง 3 ภาษาร่วมกัน คือภาษากวางตุ้ง จีนกลาง และอังกฤษ

วัฒนธรรม

[แก้]

ฮ่องกงมีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมตะวันตกและตะวันออกมาหลายศตวรรษ จากการเป็นอาณานิคมของสหราชอาณาจักร และเป็นหนึ่งในเขตบริหารพิเศษของจีน ค่านิยมแบบจีนดั้งเดิมที่เน้นเรื่องครอบครัวและการศึกษาผสมผสานกับอุดมคติของตะวันตกเป็นที่ปฏิบัติกันอย่างแพร่หลาย[119] รวมทั้งเสรีภาพทางเศรษฐกิจและหลักนิติธรรม แม้ว่าประชากรส่วนใหญ่มีเชื้อชาติจีน แต่ฮ่องกงได้พัฒนาเอกลักษณ์ที่แตกต่างออกไป อาณาเขตแยกออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ผ่านการปกครองสหราชอาณาจักรที่ยาวนานและมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันไป วัฒนธรรมกระแสหลักมาจากผู้อพยพที่มาจากส่วนต่าง ๆ ของจีน สิ่งนี้ได้รับอิทธิพลจากการศึกษาแบบอังกฤษ ระบบการเมืองที่แยกจากกัน และการพัฒนาอย่างรวดเร็วของดินแดนในปลายศตวรรษที่ 20[120]

ผู้อพยพส่วนใหญ่ในยุคนั้นหนีความยากจนและสงคราม สะท้อนให้เห็นทัศนคติที่แพร่หลายต่อความมั่งคั่ง ชาวฮ่องกงมักจะเชื่อมโยงภาพพจน์และการตัดสินใจเข้ากับผลประโยชน์ทางวัตถุ ความรู้สึกของผู้อยู่อาศัยในอัตลักษณ์ท้องถิ่นเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังการส่งมอบ ประชากรส่วนใหญ่ (52%) ระบุว่าเป็น "ชาวฮ่องกง" ในขณะที่ 11% อธิบายว่าตนเองเป็น "ชาวจีน" ประชากรที่เหลืออ้างว่ามีอัตลักษณ์ผสม 23% เป็น "ชาวฮ่องกงในจีน" และ 12% เป็น "ชาวจีนในฮ่องกง"[121]

ชาวฮ่องกงมีคตินิยมแบบชาวจีนดั้งเดิม ในการเคารพให้เกียรติผู้สูงอายุและการบูชาบรรพบุรุษ และมีคตินิยมในการนิยมการมีบุตรชายเพื่อเป็นเกียรติแก่ตระกูล[122] โดยทั่วไปสังคมฮ่องกงมีระบบครอบครัวเดี่ยว

อาหาร

[แก้]
ติ่มซำ หนึ่งในอาหารที่ได้รับนิยมในหมู่ชาวจีน[123]

อาหารในฮ่องกงมีพื้นฐานมาจากอาหารกวางตุ้งเป็นหลัก แม้ว่าดินแดนแห่งนี้จะได้รับอิทธิพลจากต่างประเทศและต้นกำเนิดที่หลากหลายของผู้อยู่อาศัยก็ตาม ข้าวเป็นอาหารหลัก และมักจะเสิร์ฟแบบธรรมดาร่วมกับอาหารอื่น ๆ โดยเน้นความสดของวัตถุดิบ สัตว์ปีกและอาหารทะเลมักขายสดในตลาดสด และมีการปรุงอย่างรวดเร็ว[124] โดยทั่วไปชาวฮ่องกงทานอาหารห้ามื้อทุกวัน: อาหารเช้า กลางวัน น้ำชายามบ่าย อาหารเย็น และซิ่วเย้ (อาหารมื้อดึก) ติ่มซำเป็นส่วนหนึ่งของอาหาร เป็นประเพณีการรับประทานอาหารนอกบ้านกับครอบครัวและเพื่อนฝูง อาหารจานเด็ด ได้แก่ โจ๊ก ชาซิ่วเป่า ซิวยุก ทาร์ตไข่ และพุดดิ้งมะม่วง อาหารตะวันตกแบบท้องถิ่นมีให้บริการที่ cha chaan teng (คาเฟ่สไตล์ฮ่องกง) รายการเมนู cha chaan teng ทั่วไป ได้แก่ ซุปมักกะโรนี เฟรนช์โทสต์ทอด และชานมสไตล์ฮ่องกง

