ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
BotKung (คุย | ส่วนร่วม)
เก็บกวาดบทความด้วยบอต
Mia Kato (คุย | ส่วนร่วม)
ย้อนการก่อกวน 1 ครั้งของ 2403:6200:8810:F962:1874:B50:3285:8839 (พูดคุย) ไปยังรุ่นโดย Siam2019 ด้วยสจห.
ป้ายระบุ: ทำกลับ
 
(ไม่แสดง 14 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 11 คน)
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{สิทธิ}}
'''สิทธิพลเมือง''' (Civil Rights) หมายถึง การที่[[พลเมือง]]ของ[[รัฐ]] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐสมัยใหม่สามารถกระทำได้ภายใต้กรอบของกฎหมายบ้านเมืองของ[[สังคม]]นั้นๆ ด้วยเหตุนี้ สิทธิพลเมืองจึงซ้อนทับอยู่กับ[[สิทธิทางการเมือง]] (political rights) เนื่องจากใน[[สังคม]] และการเมืองการปกครองสมัยใหม่นั้น [[เสรีภาพ]]จัดได้ว่าเป็นคุณธรรมรากฐานประการหนึ่งที่ระบบการเมือง และระบบกฎหมายจะต้องธำรงรักษาไว้ ทว่าหาก[[พลเมือง]]ทุกคนมี[[เสรีภาพ]]อย่างไม่จำกัดแล้วไซร้ การใช้[[เสรีภาพ]]ของ[[พลเมือง]]คนหนึ่งๆ ก็อาจนำมาซึ่งการละเมิดการมี[[เสรีภาพ]]ของ[[พลเมือง]]คนอื่นๆ ใน[[รัฐ]]ได้เช่นกัน ดังนั้น [[เสรีภาพ]]ของ[[พลเมือง]]จึงต้องอยู่ภายใต้กรอบของ[[กฎหมาย]]ที่[[รัฐ]]กำหนดว่า สิ่งใดที่[[พลเมือง]]ไม่อาจกระทำเพราะจะเป็นการละเมิดเสรีภาพของผู้อื่น หรือ สิ่งใดที่[[พลเมือง]]สามารถกระทำได้อย่างอิสระโดยปราศจากการควบคุมของ[[รัฐ]] เป็นที่มาของการเกิดสิ่งซึ่งเรียกว่า [[สิทธิทางการเมือง]] หรือ สิทธิพลเมือง (Kurian, 2011: 235)<ref>Kurian, George Thomas (2011). The encyclopedia of political science. Washington: CQ Press.</ref> ซึ่งในแง่นี้สิทธิพลเมืองจะมีความหมายและขอบเขตแคบกว่า[[สิทธิมนุษยชน]] (Human Rights) เพราะสิทธิพลเมืองจะเป็นสิทธิที่พลเมืองทุกๆ คนมีในฐานะ[[พลเมือง]]ของ[[รัฐ]] ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามความคุ้มครองโดยกฎหมายของรัฐที่ตนเป็นพลเมืองอยู่ แต่[[สิทธิมนุษยชน]]นั้นเป็นสิทธิสากลที่มนุษย์ทุกผู้คนบนโลกนี้ พึงมีเหมือนๆ กันไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด หรือ เป็น[[พลเมือง]]ของ[[รัฐ]]ใดก็ตาม
