ข้ามไปเนื้อหา

สาธารณรัฐประชาชนยูเครน

พิกัด: 50°27′N 30°30′E / 50.450°N 30.500°E / 50.450; 30.500
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สาธารณรัฐประชาชนยูเครน

Украї́нська Наро́дня Респу́бліка (ยูเครน)
1917–1918
1918–1921[a]
ตราประจำรัฐ
สาธารณรัฐประชาชนยูเครนใน ค.ศ. 1918
สาธารณรัฐประชาชนยูเครนใน ค.ศ. 1918
สถานะเขตปกครองตนเองภายใต้สาธารณรัฐรัสเซีย (1917–1918)
รัฐที่ได้รับการยอมรับบางส่วน (1918–1921)
รัฐบาลพลัดถิ่น (1921–1992)
เมืองหลวงเคียฟ
ภาษาทั่วไปภาษาทางการ:
ยูเครน
ภาษาที่ใช้อย่างแพร่หลาย:
รัสเซีย
ภาษาประจำถิ่น:
ยิดดิช โปแลนด์ เยอรมัน เบลารุส โรมาเนีย บัลแกเรีย กรีก ยูรัม และอื่น ๆ
ศาสนา
เดมะนิมชาวยูเครน
การปกครองสาธารณรัฐประชาชน
ประธานาธิบดี (สภากลาง) 
• 1917–1918
มือคัยลอ ฮรูแชวสกึย
ประธานาธิบดี (คณะกรรมาธิการ) 
• 1918–1919
วอลอดือมือร์ วึนนือแชนกอ
• 1919–1920[b]
ซือมอน แปตลูรา
นายกรัฐมนตรี 
• 1917–1918
วอลอดือมือร์ วึนนือแชนกอ
• 1918–1919
วอลอดือมือร์ แชคิวสกึย
• 1919
บอรึส มาร์ตอส
• 1919–1920
อีซาอัก มาแซปา
• 1920–1921
วิยาแชสเลา ปรอกอปอวึช
สภานิติบัญญัติสภากลาง
ยุคประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
• ประกาศปกครองตนเอง
23 มิถุนายน 1917
• ประกาศสาธารณรัฐ
20 พฤศจิกายน 1917
• ประกาศเอกราช
22 มกราคม 1918
• ก่อตั้งคณะกรรมาธิการ
13 พฤศจิกายน 1918
• ล้มเลิกรัฐยูเครน
14 ธันวาคม 1918
22 มกราคม 1919
18 มีนาคม 1921
• ได้รับอำนาจหลังยูเครนโซเวียต
15 มีนาคม 1992
พื้นที่
• รวม
860,000 ตารางกิโลเมตร (330,000 ตารางไมล์)
สกุลเงินการ์บอวาแนตส์
ฮรึวญา
ก่อนหน้า
ถัดไป
1917:
ดินแดน
ตะวันตกเฉียงใต้
1918:
รัฐยูเครน
สาธารณรัฐประชาชนยูเครนตะวันตก
1918:
รัฐยูเครน
สาธารณรัฐสังคมนิยม
โซเวียตยูเครน
สาธารณรัฐโปแลนด์ที่ 2
กองบัญชาการ
กองทัพรัสเซียใต้

สาธารณรัฐประชาชนยูเครน หรือ สาธารณรัฐแห่งชาติยูเครน[c] เป็นอดีตประเทศในภูมิภาคยุโรปตะวันออก ดำรงอยู่ระหว่าง ค.ศ. 1917 จนถึง ค.ศ. 1920 สาธารณรัฐประกาศจัดตั้งขึ้นภายหลังการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ในรัสเซีย ตามประกาศสากลที่หนึ่ง มีการเลือกตั้งสมาชิกสภากลางโดยสภาคองเกรสแห่งชาติในเคียฟในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1917 ซึ่งส่วนใหญ่แล้วประกอบด้วยบรรดาพรรคสังคมนิยม โดยเป็นหลักการเดียวกันกับที่ใช้ทั่วทั้งอาณาเขตของสาธารณรัฐรัสเซีย การปกครองตนเองของสาธารณรัฐได้รับการยอมรับจากรัฐบาลชั่วคราวรัสเซีย ภายหลังการปฏิวัติเดือนตุลาคม สาธารณรัฐได้ประกาศตนเป็นเอกราชจากสาธารณรัฐรัสเซียเมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1918 ตามประกาศสากลที่สี่