วันหยุด

[แก้]

กีฬาและนันทนาการ

[แก้]
วัยรุ่นฮ่องกงในเขตหว่านไจ๋เล่นฟุตบอลตอนกลางคืน

แม้จะมีพื้นที่ขนาดเล็ก แต่ฮ่องกงยังนิยมการเล่นกีฬาและกิจกรรมด้านสันทนาการมากมาย เมืองนี้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาสำคัญ ๆ มากมาย รวมทั้งกีฬาภูมิภาคเอเชียตะวันออก 2009, กีฬาขี่ม้าในโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 และจัดแข่งขันรายการพิเศษพรีเมียร์ลีกเอเชีย โดยเชิญสโมสรจากอังกฤษมาร่วมแข่งขัน เช่นลิเวอร์พูล งานวิ่งฮ่องกงมาราธอนได้รับความนิยมในไปทั่วทวีปเอเชีย และเป็นหนึ่งในงานที่มีผู้เข่าร่วมสูงที่สุด

ฮ่องกงมีทีมกีฬาเป็นของตนเองและแยกจากประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ในการแข่งขันรายการนานาชาติ[125] ฮ่องกงเข้าร่วมในกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนหลายสมัย และส่งนักกีฬาเข้าร่วมในหลายชนิดกีฬา และได้รับเหรียญรางวัล 4 เหรียญถึงปัจจุบัน[126]

สื่อสารมวลชน

[แก้]

หนังสือพิมพ์ในฮ่องกงส่วนใหญ่เขียนเป็นภาษาจีน แต่ก็มีหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษจากสองถึงสามบริษัทเช่นกัน หนังสือพิมพ์เจ้าสำคัญได้แก่ South China Morning Post มีการตีพิมพ์หนังสือพิมพ์ภาษาจีนหลายฉบับทุกวัน ที่โดดเด่นที่สุดคือหมิงเปาและโอเรียนทัลเดลินิวส์ สิ่งพิมพ์ในท้องถิ่นมักเกี่ยวข้องกับการเมือง รัฐบาลกลางมีสื่อสิ่งพิมพ์ของตัวเองได้แก่ Ta Kung Pao และ Wen Wei Po[127] สิ่งพิมพ์นานาชาติหลายแห่งมีการดำเนินการและได้รับความนิยมในฮ่องกง รวมทั้งเดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล, ไฟแนนเชียล ไทมส์, ยูเอสเอทูเดย์ รวมถึงโยะมิอุริชิมบุง (讀賣新聞/読売新聞) และ เดอะ นิคเคอิ สองบริษัทใหญ่ของญี่ปุ่น (日本経済新聞)[128]

ผู้แพร่ภาพกระจายเสียงโทรทัศน์ฟรีสามแห่งดำเนินการในฮ่องกง TVB ซึ่งเป็นเครือข่ายโทรทัศน์ที่โดดเด่นของฮ่องกง มีส่วนแบ่งผู้ชม 80%[129] บริการเพย์ทีวีที่ดำเนินการโดยเคเบิลทีวีฮ่องกงและ PCCW นำเสนอช่องเพิ่มเติมหลายร้อยช่องและรองรับผู้ชมที่หลากหลาย[130] RTHK เป็นสถานีกระจายเสียงสาธารณะ ให้บริการช่องวิทยุเจ็ดช่องและช่องรายการโทรทัศน์สามช่อง[131] ผู้แพร่ภาพกระจายเสียงที่ไม่ใช่บริษัทในประเทศสิบรายการออกอากาศสำหรับประชากรต่างชาติในอาณาเขต[132] การเข้าถึงสื่อและข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตไม่อยู่ภายใต้ข้อบังคับของจีนแผ่นดินใหญ่ รวมถึง Great Firewall