'''สิทธิพลเมือง''' (Civil Rights) หมายถึง การที่[[พลเมือง]]ของ[[รัฐ]] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐสมัยใหม่สามารถคนในสังคมไทย
กระทำได้ภายใต้กรอบของกฎหมายบ้านเมืองของ[[สังคม]]นั้น ๆ ด้วยเหตุนี้ สิทธิพลเมืองจึงซ้อนทับอยู่กับ[[สิทธิทางการเมือง]] (political rights) เนื่องจากใน[[สังคม]] และการเมืองการปกครองสมัยใหม่นั้น [[เสรีภาพ]]จัดได้ว่าเป็นคุณธรรมรากฐานประการหนึ่งที่ระบบการเมือง และระบบกฎหมายจะต้องธำรงรักษาไว้ ทว่าหาก[[พลเมือง]]ทุกคนมี[[เสรีภาพ]]อย่างไม่จำกัดแล้วไซร้ การใช้[[เสรีภาพ]]ของ[[พลเมือง]]คนหนึ่ง ๆ ก็อาจนำมาซึ่งการละเมิดการมี[[เสรีภาพ]]ของ[[พลเมือง]]คนอื่น ๆ ใน[[รัฐ]]ได้เช่นกัน ดังนั้น [[เสรีภาพ]]ของ[[พลเมือง]]จึงต้องอยู่ภายใต้กรอบของ[[กฎหมาย]]ที่[[รัฐ]]กำหนดว่า สิ่งใดที่[[พลเมือง]]ไม่อาจกระทำเพราะจะเป็นการละเมิดเสรีภาพของผู้อื่น หรือ สิ่งใดที่[[พลเมือง]]สามารถกระทำได้อย่างอิสระโดยปราศจากการควบคุมของ[[รัฐ]] เป็นที่มาของการเกิดสิ่งซึ่งเรียกว่า [[สิทธิทางการเมือง]] หรือ สิทธิพลเมือง (Kurian, 2011: 235)<ref>Kurian, George Thomas (2011). The encyclopedia of political science. Washington: CQ Press.</ref> ซึ่งในแง่นี้สิทธิพลเมืองจะมีความหมายและขอบเขตแคบกว่า[[สิทธิมนุษยชน]] (Human Rights) เพราะสิทธิพลเมืองจะเป็นสิทธิที่พลเมืองทุกๆ คนมีในฐานะ[[พลเมือง]]ของ[[รัฐ]] ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามความคุ้มครองโดยกฎหมายของรัฐที่ตนเป็นพลเมืองอยู่ แต่[[สิทธิมนุษยชน]]นั้นเป็นสิทธิสากลที่มนุษย์ทุกผู้คนบนโลกนี้ พึงมีเหมือน ๆ กันไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด หรือ เป็น[[พลเมือง]]ของ[[รัฐ]]ใดก็ตาม