ในระยะเวลาสั้น ๆ ของการดำรงอยู่ สาธารณรัฐได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหลายครั้ง ตั้งแต่การเอนเอียงไปทางฝ่ายสังคมนิยมของสาธารณรัฐที่นำโดยฝ่ายเลขาธิการทั่วไปของสภากลางยูเครน ไปจนถึงการปกครองแบบสาธารณรัฐสังคมนิยมที่นำโดยซือมอน แปตลูรา และคณะกรรมาธิการ ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนธันวาคม ค.ศ. 1918 อำนาจฝ่ายสังคมนิยมของสาธารณรัฐประชาชนยูเครนถูกระงับลง และถูกโค่นล้มโดยเปาลอ สกอรอปัดสกึย พร้อมทั้งประกาศจัดตั้งรัฐยูเครนขึ้น ซึ่งมีสถานะเป็นรัฐบริวารของเยอรมนี สกอรอปัดสกึยได้รับเลือกให้เป็นผู้บัญชาการแห่งรัฐ (hetman) โดยสภาชาวนา[1][2][ต้องการคำอ้างอิงเพื่อยืนยัน] เมื่อปลาย ค.ศ. 1919 สาธารณรัฐได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับสาธารณรัฐโปแลนด์ที่ 2 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1920 สาธารณรัฐได้สูญเสียดินแดนส่วนที่เหลืออยู่ให้แก่บอลเชวิค สนธิสัญญาสันติภาพรีกาเมื่อวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 1921 อันเป็นการลงนามระหว่างสาธารณรัฐโปแลนด์ที่สอง รัสเซียโซเวียต (ดำเนินการในนามของเบลารุสโซเวียต) และยูเครนโซเวียต ถือเป็นการกำหนดชะตากรรมอันแน่นอนของสาธารณรัฐประชาชนยูเครน

หลังการปฏิวัติเดือนตุลาคม รัฐบาลท้องถิ่นมากมายถูกจัดตั้งขึ้นในยูเครน โดยที่ปรากฏเด่นชัดที่สุดคือ สาธารณรัฐประชาชนยูเครนแห่งโซเวียต (ค.ศ. 1917–1918) ซึ่งมีรากฐานอยู่ที่คาร์กิว และเหล่าคณะผู้สืบทอดอำนาจจากโซเวียต ทั้งกองกำลังโซเวียต สาธารณรัฐยูเครน (ซึ่งมีรากฐานอยู่ที่เคียฟ) ขบวนการขาว โปแลนด์ กองทัพเขียว และกลุ่มอนาธิปไตยได้ต่อสู้กันเองอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ชาวยูเครนเป็นจำนวนมากต้องสูญเสียเลือดเนื้อในสงครามกลางเมืองยูเครน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามกลางเมืองรัสเซีย ใน ค.ศ. 1917–1923 ต่อมาสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย (หลังสนธิสัญญาสันติภาพรีกา) ได้ขยายอำนาจการควบคุมให้ยูเครนกลายเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน และใน ค.ศ. 1922 ยูเครนก็กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของการจัดตั้งสหภาพโซเวียต[1]

ประวัติ

[แก้]

คลื่นแห่งการปฏิวัติ

[แก้]
หนังสือพิมพ์ เดอะนิวยอร์กไทมส์ ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 แสดงแผนที่อาณาเขตของจักรวรรดิรัสเซียที่อ้างสิทธิ์โดยสาธารณรัฐประชาชนยูเครนในเวลานั้น ก่อนหน้าการผนวกดินแดนออสเตรีย-ฮังการีของสาธารณรัฐประชาชนยูเครนตะวันตก

เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1917 สภากลางยูเครนได้ประกาศปกครองตนเองในฐานะส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐรัสเซียตามประกาศสากลที่หนึ่ง ณ การประชุมสภาทหารแห่งยูเครนทั้งปวง อำนาจการปกครองสูงสุดในสาธารณรัฐประชาชนยูเครนตกเป็นของคณะเลขาธิการยูเครน (General Secretariat of Ukraine) ซึ่งนำโดยวอลอดือมือร์ วึนนือแชนกอ (Volodymyr Vynnychenko) ทางอะเลคซันดร์ เคเรนสกี นายกรัฐมนตรีรัสเซีย ได้ยอมรับคณะเลขาธิการ โดยแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนหน่วยงานปกครองของรัฐบาลชั่วคราวรัสเซียและจำกัดอำนาจการปกครองไว้ในพื้นที่ห้าเขตผู้ว่าการ ได้แก่ วอลึญ, เคียฟ, โปโดเลีย, เชียร์นีกอฟ, และปอลตาวา ในช่วงแรกวึนนือแชนกอไม่พึงพอใจและได้ลาออกจากการเป็นผู้นำคณะเลขาธิการ แต่สุดท้ายเขาก็กลับมารับตำแหน่งในคณะเลขาธิการอีกครั้งหลังจากที่สภากลางยูเครน (Tsentralna Rada) ยอมรับคำชี้แนะของเคเรนสกี (Kerensky Instruktsiya) และออกประกาศสากลที่สอง