วงการบันเทิง

[แก้]
รูปปั้น บรูซ ลี ที่อเวนิว ออฟ สตาร์ อนุสรณ์สถานวงการภาพยนตร์ของฮ่องกง

เพลง แคนโตป็อป เป็นแนวเพลงกวางตุ้งยอดนิยมที่ปรากฏในฮ่องกงในช่วงทศวรรษ 1970 วิวัฒนาการมาจากเพลงสไตล์เซี่ยงไฮ้ และยังได้รับอิทธิพลจากอุปรากรกวางตุ้งและป๊อปตะวันตกอีกด้วย[133] สื่อท้องถิ่นนำเสนอและให้การสนับสนุนเพลงของศิลปินชื่อดังเช่น แซม ฮุย, เหมย ยั่นฟาง, เลสลี จาง และ ถาน หย่งหลิน ในช่วงทศวรรษที่ 1980 การส่งออกภาพยนตร์และรายการโชว์ของแคนโตป็อปได้ออกสู่สายตาผู้ชมทั่วโลก ความนิยมของแนวเพลงดังกล่าวถึงจุดสูงสุดในปี 1990[134]

ดนตรีคลาสสิกของตะวันตกมีประวัติยาวนานในฮ่องกงและยังคงเป็นส่วนใหญ่ของการศึกษาดนตรีในท้องถิ่น[135] วง Hong Kong Philharmonic Orchestra ซึ่งได้รับทุนจากสาธารณชนซึ่งเป็นวงซิมโฟนีออร์เคสตรามืออาชีพที่เก่าแก่ที่สุดของดินแดนแห่งนี้ มักเป็นเจ้าภาพนักดนตรีและวาทยกรจากต่างประเทศ วงดุริยางค์จีนฮ่องกงประกอบด้วยเครื่องดนตรีจีนคลาสสิก เป็นวงดนตรีจีนชั้นนำและมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมดนตรีดั้งเดิมในชุมชน[136]

ฮ่องกงพัฒนาอุตสาหกรรมด้านต่าง ๆ จนกลายเป็นศูนย์กลางการสร้างภาพยนตร์ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 เนื่องจากกระแสของผู้สร้างภาพยนตร์เซี่ยงไฮ้อพยพไปยังดินแดนแห่งนี้ และอิทธิพลจากชีวประวัติของทหารผ่านศึกที่เพิ่มขึ้นจากการทำสงครามมีส่วนช่วยสร้างอุตสาหกรรมบันเทิงของอาณานิคมแห่งนี้ในทศวรรษต่อมา[137] ในช่วงทศวรรษ 1960 ฮ่องกงเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ชมจากต่างประเทศผ่านภาพยนตร์เช่น The World of Suzie Wong เมื่อภาพยนตร์ของ บรูซ ลี The Way of the Dragon ออกฉายในปี 1972 ก็ปลุกกระแสความนิยมด้านภาพยนตร์ไปทั่วภูมิภาค

ในช่วงทศวรรษ 1980 ภาพยนตร์เช่น A Better Tomorrow, As Tears Go By และ Zu Warriors จาก Magic Mountain ได้ขยายความสนใจไปทั่วโลกนอกเหนือจากภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้ ภาพยนตร์นักเลงในท้องถิ่น ละครโรแมนติก และจินตนาการเหนือธรรมชาติซึ่งกลายเป็นที่นิยม[138]

