ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ป้ายระบุ: ถูกย้อนกลับแล้ว |
||
บรรทัด 23: | บรรทัด 23: | ||
แม้ว่าตัวปฏิญญาฯ เองไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย แต่เนื้อหาของปฏิญญาฯ ได้มีการอธิบายเพิ่มเติมและรวมเข้าอยู่ในสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ตราสารสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาค และรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายของชาติต่าง ๆ ในเวลาต่อมา<ref name=":0" /> รัฐสมาชิกสหประชาชาติทั้ง 193 รัฐได้ให้สัตยาบันแก่สนธิสัญญาที่มีผลผูกพันอย่างน้อย 1 ใน 9 ฉบับซึ่งได้รับอิทธิพลจากปฏิญญาฯ และส่วนใหญ่ให้สัตยาบันแก่สนธิสัญญาจำนวนนี้อย่างน้อย 4 ฉบับหรือกว่านั้น นักวิชาการกฎหมายบางคนให้เหตุผลว่าการใช้ปฏิญญาฯ ดังกล่าวเป็นเวลา 50 ปีขึ้นไปน่าจะถือได้ว่ามีผลผูกพันเป็นกฎหมายระหว่างประเทศจารีตประเพณีแล้ว<ref>Henry J Steiner and Philip Alston, International Human Rights in Context: Law, Politics, Morals, (2nd ed), [[Oxford University Press]], Oxford, 2000.</ref><ref>Hurst Hannum, [https://cdn2.sph.harvard.edu/wp-content/uploads/sites/13/2014/04/16-Hannum.pdf The universal declaration of human rights in National and International Law], p.145</ref> แม้ว่าศาลในบางประเทศยังคงจำกัดผลลัพธ์ทางกฎหมายอยู่<ref>{{Cite news|last=Posner|first=Eric|date=2014-12-04|title=The case against human rights {{!}} Eric Posner|language=en-GB|work=The Guardian|url=https://www.theguardian.com/news/2014/dec/04/-sp-case-against-human-rights|access-date=2020-01-22|issn=0261-3077}}</ref><ref name=":1">''Sosa v. Alvarez-Machain'', 542 U.S. 692, 734 (2004).</ref> กระนั้น UDHR ได้มีอิทธิพลต่อการพัฒนาทางกฎหมาย การเมืองและสังคมทั้งในระดับโลกและประเทศ และมีความสำคัญจากการแปล 524 สำนวน ซึ่งมากกว่าเอกสารใด ๆ ในประวัติศาสตร์<ref>{{Cite web|title=OHCHR {{!}} Universal Declaration of Human Rights Main|url=https://www.ohchr.org/EN/UDHR/Pages/UDHRIndex.aspx|access-date=2020-08-20|website=www.ohchr.org}}</ref> |
แม้ว่าตัวปฏิญญาฯ เองไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย แต่เนื้อหาของปฏิญญาฯ ได้มีการอธิบายเพิ่มเติมและรวมเข้าอยู่ในสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ตราสารสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาค และรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายของชาติต่าง ๆ ในเวลาต่อมา<ref name=":0" /> รัฐสมาชิกสหประชาชาติทั้ง 193 รัฐได้ให้สัตยาบันแก่สนธิสัญญาที่มีผลผูกพันอย่างน้อย 1 ใน 9 ฉบับซึ่งได้รับอิทธิพลจากปฏิญญาฯ และส่วนใหญ่ให้สัตยาบันแก่สนธิสัญญาจำนวนนี้อย่างน้อย 4 ฉบับหรือกว่านั้น นักวิชาการกฎหมายบางคนให้เหตุผลว่าการใช้ปฏิญญาฯ ดังกล่าวเป็นเวลา 50 ปีขึ้นไปน่าจะถือได้ว่ามีผลผูกพันเป็นกฎหมายระหว่างประเทศจารีตประเพณีแล้ว<ref>Henry J Steiner and Philip Alston, International Human Rights in Context: Law, Politics, Morals, (2nd ed), [[Oxford University Press]], Oxford, 2000.</ref><ref>Hurst Hannum, [https://cdn2.sph.harvard.edu/wp-content/uploads/sites/13/2014/04/16-Hannum.pdf The universal declaration of human rights in National and International Law], p.145</ref> แม้ว่าศาลในบางประเทศยังคงจำกัดผลลัพธ์ทางกฎหมายอยู่<ref>{{Cite news|last=Posner|first=Eric|date=2014-12-04|title=The case against human rights {{!