หลังการปฏิวัติเดือนตุลาคม พรรคบอลเชวิคฝ่ายเคียฟได้ก่อการกำเริบในเคียฟเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 โดยมีจุดประสงค์เพื่อก่อสร้างอำนาจของโซเวียตในเมืองแห่งนี้ กองกำลังของมณฑลทหารเคียฟมีความพยายามปราบปรามความไม่สงบ แต่หลังจากที่สภากลางให้การสนับสนุนแก่บอลเชวิคอยู่เบื้องหลัง ทำให้กองทัพรัสเซียถอนกำลังออกจากเคียฟ ภายหลังการขับไล่รัสเซียออกจากยูเครน สภากลางได้ประกาศการปกครองตนเองของสาธารณรัฐยูเครนให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ยังคงรักษาความสัมพันธ์กับรัสเซีย เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1917 อาณาเขตของสาธารณรัฐถูกกำหนดขึ้นตามประกาศสากลที่สาม[3] โดยครอบคลุมพื้นที่เขตผู้ว่าการวอลึญ, เคียฟ, โปโดเลีย, เชียร์นีกอฟ, ปอลตาวา, ฮาร์คอฟ, เยคาเตรีโนสลัฟ, เฮียร์ซอน, เทาริดา (ไม่รวมไครเมีย) นอกจากนี้ในประกาศยังระบุอีกว่าผู้คนในเขตผู้ว่าการโวโรเนจ, ฮอล์ม, และคูสค์ ยินดีที่จะเข้าร่วมกับสาธารณรัฐผ่านการออกเสียงประชามติ อีกทั้งระบุให้สภากลางเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจสูงสุดในดินแดนยูเครนจนกว่าจะมีการฟื้นฟูสาธารณรัฐรัสเซียอีกครั้ง เนื่องจากเหตุการณ์ปฏิวัติบอลเชวิค สภากลางยูเครนเรียกกิจกรรมการปฏิวัติทั้งหมดในดินแดนต่าง ๆ เช่น การปฏิวัติเดือนตุลาคม ว่าเป็นสงครามกลางเมือง และแสดงเจตนาที่จะเข้ามาแก้ไขความวุ่นวายนี้

หลังการสงบศึกในช่วงเวลาอันสั้น บอลเชวิคตระหนักว่าสภากลางไม่ได้มีเจตนาที่จะสนับสนุนการปฏิวัติของบอลเชวิค พวกเขาจึงหันไปจัดตั้งสภาโซเวียตแห่งยูเครนทั้งปวง (All-Ukrainian Council of Soviets) ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1917 เพื่อพยายามยึดอำนาจ แต่ก็ล้มเหลวเนื่องจากความนิยมบอลเชวิคอันน้อยนิดของผู้คนในเคียฟ พวกเขาจึงย้ายไปตั้งหลักที่คาร์กิวแทน พรรคบอลเชวิคยูเครนประกาศว่ารัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนละเมิดกฎหมายและประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐประชาชนยูเครนแห่งโซเวียต โดยมีเมืองหลวงอยู่ที่เคียฟ พร้อมทั้งอ้างว่าคณะเลขาธิการประชาชนยูเครน (People's Secretaries of Ukraine) เป็นรัฐบาลเดียวของประเทศเท่านั้น กองทัพแดงของบอลเชวิคได้เข้ารุกรานยูเครนเพื่อสนับสนุนรัฐบาลโซเวียตท้องถิ่น เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกภายในสภากลางเริ่มแย่ลง บรรดาสาธารณรัฐโซเวียตประจำภูมิภาคจึงประกาศตนเป็นเอกราชและประกาศจงรักภักดีต่อซอฟนาร์คอมในเปโตรกราด (sovnarkom) (สาธารณรัฐโซเวียตออแดซาในยูเครนใต้, สาธารณรัฐโซเวียตโดเนตสค์–ครีวอยรอกในยูเครนตะวันออก) สาธารณรัฐโซเวียตดอแนตสก์–ครีวอยรอกถูกก่อตั้งขึ้นโดยคำสั่งจากเลนินโดยตรง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียโซเวียต โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่คาร์กิว คำสั่งนั้นได้รับการตอบสนองอย่างประสบผลสำเร็จโดยฟิโอดอร์ เซียร์เกเยฟ (Fyodor Sergeyev) ผู้ซึ่งเป็นประธานของรัฐบาลยูเครนโซเวียต ในทางกลับกันสาธารณรัฐโซเวียตออแดซาไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลบอลเชวิคอื่นใด และด้วยแนวคิดริเริ่มของตนเอง จึงนำไปสู่ความขัดแย้งทางทหารกับโรมาเนียเพื่อแย่งชิงการควบคุมสาธารณรัฐประชาธิปไตยมอลเดเวีย ซึ่งมีดินแดนที่พิพาทอยู่