'''สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง''' หรือ '''สิทธิทางแพ่งและสิทธิทางการเมือง''' คือ[[ความคุ้มครอง]]และ[[สิทธิประโยชน์]]ที่มอบให้[[พลเมือง]]ทุกคนตามกฎหมาย
'''สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง''' หรือ '''สิทธิทางแพ่งและสิทธิทางการเมือง''' คือ[[ความคุ้มครอง]]และ[[สิทธิประโยชน์]]ที่มอบให้[[พลเมือง]]ทุกคนตามกฎหมาย
บรรทัด 8: บรรทัด 10:
== อรรถาธิบาย ==
== อรรถาธิบาย ==


แน่นอนว่าแนวคิดเกี่ยวกับสิทธิพลเมืองนั้นย่อมจะต้องเกิดขึ้นหลังจากที่สถานภาพของมนุษย์ใน[[สังคม]]การเมืองนั้นได้ถูกแปรเปลี่ยนจาก “[[ไพร่]]” (subject) มาเป็น “[[พลเมือง]]” (citizen) เสียก่อน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ได้เกิดขึ้นครั้งแรกภายหลัง[[การปฏิวัติฝรั่งเศส|การปฏิวัติใหญ่ในปี ค.ศ. 1789 ในฝรั่งเศส]] ที่ได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ของผู้คนใน[[สังคม]]จากเดิมที่มีสถานภาพเป็น[[ชนชั้น]] หรือ [[ฐานันดร]]ต่างๆ มาเป็น[[พลเมือง]] (citizen) ที่มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น การเกิดขึ้นของพลเมืองนี้ทำให้เกิด[[สัญญาประชาคม]]ใหม่ที่พันธะของ[[รัฐ]]ที่มีต่อ[[พลเมือง]]เปลี่ยนไปจากเดิม หรือในอีกนัยหนึ่ง ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้ปกครอง และผู้ถูกปกครองนั้นได้เปลี่ยนไป
แน่นอนว่าแนวคิดเกี่ยวกับสิทธิพลเมืองนั้นย่อมจะต้องเกิดขึ้นหลังจากที่สถานภาพของมนุษย์ใน[[สังคม]]การเมืองนั้นได้ถูกแปรเปลี่ยนจาก “[[ไพร่]]” (subject) มาเป็น “[[พลเมือง]]” (citizen) เสียก่อน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ได้เกิดขึ้นครั้งแรกภายหลัง[[การปฏิวัติฝรั่งเศส|การปฏิวัติใหญ่ในปี ค.ศ. 1789 ในฝรั่งเศส]] ที่ได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ของผู้คนใน[[สังคม]]จากเดิมที่มีสถานภาพเป็น[[ชนชั้น]] หรือ [[ฐานันดร]]ต่าง ๆ มาเป็น[[พลเมือง]] (citizen) ที่มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น การเกิดขึ้นของพลเมืองนี้ทำให้เกิด[[สัญญาประชาคม]]ใหม่ที่พันธะของ[[รัฐ]]ที่มีต่อ[[พลเมือง]]เปลี่ยนไปจากเดิม หรือในอีกนัยหนึ่ง ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้ปกครอง และผู้ถูกปกครองนั้นได้เปลี่ยนไป


การที่กล่าวว่าพลเมืองฝรั่งเศสในสมัยนั้นมีความเท่าเทียมกันก็เพราะภายหลังที่เกิดการปฏิวัติในเดือน[[สิงหาคม]]ได้มีการร่างและการประกาศ “ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพลเมือง” (declaration of the rights of man and of the citizen) ซึ่งปฏิญญาดังกล่าวนี้เองที่เป็นสิ่งรับประกันในความเท่าเทียมของการมี[[สิทธิทางการเมือง]] หรือ สิทธิพลเมือง ของประชาชนฝรั่งเศสทุกๆ คน และเป็นที่มาของการเกิดสิ่งที่เราเรียกว่า “[[พลเมือง]]” ของ[[รัฐ]]ที่เท่าเทียมกันขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกสมัยใหม่
การที่กล่าวว่าพลเมืองฝรั่งเศสในสมัยนั้นมีความเท่าเทียมกันก็เพราะภายหลังที่เกิดการปฏิวัติในเดือน[[สิงหาคม]]ได้มีการร่างและการประกาศ “ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพลเมือง” (declaration of the rights of man and of the citizen) ซึ่งปฏิญญาดังกล่าวนี้เองที่เป็นสิ่งรับประกันในความเท่าเทียมของการมี[[สิทธิทางการเมือง]] หรือ สิทธิพลเมือง ของประชาชนฝรั่งเศสทุก ๆ คน และเป็นที่มาของการเกิดสิ่งที่เราเรียกว่า “[[พลเมือง]]” ของ[[รัฐ]]ที่เท่าเทียมกันขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกสมัยใหม่


หลักสิทธิพลเมืองที่ปฏิญญาดังกล่าวนี้ได้แถลงไว้ ได้แก่ การมี และใช้[[เสรีภาพ]]ภายใต้กรอบที่กฎหมายกำหนด สิทธิในการถือครองกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล (property rights) สิทธิในการต่อต้านการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมของรัฐ (rights of resistance) สิทธิในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ สิทธิของผู้ต้องหา (rights of the accused) และที่สำคัญที่สุดก็คือ สิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ (freedom of expression) เป็นต้น
หลักสิทธิพลเมืองที่ปฏิญญาดังกล่าวนี้ได้แถลงไว้ ได้แก่ การมี และใช้[[เสรีภาพ]]ภายใต้กรอบที่กฎหมายกำหนด สิทธิในการถือครองกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล (property rights) สิทธิในการต่อต้านการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมของรัฐ (rights of resistance) สิทธิในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ สิทธิของผู้ต้องหา (rights of the accused) และที่สำคัญที่สุดก็คือ สิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ (freedom of expression) เป็นต้น