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Should there be any discrepancy between the English and Chinese versions of this notice, the ENGLISH VERSION SHALL PREVAIL". The Legislative Council Commission. 12 December 2015. Note: Cantonese is the de facto standard of Chinese used
  2. Section 3(1) of the Official Languages Ordinance (Cap 5) provides that the "English and Chinese languages are declared to be the official languages of Hong Kong." The Ordinance does not explicitly specify the standard for "Chinese". While Mandarin and Simplified Chinese characters are used as the spoken and written standards in mainland China, Cantonese and Traditional Chinese characters are the long-established de facto standards in Hong Kong.
  3. "Disclaimer and Copyright Notice". The Legislative Council Commission. 12 December 2015.
  4. 4.0 4.1 2011 Population Census – Summary Results (PDF) (Report). Census and Statistics Department. February 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 21 October 2019. สืบค้นเมื่อ 5 September 2013. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "census1" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  5. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ cia
  6. "Mid-year Population for 2014". Census and Statistics Department (Hong Kong). 12 August 2014.
  7. Household Income Distribution 2016, p. 7.
  8. "Human Development Report 2020" (PDF) (ภาษาอังกฤษ). United Nations Development Programme. 15 December 2020. สืบค้นเมื่อ 15 December 2020.
  9. "Ecological Footprint Atlas 2010" (PDF). Global Footprint Network. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 9 July 2011. สืบค้นเมื่อ 11 July 2011.
  10. 10.0 10.1 "ประกาศสำนักงานราชบัณฑิตยสภา เรื่อง กำหนดชื่อประเทศ ดินแดน เขตการปกครอง และเมืองหลวง" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 139 (พิเศษ 205 ง). 1 กันยายน 2565.
  11. "Hong Kong | History, Location, Map, & Facts | Britannica". www.britannica.com (ภาษาอังกฤษ).
  12. Snow, Philip (2003). The fall of Hong Kong : Britain, China, and the Japanese occupation. New Haven: Yale University Press. ISBN 0-300-09352-7. OCLC 51216372.
  13. Gargan, Edward A. (1 July 1997). "CHINA RESUMES CONTROL OF HONG KONG, CONCLUDING 156 YEARS OF BRITISH RULE". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.
  14. Little, Becky. "How Hong Kong Came Under 'One Country, Two Systems' Rule". HISTORY (ภาษาอังกฤษ).
  15. Carroll, John Mark (2007). A Concise History of Hong Kong (ภาษาอังกฤษ). Rowman & Littlefield. ISBN 978-0-7425-3422-3.
  16. "Hong Kong vs. Mainland China: Understanding the Differences". Investopedia (ภาษาอังกฤษ).
  17. "Hong Kong Economy - Home". www.hkeconomy.gov.hk.
  18. Tognini, Giacomo. "World's Richest Cities: The Top 10 Cities Billionaires Call Home 2020". Forbes (ภาษาอังกฤษ).
  19. Kirschner, Kylie. "The top 10 cities around the world with the most ultra-wealthy people". Business Insider (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  20. "Hong Kong - The Skyscraper Center". web.archive.org. 11 November 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 11 November 2017. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  21. "Hong Kong House Price Index | 2021 Data | 2022 Forecast | 1994-2020 Historical | Chart". tradingeconomics.com.
  22. "Hong Kong house prices fall by the most in nearly a year as buyers retreat". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). 27 October 2021.
  23. Taylor, Chloe (12 April 2019). "Hong Kong named world's most expensive city to buy a home". CNBC (ภาษาอังกฤษ).
  24. "Centre for Health Protection, Department of Health - Life Expectancy at Birth (Male and Female), 1971 - 2020". www.chp.gov.hk (ภาษาอังกฤษ).
  25. https://www.longfinance.net/media/documents/GFCI_28_Full_Report_2020.09.25_v1.1.pdf
  26. Townsel‐Winston, Melinda (May 1992). "Public Services". OCLC Micro. 8 (5): 16–17. doi:10.1108/eb055984. ISSN 8756-5196.
  27. "HK Herbarium - Home". www.herbarium.gov.hk.
  28. Davis, Sir John Francis (1841). Sketches of China: Partly During an Inland Journey of Four Months, Between Peking, Nanking, and Canton; with Notices and Observations Relative to the Present War (ภาษาอังกฤษ). C. Knight & Company.