ประกาศเอกราช

[แก้]
สนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์ (9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918):
  สาธารณรัฐประชาชนยูเครน
  ดินแดนอ้างสิทธิ์ (ลายแถบ)
  กองกำลังเยอรมันในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1917
  รัสเซียโซเวียต
  รัฐบาลภูมิภาคดอน
  รัฐบาลภูมิภาคคูบัน
  รัฐบาลภูมิภาคไครเมีย
  ออสเตรีย-ฮังการี
  โปแลนด์
  โรมาเนีย
  มอลโดวา
  เซอร์เบีย

ในช่วงการรุกรานจากรัสเซียโซเวียต เมื่อวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1918 สภากลางได้ออกประกาศสากลที่สี่ ซึ่งถือเป็นการทำลายความสัมพันธ์กับรัสเซียโซเวียตและประกาศสถานะเป็นรัฐอธิปไตยยูเครน[4] แต่ต่อมาไม่นาน เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 กองทัพแดงเข้ายึดเคียฟ

การที่ประเทศถูกล้อมรอบด้วยกองกำลังบอลเชวิคและสูญเสียดินแดนเป็นจำนวนมาก สภากลางจึงขอความช่วยเหลือจากต่างชาติและลงนามในสนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 เพื่อขอความข่วยเหลือทางทหารจากจักรวรรดิเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการี ด้วยความช่วยเหลือจากเยอรมนีทำให้กองทัพยูเครนสามารถขับไล่บอลเชวิคออกจากประเทศได้ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 สภาแห่งสาธารณรัฐประชาชนคูบันยอมรับการลงมติสำหรับการรวมสหพันธ์ระหว่างคูบันและยูเครน หลังกองกำลังบอลเชวิคออกจากเยกาเตรีโนดาร์ และทางสภาแห่งคูบันจึงให้สัตยาบันต่อรัฐบาลยูเครน

หลังสนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์ ยูเครนเริ่มกลายเป็นรัฐในอารักขาของจักรวรรดิเยอรมันมากขึ้นเรื่อย ๆ และทางเยอรมนีกังวลว่าจะพ่ายแพ้ในสงคราม จึงเร่งดำเนินการเคลื่อนย้ายทรัพยากรและเสบียงจำนวนมากจากยูเครน โดยตัดสินใจจัดตั้งหน่วยบริหารภายใต้การดูแลของจอมพลแฮร์มัน ฟ็อน ไอช์ฮอร์น และต่อมาเป็นพลเอกอาวุโสอเล็คซันเดอร์ ฟ็อน ลินซินเงิน เมื่อวันที่ 6 เมษายน ผู้บัญชาการกองทัพแห่งเคียฟออกคำสั่งที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขของสนธิสัญญาตามความตั้งใจของเขา แต่คำสั่งของเขาเกิดขัดแย้งกันกับกฎหมายของรัฐบาล ดังนั้นคำสั่งนี้จึงเป็นโมฆะ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1918 ปฏิบัติการเฟาสท์ชลักของเยอรมนี-ออสเตรียทำให้อิทธิพลของบอลเชวิคถูกลบล้างออกจากยูเครนอย่างสมบูรณ์[5][6][7][8][9] ชัยชนะของเยอรมนี/ออสเตรีย-ฮังการีนั้นเกิดจากความเมินเฉยของชาวบ้านท้องถิ่นและการมีประสบการณ์ด้อยกว่าของกองกำลังบอลเชวิค เมื่อเทียบกับกองทัพเยอรมันและออสเตรีย-ฮังการี[9]