ภายหลังเมื่อรัฐต่างๆ ในโลกได้เปลี่ยนแปลงเข้าสู่สมัยใหม่ และปกครองด้วย[[ระบอบประชาธิปไตย]]แล้ว แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิพลเมือง หรือ สิทธิพื้นฐานทางการเมืองที่[[พลเมือง]]ทุกๆ คนของรัฐพึงมีนั้นจึงได้แพร่หลายออกไป เพราะใน[[ระบอบประชาธิปไตย]]นั้น[[ประชาชน]]ทุกๆคนคือที่มาของอำนาจอันชอบธรรมของการใช้อำนาจรัฐ ดังนั้น แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิพลเมืองจึงได้หยั่งรากลึก และขยายขอบเขตออกไปกว้างขวางกว่าเดิมในสภาวการณ์ของโลกที่ปกครองด้วยระบอบเสรีประชาธิปไตย
ภายหลังเมื่อรัฐต่าง ๆ ในโลกได้เปลี่ยนแปลงเข้าสู่สมัยใหม่ และปกครองด้วย[[ระบอบประชาธิปไตย]]แล้ว แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิพลเมือง หรือ สิทธิพื้นฐานทางการเมืองที่[[พลเมือง]]ทุกๆ คนของรัฐพึงมีนั้นจึงได้แพร่หลายออกไป เพราะใน[[ระบอบประชาธิปไตย]]นั้น[[ประชาชน]]ทุกๆคนคือที่มาของอำนาจอันชอบธรรมของการใช้อำนาจรัฐ ดังนั้น แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิพลเมืองจึงได้หยั่งรากลึก และขยายขอบเขตออกไปกว้างขวางกว่าเดิมในสภาวการณ์ของโลกที่ปกครองด้วยระบอบเสรีประชาธิปไตย


การขยายตัวดังกล่าวเห็นได้ชัดเจนในสหรัฐฯ ที่เกิดขบวนการที่รู้จักกันในชื่อ “ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง” (civil rights movement) อันเกิดจากปัญหาความขัดแย้งที่มีที่มาจากแนวคิด “แบ่งแยกแต่เท่าเทียม” (Separate but Equal) ของคนที่มีสีผิวแตกต่างในสังคมอเมริกันในช่วงศตวรรษที่ 20 อันก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันของพลเมืองอเมริกันขึ้น โดยมีการกีดกัน (segregation) คนผิวดำ ตั้งแต่การแบ่งแยกการใช้ห้องสุขา การใช้รถสาธารณะ ไปจนถึงการห้ามคนผิวดำพักค้างคืนในเมือง (ภายใต้กฎหมายที่ชื่อ “Sundown Ordinance” ของมลรัฐ[[โอไฮโอ]] และ[[โอเรกอน]]) จนกระทั่งเมื่อหญิงสาวผิวดำที่ชื่อ โรซา พาร์ค (Rosa Parks) ได้ปฏิเสธนโยบายการแบ่งแยกสีผิวในรถเมล์ด้วยการเข้าไปนั่งในบริเวณของคนผิวขาวในปี ค.ศ. 1955 ซึ่งได้กลายเป็นชนวนเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมืองที่เท่าเทียมกันในช่วงทศวรรษ 1950–1980 ขึ้น จนกระทั่งท้ายที่สุดรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้มีการประกาศรัฐบัญญัติสิทธิพลเมือง (Civil Rights Act of 1875) ขึ้นในปี ค.ศ. 1875 อันทำให้พลเมืองสหรัฐฯ ทุกๆ คนนั้นมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน ภายใต้หลักการให้ความคุ้มครองอย่างเสมอภาคภายใต้กฎหมาย (equal protection of the laws) ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ที่มีมาแต่เดิมนั่นเอง (Wasserman, 2000,123-127)<ref>Wasserman, David (2000). The basics of American politics. New York: Long man.</ref>
การขยายตัวดังกล่าวเห็นได้ชัดเจนในสหรัฐฯ ที่เกิดขบวนการที่รู้จักกันในชื่อ “ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง” (civil rights movement) อันเกิดจากปัญหาความขัดแย้งที่มีที่มาจากแนวคิด “แบ่งแยกแต่เท่าเทียม” (Separate but Equal) ของคนที่มีสีผิวแตกต่างในสังคมอเมริกันในช่วงศตวรรษที่ 20 อันก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันของพลเมืองอเมริกันขึ้น โดยมีการกีดกัน (segregation) คนผิวดำ ตั้งแต่การแบ่งแยกการใช้ห้องสุขา การใช้รถสาธารณะ ไปจนถึงการห้ามคนผิวดำพักค้างคืนในเมือง (ภายใต้กฎหมายที่ชื่อ “Sundown Ordinance” ของมลรัฐ[[โอไฮโอ]] และ[[โอเรกอน]]) จนกระทั่งเมื่อหญิงสาวผิวดำที่ชื่อ โรซา พาร์ค (Rosa Parks) ได้ปฏิเสธนโยบายการแบ่งแยกสีผิวในรถเมล์ด้วยการเข้าไปนั่งในบริเวณของคนผิวขาวในปี ค.ศ. 1955 ซึ่งได้กลายเป็นชนวนเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมืองที่เท่าเทียมกันในช่วงทศวรรษ 1950–1980 ขึ้น จนกระทั่งท้ายที่สุดรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้มีการประกาศรัฐบัญญัติสิทธิพลเมือง (Civil Rights Act of 1875) ขึ้นในปี ค.ศ. 1875 อันทำให้พลเมืองสหรัฐฯ ทุก ๆ คนนั้นมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน ภายใต้หลักการให้ความคุ้มครองอย่างเสมอภาคภายใต้กฎหมาย (equal protection of the laws) ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ที่มีมาแต่เดิมนั่นเอง (Wasserman, 2000,123-127)<ref>Wasserman, David (2000). The basics of American politics. New York: Long man.</ref>


