หมาจิ้งจอกหูค้างคาว
หมาจิ้งจอกหูค้างคาว | |
---|---|
สถานะการอนุรักษ์ | |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Mammalia |
อันดับ: | Carnivora |
วงศ์: | Canidae |
วงศ์ย่อย: | Caninae |
สกุล: | Otocyon Müller, 1835 |
สปีชีส์: | O. megalotis |
ชื่อทวินาม | |
Otocyon megalotis (Desmarest, 1822) | |
ชนิดย่อย | |
แผนที่แสดงการกระจายพันธุ์ของหมาจิ้งจอกหูค้างคาว (สีแดง: คือ ชนิดย่อย O. m. megalotis , สีน้ำเงิน: O. m. canescens) | |
ชื่อพ้อง | |
หมาจิ้งจอกหูค้างคาว (อังกฤษ: Bat-eared fox) เป็นสัตว์กินเนื้อในวงศ์ Canidae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Otocyon megalotis เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวในสกุล Otocyon
มีถิ่นกำเนิดในตอนใต้ของทวีปแอฟริกาและแอฟริกาตะวันออก ชอบอยู่เป็นฝูง อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าสะวันนา มีลำตัวสีน้ำตาลเทา ยกเว้นขาทั้ง 4 ข้าง, ส่วนหน้าของใบหน้า, ปลายหาง และใบหูเป็นสีดำ เป็นหมาจิ้งจอกที่มีขนาดเล็ก อุปนิสัยไม่ดุร้าย มีความยาวตั้งแต่หัวจรดปลายหางประมาณ 55 เซนติเมตร น้ำหนักเต็มที่ประมาณ 3-5 กิโลกรัม
มีจุดเด่นอยู่ที่ใบหูที่ยาวใหญ่ถึง 13 เซนติเมตร รูปร่างคล้ายค้างคาวอันเป็นที่มาของชื่อ ซึ่งเป็นที่รวมของเส้นเลือดต่าง ๆ ช่วยระบายความร้อน และทำให้มีประสาทการรับฟังอย่างดีเยี่ยม จนสามารถฟังได้แม้กระทั่งเสียงคลานของแมลง โดยอาศัยอยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก ๆ ประมาณ 2-6 ตัว ในโพรงดิน นอกจากนี้แล้วยังมีฟันและกรามที่แตกต่างไปจากสุนัขชนิดอื่น ๆ คือ สุนัขทั่วไปจะมีฟันกรามบน 2 ซี่ และกรามล่าง 3 ซี่ แต่หมาจิ้งจอกหูค้างคาวมีฟันกรามบน 3 ซี่ และกรามล่าง 4 ซี่ และสามารถขยับกรามได้อย่างรวดเร็วเพื่อเคี้ยวแมลงได้อีกต่างหาก ออกหากินในเวลากลางคืน ในฤดูหนาวจะหากินในเวลากลางวัน โดยกินแมลงจำพวกปลวกเป็นอาหารหลัก และสัตว์ฟันแทะ รวมถึงผลไม้บางชนิด โตเต็มวัยเมื่ออายุได้ 7-9 เดือน มีฤดูผสมพันธุ์ในฤดูหนาว ออกลูกครั้งละ 2-5 ตัว แม่หมาจิ้งจอกหูค้างคาวจะเลี้ยงลูกนานราว 15 สัปดาห์
แบ่งออกเป็น 2 ชนิดย่อย คือ
- O. m. canescens พบในเอธิโอเปีย, โซมาเลีย, เคนยา, แองโกลา, แทนซาเนีย
- O. m. megalotis พบในตอนใต้ของแซมเบีย, บอตสวานา, นามิเบีย, แอฟริกาใต้
สำหรับในประเทศไทย หมาจิ้งจอกหูค้างคาวมีเลี้ยงในสวนสัตว์ดุสิต, เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ซึ่งหมาจิ้งจอกหูค้างคาวที่เลี้ยงอยู่นี้ได้ผสมพันธุ์และออกลูกในที่เลี้ยงด้วย โดยพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์นำเข้ามาจากแอฟริกาใต้เมื่อกลางปี พ.ศ. 2552[1][2]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับ Otocyon megalotis ที่วิกิสปีชีส์