กองทัพเยอรมันทำการยึดอำนาจและยกเลิกสภากลางยูเครนเมื่อวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1918 เพื่อหยุดยั้งการปฏิรูปสังคมที่เกิดขึ้นและเริ่มดำเนินการเคลื่อนย้ายทรัพยากรไปยังเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี เจ้าหน้าที่เยอรมันเข้าจับกุมนายกรัฐมนตรียูเครนวแซวอลอด ฮอลูบอวึช ในข้อหาก่อการร้ายและทำให้เกิดการยกเลิกสภารัฐมนตรีประชาชน (Council of People's Ministers) เนื่องจากก่อนหน้านี้สภากลางได้อนุมัติใช้รัฐธรรมนูญแห่งสาธารณรัฐประชาชนยูเครน

รัฐผู้บัญชาการ

[แก้]
แผนที่ในช่วงพฤษภาคม–พฤศจิกายน ค.ศ. 1918:
  รัฐยูเครน
  ดินแดนสหภาพยูเครน (ลายแถบ)

ภายหลังการยึดอำนาจ สภากลางยูเครนถูกแทนที่โดยรัฐบาลอนุรักษนิยมของผู้บัญชาการแห่งรัฐ เปาลอ สกอรอปัดสกึย และเปลี่ยนจากสาธารณรัฐประชาชนเป็น "รัฐยูเครน" (Ukrayinska derzhava) สกอรอปัดสกึยผู้ซึ่งเป็นอดีตข้าราชการของจักรวรรดิรัสเซียได้ก่อตั้งระบอบการปกครองที่เป็นที่ชื่นชอบต่อเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ แต่ทว่ารัฐบาลได้รับการสนับสนุนเพียงเล็กน้อยจากนักเคลื่อนไหวชาวยูเครน ซึ่งแตกต่างจากสภากลางที่สามารถจัดตั้งหน่วยบริหารที่มีประสิทธิภาพได้ อีกทั้งยังสร้างความสัมพันธ์ทางการทูตกับหลายประเทศ และเจรจาสันติภาพกับรัสเซียโซเวียตสำเร็จอีกด้วย ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน รัฐผู้บัญชาการได้จัดพิมพ์หนังสือเรียนในภาษายูเครนเป็นจำนวนหลายล้านเล่ม ก่อตั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัยจำนวนมาก และจัดตั้งสถาบันวิทยาศาสตร์ยูเครน

รัฐบาลผู้บัญชาการยังสนับสนุนการยึดครองที่ดินของชาวนาโดยเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเยอรมัน ซึ่งสิ่งนี้นำไปสู่ความไม่สงบที่เพิ่มขึ้นจากขบวนการพลพรรคชาวนาและการจราจลด้วยอาวุธขนานใหญ่ การเจรจาถูกจัดขึ้นเพื่อสนับสนุนสมาชิกสภากลางอย่างแปตลูราและวึนนือแชนกอ แต่นักเคลื่อนไหวเหล่านี้ต้องการโค่นล้มรัฐบาลสกอรอปัดสกึย เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม สมาชิกพรรคปฏิวัติสังคมนิยมฝ่ายซ้ายของรัสเซียบอริส มีไฮโลวิช ดอนสกอย ซี่งได้รับการช่วยเหลือจากพรรคปฏิวัติสังคมนิยมยูเครน ประสบความสำเร็จในการลอบสังหารจอมพลแฮร์มัน ฟ็อน ไอช์ฮอร์น

เนื่องจากการเสื่อมลงของกองกำลังเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการีในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สกอรอปัดสกึยจึงจัดตั้งคณะรัฐมนตรีแห่งราชาธิปไตยรัสเซียใหม่ และพยายามจะเข้าร่วมกับรัฐบาลรัสเซียที่ไม่ใช่บอลเชวิค ในขณะที่นักสังคมนิยมยูเครนตอบโต้ด้วยการประกาศจัดตั้งรัฐบาลปฏิวัติใหม่ในชื่อ "คณะกรรมาธิการยูเครน" เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918

คณะกรรมาธิการยูเครน

[แก้]
รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนยูเครนใน ค.ศ. 1920 - โดยมีซือมอน แปตลูรา (คนที่นั่งตรงกลาง) เป็นหัวหน้ารัฐบาล

คณะกรรมาธิการได้รับความนิยมเป็นจำนวนมากจากประชาชนและหน่วยทหารบางส่วนของสกอรอปัดสกึย ซึ่งได้ก่อจราจลในเคียฟเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ภายหลังสามสัปดาห์ที่อับจนอย่างยาวนานของสกอรอปัดสกึย ในที่สุดเขาจึงลาออกเพื่อให้การสนับสนุนคณะรัฐมนตรีของเขาที่ต่อมาได้ยอมจำนนต่อกองกำลังปฏิวัติ และในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1918 คณะกรรมาธิการเข้าควบคุมเคียฟได้สมบูรณ์