== ตัวอย่างการนำไปใช้ในประเทศไทย ==
== ตัวอย่างการนำไปใช้ในประเทศไทย ==


[[ประเทศไทย]]นั้นกล่าวถึงสิทธิพลเมืองขึ้นครั้งแรกภายหลังจาก[[การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475|การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475]] ที่ได้เปลี่ยนสถานภาพ[[คนไทย]]จาก “[[ไพร่]]” มาเป็น “[[พลเมือง]]” ตามบทบัญญัติของ[[รัฐธรรมนูญ]]ที่กำหนดให้อำนาจนั้น “เป็นของราษฎรทั้งหลาย” (พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2475) เพราะภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ฐานที่มาของความชอบธรรมในการใช้อำนาจรัฐได้เปลี่ยนแปลงจากเบื้องบน คือจากตัว[[พระมหากษัตริย์]]ใน[[ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์]] มาเป็นจากเบื้องล่าง คือจากประชาชนชาวไทยทุกๆ คน ผ่านระบบตัวแทนจาก[[การเลือกตั้ง]]ที่เสรี และเป็นธรรม (free and fair elections) โดยมีการกำหนดบทบัญญัติว่าด้วย[[สิทธิ]]ของประชาชนชาวไทยไว้ใน[[รัฐธรรมนูญ]]อย่างชัดเจนตั้งแต่ไทยมีรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรก (คือรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475) ดังจะเห็นจากมาตรา 12 ของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ว่า
[[ประเทศไทย]]นั้นกล่าวถึงสิทธิพลเมืองขึ้นครั้งแรกภายหลังจาก[[การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475|การเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475]] ที่ได้เปลี่ยนสถานภาพ[[คนไทย]]จาก “[[ไพร่]]” มาเป็น “[[พลเมือง]]” ตามบทบัญญัติของ[[รัฐธรรมนูญ]]ที่กำหนดให้อำนาจนั้น “เป็นของราษฎรทั้งหลาย” (พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2475) เพราะภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ฐานที่มาของความชอบธรรมในการใช้อำนาจรัฐได้เปลี่ยนแปลงจากเบื้องบน คือจากตัว[[พระมหากษัตริย์]]ใน[[ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์]] มาเป็นจากเบื้องล่าง คือจากประชาชนชาวไทยทุก ๆ คน ผ่านระบบตัวแทนจาก[[การเลือกตั้ง]]ที่เสรี และเป็นธรรม (free and fair elections) โดยมีการกำหนดบทบัญญัติว่าด้วย[[สิทธิ]]ของประชาชนชาวไทยไว้ใน[[รัฐธรรมนูญ]]อย่างชัดเจนตั้งแต่ไทยมีรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรก (คือรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475) ดังจะเห็นจากมาตรา 12 ของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ว่า