  29. https://www.hshgroup.com/-/media/Files/HSH/Financial-Reports/2017/EW00045-2017-Annual-Report.ashx
  30. "Hong Kong | History, Location, Map, & Facts | Britannica". www.britannica.com (ภาษาอังกฤษ).
  31. "Hong Kong profile - Timeline". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 24 June 2019. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.
  32. Editors, History com. "Japan invades Hong Kong". HISTORY (ภาษาอังกฤษ). {{cite web}}: |last= มีชื่อเรียกทั่วไป (help)
  33. "Three Years and Eight Months: Hong Kong during the Japanese Occupation". HKUST Library (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  34. Archer, Bernice; Kent, Fedorowich (1 September 1996). "The women of stanley: internment in Hong Kong 1942–45". Women's History Review. 5 (3): 373–399. doi:10.1080/09612029600200119. ISSN 0961-2025.
  35. Wong, Yuk-Lin Renita (2004). "When East Meets West: Nation, Colony, and Hong Kong Women's Subjectivities in Gender and China Development". Modern China. 30 (2): 259–292. ISSN 0097-7004.
  36. Roland, Charles G. (1997). "Massacre and Rape in Hong Kong: Two Case Studies Involving Medical Personnel and Patients". Journal of Contemporary History. 32 (1): 43–61. ISSN 0022-0094.
  37. "Ewen, Air Vice-Marshal Peter Ronald, (born 1959), Engineering Director, MTR Corporation, since 2016", Who's Who, Oxford University Press, 1 December 2014, สืบค้นเมื่อ 2 December 2021
  38. Dodsworth, Mr John; Mihaljek, Mr Dubravko (5 September 1997). Hong Kong, China: Growth, Structural Change, and Economic Stability During the Transition (ภาษาอังกฤษ). International Monetary Fund. ISBN 978-1-55775-672-5.
  39. Wiltshire, Trea (1997). Old Hong Kong: 1860-1900 (ภาษาอังกฤษ). FormAsia.
  40. Lee, S. H. (2006). SARS in China and Hong Kong (ภาษาอังกฤษ). Nova Publishers. ISBN 978-1-59454-678-5.
  41. "Hong Kong's umbrella revolution - the Guardian briefing". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). 30 September 2014.
  42. "Controversial joint checkpoint plan approved for high-speed rail link". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). 27 December 2017.
  43. "To restore calm in Hong Kong, try democracy". The Economist. 20 June 2019. ISSN 0013-0613. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.
  44. "Lands Department - Hong Kong Geographic Data". www.landsd.gov.hk (ภาษาอังกฤษ).
  45. "Lands Department - Hong Kong Geographic Data". www.landsd.gov.hk (ภาษาอังกฤษ).
  46. Owen, Bernie; Shaw, Raynor (1 October 2007). Hong Kong Landscapes: Shaping the Barren Rock (ภาษาอังกฤษ). Hong Kong University Press. ISBN 978-962-209-847-3.
  47. "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2021-03-10. สืบค้นเมื่อ 2021-12-02.
  48. GovHK (www.gov.hk). "GovHK: The Natural Environment, Plants & Animals in Hong Kong". www.gov.hk (ภาษาอังกฤษ).
  49. https://www.herbarium.gov.hk/en/home/index.html
  50. "Monthly Meteorological Normals for Hong Kong". Hong Kong Observatory. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 March 2012. สืบค้นเมื่อ 2012-01-03.
  51. "Extreme Values and Dates of Occurrence of Extremes of Meteorological Elements between 1884-1939 and 1947-2011 for Hong Kong". Hong Kong Observatory. สืบค้นเมื่อ 12 August 2012.
  52. "Carrie Lam: The controversial leader of Hong Kong". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 28 September 2020. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.
  53. "Carrie Lam | Biography, Education, & Facts | Britannica". www.britannica.com (ภาษาอังกฤษ).
  54. "Carrie Lam". The Independent (ภาษาอังกฤษ).
  55. "'Hong Kong is at an Existential Crossroads.' Joshua Wong on the Future of His Homeland". Time (ภาษาอังกฤษ).
  56. Post, The Jakarta. "Hong Kong's future: Strategizing to 2047". The Jakarta Post (ภาษาอังกฤษ).
  57. Lau, Chu-Pak; Tse, Hung-Fat; Ng, William; Chan, Kwok-Keung; Li, Shu-Kin; Keung, Kin-Kwan; Lau, Yuk-Kong; Chen, Wai-Hong; Tang, Yuen-Wai; Leung, Sum-Kin (January 2002). "Comparison of Perindopril versus Captopril for treatment of Acute Myocardial Infarction". The American Journal of Cardiology. 89 (2): 150–154. doi:10.1016/s0002-9149(01)02191-9. ISSN 0002-9149.