กองกำลังบอลเชวิคเข้ารุกรานยูเครนจากคูสค์ในปลายเดือนธันวาคม ค.ศ. 1918 ที่ซึ่งรัฐบาลยูเครนโซเวียตใหม่ก่อตั้งขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน เมื่อวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1919 ยูเครนประกาศสงครามกับรัสเซียอย่างเป็นทางการ ขณะที่รัฐบาลรัสเซียโซเวียตยังคงปฏิเสธการกล่าวอ้างการรุกรานทั้งหมด ในวันที่ 22 มกราคม ค.ศ. 1919 คณะกรรมาธิการได้รวมสาธารณรัฐประชาชนยูเครนตะวันตกเป็นส่วนหนึ่งอย่างเป็นทางการ แม้ว่าในทางพฤตินัยแล้วจะยังมีกองทัพและรัฐบาลเป็นของตนเองก็ตาม และในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ กองกำลังบอลเชวิคเข้ายึดเคียฟอีกครั้ง[10]

พรมแดนที่ถูกเสนอโดยผู้แทนชาวยูเครนในการประชุมสันติภาพปารีส

ตลอดช่วง ค.ศ. 1919 ยูเครนประสบกับความโกลาหลจากการต่อสู้กันของกองทัพสาธารณรัฐยูเครน บอลเชวิค กองทัพขาว มหาอำนาจไตรภาคี และโปแลนด์ รวมถึงกลุ่มอนาธิปไตยที่นำโดยแนสตอร์ มัคนอ ซึ่งต้องการมีอำนาจในยูเครน แม้ว่าการรุกเคียฟโดยกองทัพพันธมิตรโปแลนด์-ยูเครนจะประสบความสำเร็จในช่วงแรก แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ที่ดำเนินอยู่นี้ได้ ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1920 คณะกรรมาธิการสูญเสียดินแดนที่เหลืออยู่แก่บอลเชวิคในวอลึญ และพลัดถิ่นไปที่โปแลนด์[11] ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1921 สนธิสัญญาสันติภาพรีกาได้กำหนดพรมแดนระหว่างโปแลนด์ รัสเซียโซเวียต และยูเครนโซเวียต

หลังการลงนามในสนธิสัญญาสันติภาพรีกา ดินแดนกาลิเชียและพื้นที่ส่วนใหญ่ของวอลึญถูกผนวกรวมกับโปแลนด์ ขณะที่ดินแดนทางตะวันออกและใต้กลายเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน

หลังความพ่ายแพ้ทางทหารและการเมือง คณะกรรมาธิการยังคงควบคุมกองกำลังทหารบางส่วนต่อไป เนื่องจากกังวลถึงแผนการที่อาจจะเกิดขึ้นของอาร์ชดยุกวิลเฮ็ล์มแห่งออสเตรีย ซึ่งเป็นศัตรูทางการเมืองกับคณะ[12] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1921 รัฐบาลพลัดถิ่นสาธารณรัฐประชาชนยูเครนเปิดฉากการโจมตีแบบกองโจรในภาคกลางของยูเครน ตั้งแต่ทางตะวันออกไกลจนถึงแคว้นเคียฟ เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน กองโจรของคณะกรรมาธิการเข้ายึดกอรอสแตญ พร้อมทั้งกองทหารและทรัพยากรจำนวนมาก แต่ในวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1921 กองกำลังนี้ถูกปราบโดยทหารม้าบอลเชวิคและสลายตัวลง

รัฐบาลพลัดถิ่น

[แก้]
มือกอลา ปลาวุก ประธานาธิบดีคนสุดท้ายของสาธารณรัฐประชาชนยูเครนพลัดถิ่น

คณะกรรมาธิการได้จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นสาธารณรัฐประชาชนยูเครนและกระทำการเคลื่อนไหวอยู่ในวอร์ซอ ปารีส ไวมาร์ คิสซิงเงิน มิวนิก และฟิลาเดลเฟีย

ระหว่างการปะทุของสงครามโลกครั้งที่สอง ตารัส บุลบา-บอรอแวตส์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีพลัดถิ่นอันดรีย์ ลีวึตสกึย ได้ข้ามพรมแดนเยอรมัน-โซเวียตและจัดตั้งหน่วยทหารอูแปอาภายใต้สังกัดรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนยูเครน[13]