}} Eric Posner|language=en-GB|work=The Guardian|url=https://www.theguardian.com/news/2014/dec/04/-sp-case-against-human-rights|access-date=2020-01-22|issn=0261-3077}}</ref><ref name=":1">''Sosa v. Alvarez-Machain'', 542 U.S. 692, 734 (2004).</ref> กระนั้น UDHR ได้มีอิทธิพลต่อการพัฒนาทางกฎหมาย การเมืองและสังคมทั้งในระดับโลกและประเทศ และมีความสำคัญจากการแปล 524 สำนวน ซึ่งมากกว่าเอกสารใด ๆ ในประวัติศาสตร์<ref>{{Cite web|title=OHCHR {{!}} Universal Declaration of Human Rights Main|url=https://www.ohchr.org/EN/UDHR/Pages/UDHRIndex.aspx|access-date=2020-08-20|website=www.ohchr.org}}</ref> |
||
บยยข... |
|||
== โครงสร้าง == |
|||
.... |
|||
โครงสร้างพื้นเดิมของปฏิญญาฯ ได้รับอิทธิพลจาก[[ประมวลกฎหมายนโปเลียน]] ซึ่งมีอารัมภบทและหลักการทั่วไปในบทนำ<ref>{{harvnb|Glendon|2002|pp=62–64}}.</ref> โครงสร้างสุดท้ายมีรูปมาจากฉบับร่างที่สองที่เตรียมโดยนักนิติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส René Cassin ซึ่งทำงานต่อจากฉบับร่างแรกที่เตรียมโดยนักวิชาการกฎหมายชาวแคนาดา จอห์น ปีเตอส์ ฮัมฟรี |
|||
.. |
|||
ปฏิญญาฯ มีเนื้อหาต่อไปนี้: |
|||
* อารัมภบทระบุสาเหตุทางประวัติศาสตร์และสังคมซึ่งนำไปสู่ความจำเป็นของการร่างปฏิญญาฯ |
|||
* ข้อ 1–2 กำหนดมโนทัศน์พื้นฐานของศักดิ์ศรี เสรีภาพและความเสมอภาค |
|||
* ข้อ 3–5 กำหนดสิทธิปัจเจกอื่น เช่น สิทธิในการมีชีวิต และการห้ามมีทาสและการทรมาน |
|||
* ข้อ 6–11 เล่าถึงความชอบด้วยกฎหมายมูลฐานของสิทธิมนุษยชนและการเยียวยาหากมีการละเมิดสิทธิเหล่านั้น |
|||
* ข้อ 12–17 กำหนดสิทธิของปัจเจกต่อชุมชน รวมทั้งเสรีภาพในการเดินทาง (freedom of movement) |
|||
* ข้อ 18–21 อนุมัติ "เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ" และเสรีภาพทางจิตวิญญาณ สาธารณะและการเมือง เช่น เสรีภาพทางความคิด ความเห็น ศาสนาและสำนึก คำและการรวมกลุ่มอย่างสันติของปัจเจก |
|||
* ข้อ 22–27 อนุมัติสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของปัจเจก รวมทั้งบริการสาธารณสุข ย้ำถึงสิทธิอย่างกว้างขวางในมาตรฐานการครองชีพ กำหนดการอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมในกรณีร่างกายทรุดโทรมหรือทุพพลกายทางกาย และกล่าวถึงเป็นพิเศษแก่การดูแลแก่ผู้เป็นมารดาและบุตร |
|||
* ข้อ 28–30 กำหนดวิธีการทั่วไปสำหรับใช้สิทธิเหล่านี้ ขอบเขตที่สิทธิของปัจเจกใช้ไม่ได้ หน้าที่ของปัจเจกต่อสังคม และการห้ามใช้สิทธิที่เป็นการฝ่าฝืนความมุ่งประสงค์ขององค์การสหประชาชาติ |
|||
== เชิงอรรถ == |
== เชิงอรรถ == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 00:41, 11 ธันวาคม 2564
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน | |
---|---|
เอลีนอร์ โรสเวลต์ถือปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนภาษาอังกฤษ | |
สิทธิมนุษยชนที่สมัชชาสหประชาชาติลงมติรับในสมัยประชุมที่ 183 จัดขึ้น ณ กรุงปารีส ในวันที่ 10 ธันวาคม 1948 | |
สร้าง | 1948 |
ให้สัตยาบัน | 10 ธันวาคม ค.ศ. 1948 |
ที่ตั้ง | ปาแลเดอชาโย |
ผู้เขียน | คณะกรรมการร่าง[a] |
วัตถุประสงค์ | สิทธิมนุษยชน |