  58. Introduction to crime, law and justice in Hong Kong. Mark S. Gaylord, Danny Gittings, Harold Traver. Hong Kong: Hong Kong University Press. 2009. ISBN 978-988-8052-42-4. OCLC 707092914.{{cite book}}: CS1 maint: others (ลิงก์)
  59. "Electoral Affairs Commission Interim Report on the 2004 Legislative Council Election, November 8, 2004". Chinese Law & Government. 38 (1): 47–61. January 2005. doi:10.1080/00094609.2005.11036450. ISSN 0009-4609.
  60. "Multiple Councils Serve to Engage Members". The Membership Management Report. 13 (3): 3–3. 13 February 2017. doi:10.1002/mmr.30625. ISSN 1932-2739.
  61. "State Department, Chinese Communist Party (CCP) Strength in Hong Kong, and Related Matters, September 27, 1951, Top Secret, NARA FOIA". U.S. Intelligence on Asia, 1945-1991.
  62. Introduction to crime, law and justice in Hong Kong. Mark S. Gaylord, Danny Gittings, Harold Traver. Hong Kong: Hong Kong University Press. 2009. ISBN 978-988-8052-42-4. OCLC 707092914.{{cite book}}: CS1 maint: others (ลิงก์)
  63. Introduction to crime, law and justice in Hong Kong. Mark S. Gaylord, Danny Gittings, Harold Traver. Hong Kong: Hong Kong University Press. 2009. ISBN 978-988-8052-42-4. OCLC 707092914.{{cite book}}: CS1 maint: others (ลิงก์)
  64. "Leung Chun-Ying, Chief Executive, Hong Kong Special Administrative Region, since 2012", Who's Who, Oxford University Press, 1 December 2012, สืบค้นเมื่อ 2 December 2021
  65. "Control Point Locations | Immigration Department". web.archive.org. 22 November 2017. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 November 2017. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  66. "สำเนาที่เก็บถาวร" (PDF). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-04-11. สืบค้นเมื่อ 2021-12-02.
  67. "Ireland suspends its extradition treaty with Hong Kong". The Globe and Mail (ภาษาอังกฤษแบบแคนาดา). 23 October 2020. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.
  68. "Trump ends preferential economic treatment for Hong Kong". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 15 July 2020. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.
  69. Cheng, Edmund W. (June 2016). "Street Politics in a Hybrid Regime: The Diffusion of Political Activism in Post-colonial Hong Kong". The China Quarterly (ภาษาอังกฤษ). 226: 383–406. doi:10.1017/S0305741016000394. ISSN 0305-7410.
  70. Alwazzan, Lulu (2017-01-24). "When we say … leadership, we must also say … followership". Medical Education. 51 (5): 560–560. doi:10.1111/medu.13228. ISSN 0308-0110.
  71. Ming, Sing (2006). "The Legitimacy Problem and Democratic Reform in Hong Kong". Journal of Contemporary China. 15 (48): 517–532. doi:10.1080/10670560600736558. S2CID 154949190.
  72. "Dai Ailian in Guerilla March, 1940". dx.doi.org.
  73. "Dai Ailian in Guerilla March, 1940". dx.doi.org.
  74. "Racist Hong Kong is still a fact". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). 25 May 2013.
  75. "Human trafficking in Hong Kong: hidden in plain sight". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). 2016-01-16.
  76. "Hong Kong must lead the fight against human trafficking, rather than just do the bare minimum". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). 8 July 2016.
  77. "New ways to help Hong Kong's human trafficking victims". Christian Science Monitor. 22 October 2015. ISSN 0882-7729. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.
  78. "Fed up with human trafficking, migrant workers hold vigil". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). 25 February 2018.
  79. "The case for extending Hong Kong's 2047 deadline". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). 23 March 2015.
  80. "Rafferty, Kevin Robert, (born 5 Nov. 1944), Editor in Chief, PlainWords Media, London, Hong Kong and Osaka, since 2003; Columnist, South China Morning Post, Hong Kong, The Japan Times, Tokyo, since 2006", Who's Who, Oxford University Press, 1 December 2007, สืบค้นเมื่อ 2 December 2021