ในการประชุมฉุกเฉินครั้งที่ 10 ของสภาแห่งชาติยูเครน มีการรับรองรัฐยูเครนในฐานะผู้สืบทอดของรัฐบาลพลัดถิ่นสาธารณรัฐประชาชนยูเครน และ ตกลงที่จะโอนอำนาจรัฐไปยังประธานาธิบดียูเครนที่ได้รับการเลือกตั้งใหม่ใน ค.ศ. 1991[14]

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

[แก้]

สาธารณรัฐประชาชนยูเครนได้รับการรับรองทางนิตินัยในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 โดยประเทศมหาอำนาจกลางในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี เยอรมนี จักรวรรดิออตโตมัน และบัลแกเรีย)[15] และโดยรัสเซียบอลเชวิค กลุ่มประเทศบอลติก (เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย) จอร์เจีย อาเซอร์ไบจาน โรมาเนีย เชโกสโลวาเกีย และสันตะสำนัก และประเทศที่รับรองทางพฤตินัย ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ สวีเดน เดนมาร์ก และเปอร์เซีย[16] อีกทั้งยังได้รับการรับรองบางส่วนจากสาธารณรัฐประชาชนเบลารุสด้วย

ต่อมาใน ค.ศ. 1918 รัสเซียได้ถอนการรับรองเอกราชของยูเครน โดยอ้างถึงพิธีสารในสนธิสัญญาแวร์ซายเป็นเหตุผลในการดำเนินการ ใน ค.ศ. 1920 ซือมอน แปตลูรา และยูแซฟ ปิวซุดสกี ร่วมลงนามในสนธิสัญญาวอร์ซอ ซึ่งทั้งสองประเทศถือเอาแม่น้ำซบรุชเป็นเส้นแบ่งพรมแดน[17][18][19] อย่างไรก็ตาม รัฐต่าง ๆ ที่เคยรับรองสาธารณรัฐประชาชนยูเครนได้ยุติความสัมพันธ์ทั้งหมดกับรัฐบาลพลัดถิ่น และหันให้การรับรองรัฐบาลโซเวียตในเคียฟแทน[16]

ภารกิจทางการทูตที่สำคัญ

[แก้]
  • สนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์; 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 (ได้รับการรับรองจากเยอรมนีและตุรกี)
  • สนธิสัญญาสันติภาพเบื้องต้นกับรัสเซียโซเวียต; 12 มิถุนายน ค.ศ. 1918 (ยกเลิกสนธิสัญญาเบรสท์-ลีตอฟสก์ เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918)
  • สนธิสัญญาสันติภาพกับสาธารณรัฐดอน; 8 สิงหาคม ค.ศ. 1918
  • รัฐบัญญัติรวมชาติ; 20 มกราคม ค.ศ. 1919 (รวมสองสาธารณรัฐที่มีได้รับการรับรองบางส่วน) สาธารณรัฐฮุตซุล (ซาการ์ปัจจาตะวันออก) ประกาศเข้าร่วมเช่นกัน
  • การสูญเสียเคียฟแก่โซเวียต; 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1919 และวิกฤตทางการเมืองภายในรัฐบาลแห่งชาติยูเครน
  • การลาออกของแซร์ฮีย์ ออสตาแปนกอ และรัฐบาลของเขา เนื่องจากความล้มเหลวในการเจรจากับมหาอำนาจไตรภาคี
  • การมีส่วนร่วมในการประชุมสันติภาพปารีส ค.ศ. 1919
  • ดินแดนในอาณัติกาลิเชียตะวันออกได้รับการอนุมัติโดยมหาอำนาจไตรภาคีเพื่อส่งมอบแก่โปแลนด์; 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1919
  • สนธิสัญญาวอร์ซอใน ค.ศ. 1920 กับโปแลนด์

ประชากรศาสตร์

[แก้]

ตามการสำรวจสำมะโนประชากรใน ค.ศ. 1897 สาธารณรัฐมีประชากรมากกว่า 20 ล้านคนในพื้นที่อดีตเจ็ดเขตผู้ว่าการ และอีกสามเทศมณฑลของเขตผู้ว่าการเทาริดาที่อยู่ในแผ่นดินใหญ่

กลุ่มชาติพันธุ์ในสาธารณรัฐประชาชนยูเครน (พันคน)