''“...บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย[[ฐานันดรศักดิ์]]โดยกำเนิดก็ดี โดยแต่งตั้งก็ดี หรือประการอื่นใดก็ดีไม่กระทำให้เกิดเอกสิทธิ์อย่างใดเลย” หรือในมาตรา 14 ที่ว่า “...บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในร่างกาย เคหสถาน [[ทรัพย์สิน]] การพูด การเขียน การโฆษณา การศึกษาอบรม การประชุมโดยเปิดเผย การตั้งสมาคม การอาชีพ”''
''“...บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย[[ฐานันดรศักดิ์]]โดยกำเนิดก็ดี โดยแต่งตั้งก็ดี หรือประการอื่นใดก็ดีไม่กระทำให้เกิดเอกสิทธิ์อย่างใดเลย” หรือในมาตรา 14 ที่ว่า “...บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในร่างกาย เคหสถาน [[ทรัพย์สิน]] การพูด การเขียน การโฆษณา การศึกษาอบรม การประชุมโดยเปิดเผย การตั้งสมาคม การอาชีพ”''


จะเห็นได้ว่าสิทธิพื้นฐานทางการเมืองเหล่านี้ซึ่งได้รับอิทธิพล และแบบอย่างมาจากตะวันตกอย่างชัดเจน ได้กลายมาเป็นมาตรฐานที่[[รัฐ]]ให้การรับรอง และถูกบรรจุไว้ใน[[รัฐธรรมนูญ]]ทุกๆ ฉบับที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา (โดยไม่นับรวมธรรมนูญการปกครองของ[[คณะรัฐประหาร]]) หรือแม้แต่การบัญญัติสิทธิพลเมืองเพิ่มเติม เช่น สิทธิในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นต้น ทว่าในทางปฏิบัติ สิทธิพลเมืองบางอย่าง เช่น สิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี (freedom of expression) ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันใน[[สังคมไทย]]ว่ายังคงถูกจำกัดภายใต้กรอบคิดบางประการ<ref>สิริพรรณ นกสวน สวัสดี (2557), คำและแนวคิดประชาธิปไตยสมัยใหม่, เข้าถึงวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 ใน http://www.fes-thailand.org/wb/media/documents/Democ%20Terms%20and%20Concept%20Handbook_Final28112014_compressed%282%29.pdf</ref>
จะเห็นได้ว่าสิทธิพื้นฐานทางการเมืองเหล่านี้ซึ่งได้รับอิทธิพล และแบบอย่างมาจากตะวันตกอย่างชัดเจน ได้กลายมาเป็นมาตรฐานที่[[รัฐ]]ให้การรับรอง และถูกบรรจุไว้ใน[[รัฐธรรมนูญ]]ทุก ๆ ฉบับที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา (โดยไม่นับรวมธรรมนูญการปกครองของ[[คณะรัฐประหาร]]) หรือแม้แต่การบัญญัติสิทธิพลเมืองเพิ่มเติม เช่น สิทธิในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นต้น ทว่าในทางปฏิบัติ สิทธิพลเมืองบางอย่าง เช่น สิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี (freedom of expression) ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันใน[[สังคมไทย]]ว่ายังคงถูกจำกัดภายใต้กรอบคิดบางประการ<ref>สิริพรรณ นกสวน สวัสดี (2557), คำและแนวคิดประชาธิปไตยสมัยใหม่, เข้าถึงวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 ใน http://www.fes-thailand.org/wb/media/documents/Democ%20Terms%20and%20Concept%20Handbook_Final28112014_compressed%282%29.pdf {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20160304215939/http://www.fes-thailand.org/wb/media/documents/Democ%20Terms%20and%20Concept%20Handbook_Final28112014_compressed(2).pdf |date=2016-03-04 }}</ref>