  81. Hernández, Javier C. (1 July 2020). "Harsh Penalties, Vaguely Defined Crimes: Hong Kong's Security Law Explained". The New York Times (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0362-4331. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.
  82. "UK says China's security law is serious violation of Hong Kong treaty". Reuters (ภาษาอังกฤษ). 1 July 2020. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.
  83. "Hong Kong pro-democracy politicians arrested". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 1 November 2020. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.
  84. "Most countries have increased GDP faster than CO2 emissions". dx.doi.org. 6 April 2018.
  85. https://www.hkex.com.hk/-/media/HKEX-Market/News/News-Release/2018/181221news/181221news.pdf?la=en
  86. "Hong Kong's Top 10 Exports 2020". www.worldstopexports.com.
  87. "Hong Kong SAR (China) Exports of Goods and Services | Moody's Analytics". www.economy.com.
  88. "Hong Kong (HKG) Exports, Imports, and Trade Partners | OEC". OEC - The Observatory of Economic Complexity (ภาษาอังกฤษ).
  89. "The Maritime Silk Road in South-East Asia". www.southworld.net (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
  90. "Can The New Silk Road Compete With The Maritime Silk Road? | Hellenic Shipping News Worldwide". www.hellenicshippingnews.com.
  91. Wolf D. Hartmann, Wolfgang Maennig, Run Wang: Chinas neue Seidenstraße. (2017).
  92. Kong, Daniel (8 August 2013). "Hong Kong Imports Over 90% of Its Food. Can It Learn to Grow?". Modern Farmer. Retrieved 26 October 2013.
  93. https://www.gov.hk/en/about/abouthk/factsheets/docs/agriculture.pdf
  94. https://books.google.co.th/books?id=VUfqAQAAQBAJ&redir_esc=y
  95. https://www.gov.hk/en/about/abouthk/factsheets/docs/service_economy.pdf
  96. https://www.economist.com/briefing/2010/07/15/end-of-an-experiment
  97. "1 USD to HKD - US Dollars to Hong Kong Dollars Exchange Rate". www.xe.com.
  98. "Prices for Peak Tram to increase for second time in less than two years". South China Morning Post (ภาษาอังกฤษ). 14 February 2018.
  99. Zhibin, J.; Jia, G.; Ruihua, X. (4 August 2010). "Circle rail transit line timetable scheduling using Rail TPM". Computers in Railways XII. Southampton, UK: WIT Press. doi:10.2495/cr100851.
  100. "All aboard: Hong Kong bullet train signals high-speed integration with China". Reuters (ภาษาอังกฤษ). 23 September 2018. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.
  101. https://www.hongkongairport.com/iwov-resources/file/airport-authority/publications/annual-and-interim-reports/en/16_17/1617_Annual_Report_EN.pdf
  102. "Office of the Communications Authority - Key Communications Statistics". www.ofca.gov.hk.
  103. https://www.statistics.gov.hk/pub/B71711FB2017XXXXB0100.pdf
  104. https://www.gov.hk/en/about/abouthk/factsheets/docs/technology.pdf
  105. "MIT material stops bleeding in seconds". MIT News | Massachusetts Institute of Technology (ภาษาอังกฤษ).
  106. matichon (26 June 2021). "ผลวิจัยทีมแพทย์ฮ่องกง ไฟเซอร์เข็มเดียว ระดับ antibody เท่ากับหรือสูงกว่า ซิโนแวก2เข็ม". มติชนออนไลน์.
  107. https://www.statistics.gov.hk/pub/B11000022016AN16B0100.pdf
  108. Lee, Nelson K. (May 2014). "The Changing Nature of Border, Scale and the Production of Hong Kong's Water Supply System since 1959: Political borders and Hong Kong's water supply system". International Journal of Urban and Regional Research (ภาษาอังกฤษ). 38 (3): 903–921. doi:10.1111/1468-2427.12060.
  109. Leung, Beatrice (2003). Changing church and state relations in Hong Kong, 1950-2000. Shun-hing Chan. Hong Kong: Hong Kong University Press. ISBN 978-988-220-057-9. OCLC 642685729.
  110. https://web.archive.org/web/20200329020745/http://uis.unesco.org/sites/default/files/documents/fs45-literacy-rates-continue-rise-generation-to-next-en-2017.pdf
  111. "Creating a better education system". web.archive.org. 3 March 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 March 2008. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.{{cite web}}: CS1 maint: bot: original URL status unknown (ลิงก์)