การแบ่งเขตการปกครอง

[แก้]
เขตการปกครองของยูเครนใน ค.ศ. 1918

เมื่อวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1918 รัฐบาลยูเครนได้ออกกฎหมายการแบ่งเขตการปกครองของประเทศ โดยในกฎหมายระบุว่ายูเครนจะแบ่งการปกครองออกเป็น 32 แซมเลีย (ดินแดน) โดยมีแซมสตวอ (земство) บริหารในเขตการปกครองนั้น ๆ อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับนี้ยังไม่ได้บังคับใช้อย่างจริงจัง เนื่องจากในวันที่ 29 เมษายน ค.ศ. 1918 เกิดการยึดอำนาจจากฝ่ายต่อต้านสังคมนิยมในเคียฟ ซึ่งหลังจากนั้นผู้บัญชาการแห่งรัฐเปาลอ สกอรอปัดสกึย ได้เปลี่ยนการบริหารกลับไปเป็นรูปแบบเขตผู้ว่าการตามสมัยจักรวรรดิรัสเซีย

ดูเพิ่ม

[แก้]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. ถูกล้มเลิกอย่างเป็นทางการหลังจากสนธิสัญญาสันติภาพรีกาใน ค.ศ. 1921 และกลายเป็นรัฐบาลพลัดถิ่นจนถึง ค.ศ. 1992
  2. พลัดถิ่นตั้งแต่ ค.ศ. 1920–1926
  3. ยูเครน: Украї́нська Наро́дня Респу́бліка, อักษรโรมัน: Ukrayinska Narodnya Respublika; สะกดตามอักขรวิธีสมัยใหม่ได้ว่า Украї́нська Наро́дна Респу́бліка, อักษรโรมัน: Ukrayinska Narodna Respublika; อักษรย่อ: УНР, อักษรโรมัน: UNR

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 Yekelchyk 2007.
  2. Europa Publications (1999). Eastern Europe and the Commonwealth of Independent States, 1999. Taylor & Francis. p. 849. ISBN 978-1-85743-058-5.
  3. The Third Universal in the archives of the Verkhovna Rada (ในภาษายูเครน)
  4. Serhy Yekelchyk, Ukraine: Birth of a Modern Nation, Oxford University Press (2007), ISBN 978-0-19-530546-3, p. 72
  5. "Ukraine - World War I and the struggle for independence". Encyclopædia Britannica. สืบค้นเมื่อ 2008-01-30.
  6. (ในภาษายูเครน) 100 years ago Bakhmut and the rest of Donbas liberated, Ukrayinska Pravda (18 April 2018)
  7. Tynchenko, Yaros (23 March 2018), "The Ukrainian Navy and the Crimean Issue in 1917–18", The Ukrainian Week, สืบค้นเมื่อ 14 October 2018
  8. Germany Takes Control of Crimea, New York Herald (18 May 1918)
  9. 9.0 9.1 War Without Fronts: Atamans and Commissars in Ukraine, 1917–1919 by Mikhail Akulov, Harvard University, August 2013 (pp. 102 and 103)
  10. Subtelny 2000, p. 365.
  11. Subtelny 2000, p. 375.
  12. Timothy Snyder (2008). Red Prince: the Secret Lives of a Habsburg Archduke. New York: Basic Books, pp. 138–148
  13. Бульба-Боровець Т. Армія без держави: слава і трагедія українського повстанського руху. Спогади.— Вінніпег: Накладом Товариства «Волинь», (tr, "glory and tragedy of the Ukrainian insurgent movement. Memories.— Winnipeg: Courtesy of the "Volyn" Society") 1981.— С. 113—115.
  14. Плав'юк М. Державний центр УНР на еміграції (ДЦ УНР) (tr. "UKR State Center for Emigration (UKR State Center)") เก็บถาวร 2016-08-17 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
  15. TERMS OF PEACE MADE BY UKRAINE; New Republic Gets Increased Territory at Expense of Rest of Russia, The New York Times, 12 February 1918 (PDF)
  16. 16.0 16.1 (Talmon 1998, p. 289)
  17. Alison Fleig Frank (1 July 2009). Oil Empire: Visions of Prosperity in Austrian Galicia. Harvard University Press. p. 228. ISBN 978-0-674-03718-2.
  18. Richard K. Debo (1992). Survival and Consolidation: The Foreign Policy of Soviet Russia, 1918-1921. McGill-Queen's Press - MQUP. pp. 210–211. ISBN 978-0-7735-6285-1.
  19. Ivan Katchanovski; Zenon E. Kohut; Bohdan Y. Nebesio; Myroslav Yurkevich (11 July 2013). Historical Dictionary of Ukraine. Scarecrow Press. pp. 747–. ISBN 978-0-8108-7847-1.

บรรณานุกรม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]

50°27′N 30°30′E / 50.450°N 30.500°E / 50.450; 30.500