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (อังกฤษ: Universal Declaration of Human Rights หรือ UDHR) เป็นเอกสารระหว่างประเทศที่เชิดชูสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ทั้งปวง สมัชชาสหประชาชาติยอมรับตามข้อมติที่ 217 ในสมัยประชุมที่สาม วันที่ 10 ธันวาคม 1948 ณ ปาแลเดอชาโย ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส[1]
เอกสารนี้ถือเป็นข้อความรากฐานในประวัติศาสตร์สิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง ปฏิญญาฯ มีเนื้อหา 30 ข้อที่ลงรายละเอียด "สิทธิขั้นพื้นฐานและเสรีภาพมูลฐาน" ของปัจเจก และยืนยันลักษณะสากลของสิทธิเสรีภาพเหล่านี้ว่าเป็นสิทธิติดตัวมาแต่กำเนิด ไม่อาจโอนให้แก่กันได้ และใช้กับมนุษย์ทุกคน[1] UDHR ผูกมัดประชาชาติให้รับรองมนุษย์ทุกคนว่าเกิดมามีอิสระและมีศักดิ์ศรีและสิทธิเท่าเทียมกัน โดยไม่คำนึงถึงเชื้อชาติ ถิ่นพำนัก เพศ ชาติหรือชาติพันธุ์กำเนิด สีผิว ศาสนา ภาษาหรือสถานภาพอื่น[2] นับเป็นแรงบันดาลใจโดยตรงแก่การกำเนิดของกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
แม้ว่าตัวปฏิญญาฯ เองไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย แต่เนื้อหาของปฏิญญาฯ ได้มีการอธิบายเพิ่มเติมและรวมเข้าอยู่ในสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ตราสารสิทธิมนุษยชนระดับภูมิภาค และรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายของชาติต่าง ๆ ในเวลาต่อมา[1] รัฐสมาชิกสหประชาชาติทั้ง 193 รัฐได้ให้สัตยาบันแก่สนธิสัญญาที่มีผลผูกพันอย่างน้อย 1 ใน 9 ฉบับซึ่งได้รับอิทธิพลจากปฏิญญาฯ และส่วนใหญ่ให้สัตยาบันแก่สนธิสัญญาจำนวนนี้อย่างน้อย 4 ฉบับหรือกว่านั้น นักวิชาการกฎหมายบางคนให้เหตุผลว่าการใช้ปฏิญญาฯ ดังกล่าวเป็นเวลา 50 ปีขึ้นไปน่าจะถือได้ว่ามีผลผูกพันเป็นกฎหมายระหว่างประเทศจารีตประเพณีแล้ว[3][4] แม้ว่าศาลในบางประเทศยังคงจำกัดผลลัพธ์ทางกฎหมายอยู่[5][6] กระนั้น UDHR ได้มีอิทธิพลต่อการพัฒนาทางกฎหมาย การเมืองและสังคมทั้งในระดับโลกและประเทศ และมีความสำคัญจากการแปล 524 สำนวน ซึ่งมากกว่าเอกสารใด ๆ ในประวัติศาสตร์[7]
บยยข... .... ..
เชิงอรรถ
- ↑ Included John Peters Humphrey (Canada), René Cassin (France), P. C. Chang (Republic of China), Charles Malik (Lebanon), Hansa Mehta (India) and Eleanor Roosevelt (United States); see Creation and drafting section above.
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 1.2 "Human Rights Law". www.un.org (ภาษาอังกฤษ). 2015-09-02. สืบค้นเมื่อ 2020-08-20.
- ↑ UDHR Booklet, Art. 2.
- ↑ Henry J Steiner and Philip Alston, International Human Rights in Context: Law, Politics, Morals, (2nd ed), Oxford University Press, Oxford, 2000.
- ↑ Hurst Hannum, The universal declaration of human rights in National and International Law, p.145
- ↑ Posner, Eric (2014-12-04). "The case against human rights | Eric Posner". The Guardian (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). ISSN 0261-3077. สืบค้นเมื่อ 2020-01-22.
- ↑ Sosa v. Alvarez-Machain, 542 U.S. 692, 734 (2004).
- ↑ "OHCHR | Universal Declaration of Human Rights Main". www.ohchr.org. สืบค้นเมื่อ 2020-08-20.
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
- ตัวบทปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (อังกฤษ)