  112. Lee, Kwai; Leung, Wai (2012). "The status of Cantonese in the education policy of Hong Kong". Multilingual Education (ภาษาอังกฤษ). 2 (1): 2. doi:10.1186/2191-5059-2-2. ISSN 2191-5059.
  113. Carroll, John M. (2007). A concise history of Hong Kong. Lanham: Rowman & Littlefield. ISBN 978-0-7425-3421-6. OCLC 76902041.
  114. "Central Intelligence Agency, Report, Review of the World Situation, February 16, 1949, Secret, CREST". U.S. Intelligence on the Middle East, 1945-2009.
  115. Wong, Eliza L.Y.; Yeoh, Eng-kiong; Chau, Patsy Y.K.; Yam, Carrie H.K.; Cheung, Annie W.L.; Fung, Hong (December 2015). "How shall we examine and learn about public-private partnerships (PPPs) in the health sector? Realist evaluation of PPPs in Hong Kong". Social Science & Medicine (ภาษาอังกฤษ). 147: 261–269. doi:10.1016/j.socscimed.2015.11.012.
  116. "Wong Tai Sin | Hong Kong Tourism Board". Discover Hong Kong (ภาษาอังกฤษ).
  117. "Languages in Hong Kong | Official & Other Languages | Holidify". www.holidify.com.
  118. "What Languages Are Spoken In Hong Kong?". WorldAtlas (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 31 October 2017.
  119. Carroll, John M. (2007). A concise history of Hong Kong. Lanham: Rowman & Littlefield. ISBN 978-0-7425-3421-6. OCLC 76902041.
  120. Carroll, John M. (2007). A concise history of Hong Kong. Lanham: Rowman & Littlefield. ISBN 978-0-7425-3421-6. OCLC 76902041.
  121. "HKU POP releases survey on Hong Kong people's ethnic identity and the 2018 review and 2019 forecast survey". www.hkupop.hku.hk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 27 March 2019. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.
  122. https://www.legco.gov.hk/yr13-14/english/panels/ws/papers/ws0609cb2-2288-2-e.pdf
  123. Keegan, Matthew (26 November 2017). "The 10 Most Delicious Dim Sum Restaurants in Hong Kong". Culture Trip.
  124. CNN, By Christopher DeWolf, Izzy Ozawa, Tiffany Lam, Virginia Lau, and Zoe Li. "Hong Kong food: 40 dishes we can't live without". CNN (ภาษาอังกฤษ).
  125. Shen, Jianfa; Kee, Gordon (2017). Development and Planning in Seven Major Coastal Cities in Southern and Eastern China. Springer. doi:10.1007/978-3-319-46421-3. ISBN 978-3-319-46420-6.
  126. Lam, S. F.; Chang, Julian W. (2006). The Quest for Gold: Fifty Years of Amateur Sports in Hong Kong, 1947-1997 (ภาษาอังกฤษ). Hong Kong University Press. ISBN 978-962-209-766-7.
  127. https://www.bbc.com/news/world-asia-pacific-16525992
  128. https://www.gov.hk/en/about/abouthk/factsheets/docs/media.pdf
  129. "The Leased Territory in 1898", The Great Difference, Hong Kong University Press, HKU, pp. 5–16, 1 July 2012, สืบค้นเมื่อ 2 December 2021
  130. "Lobo, Sir Rogerio Hyndman, (Sir Roger), (15 Sept. 1923–18 April 2015), JP; Chairman, P. J. Lobo & Co. Ltd, Hong Kong, 1946–2001; Chairman, Broadcasting Authority of Hong Kong, 1989–97", Who Was Who, Oxford University Press, 1 December 2007, สืบค้นเมื่อ 2 December 2021
  131. https://www.budget.gov.hk/2018/eng/pdf/head160.pdf
  132. https://www.ofca.gov.hk/filemanager/ofca/en/content_108/channel_list_eng.pdf
  133. Zhu, Yaowei (2017). Hong Kong cantopop : a concise history. Hong Kong. ISBN 978-988-8390-58-8. OCLC 962015863.
  134. Zhu, Yaowei (2017). Hong Kong cantopop : a concise history. Hong Kong. ISBN 978-988-8390-58-8. OCLC 962015863.
  135. The Routledge research companion to popular music education. Gareth Dylan Smith, Zack Moir, Matt Brennan, Shara Rambarran, Phil Kirkman. London. 2017. ISBN 978-1-317-04201-3. OCLC 970041883.{{cite book}}: CS1 maint: others (ลิงก์)
  136. Ho, Wai-chung (2011). School music education and social change in mainland China, Hong Kong, and Taiwan. Leiden: Brill. ISBN 978-90-04-19147-1. OCLC 813165141.
  137. Fu, Poshek (2008). "Japanese Occupation, Shanghai Exiles, and Postwar Hong Kong Cinema". The China Quarterly. 194 (194): 380–394. doi:10.1017/S030574100800043X. JSTOR 20192203. S2CID 154730809.
  138. Carroll, John M. (2007). A concise history of Hong Kong. Lanham: Rowman & Littlefield. ISBN 978-0-7425-3421-6. OCLC 76902041.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]