== ดูเพิ่ม ==
== ดูเพิ่ม ==

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 09:53, 11 สิงหาคม 2567

สิทธิพลเมือง (Civil Rights) หมายถึง การที่พลเมืองของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐสมัยใหม่สามารถคนในสังคมไทย กระทำได้ภายใต้กรอบของกฎหมายบ้านเมืองของสังคมนั้น ๆ ด้วยเหตุนี้ สิทธิพลเมืองจึงซ้อนทับอยู่กับสิทธิทางการเมือง (political rights) เนื่องจากในสังคม และการเมืองการปกครองสมัยใหม่นั้น เสรีภาพจัดได้ว่าเป็นคุณธรรมรากฐานประการหนึ่งที่ระบบการเมือง และระบบกฎหมายจะต้องธำรงรักษาไว้ ทว่าหากพลเมืองทุกคนมีเสรีภาพอย่างไม่จำกัดแล้วไซร้ การใช้เสรีภาพของพลเมืองคนหนึ่ง ๆ ก็อาจนำมาซึ่งการละเมิดการมีเสรีภาพของพลเมืองคนอื่น ๆ ในรัฐได้เช่นกัน ดังนั้น เสรีภาพของพลเมืองจึงต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายที่รัฐกำหนดว่า สิ่งใดที่พลเมืองไม่อาจกระทำเพราะจะเป็นการละเมิดเสรีภาพของผู้อื่น หรือ สิ่งใดที่พลเมืองสามารถกระทำได้อย่างอิสระโดยปราศจากการควบคุมของรัฐ เป็นที่มาของการเกิดสิ่งซึ่งเรียกว่า สิทธิทางการเมือง หรือ สิทธิพลเมือง (Kurian, 2011: 235)[1] ซึ่งในแง่นี้สิทธิพลเมืองจะมีความหมายและขอบเขตแคบกว่าสิทธิมนุษยชน (Human Rights) เพราะสิทธิพลเมืองจะเป็นสิทธิที่พลเมืองทุกๆ คนมีในฐานะพลเมืองของรัฐ ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามความคุ้มครองโดยกฎหมายของรัฐที่ตนเป็นพลเมืองอยู่ แต่สิทธิมนุษยชนนั้นเป็นสิทธิสากลที่มนุษย์ทุกผู้คนบนโลกนี้ พึงมีเหมือน ๆ กันไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด หรือ เป็นพลเมืองของรัฐใดก็ตาม

สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง หรือ สิทธิทางแพ่งและสิทธิทางการเมือง คือความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ที่มอบให้พลเมืองทุกคนตามกฎหมาย สิทธิพลเมืองนั้นเป็นสิทธิที่แยกออกจาก "สิทธิมนุษยชน" และ "สิทธิธรรมชาติ" กล่าวคือสิทธิพลเมืองเป็นสิทธิที่มอบให้โดยชาติและมีอยู่ภายในเขตแดนนั้น ในขณะที่สิทธิธรรมชาติหรือสิทธิมนุษยชนนั้น เป็นสิทธิที่นักวิชาการจำนวนมากอ้างว่าปัจเจกบุคคลมีอยู่แต่กำเนิดโดยธรรมชาติ

อรรถาธิบาย

[แก้]

แน่นอนว่าแนวคิดเกี่ยวกับสิทธิพลเมืองนั้นย่อมจะต้องเกิดขึ้นหลังจากที่สถานภาพของมนุษย์ในสังคมการเมืองนั้นได้ถูกแปรเปลี่ยนจาก “ไพร่” (subject) มาเป็น “พลเมือง” (citizen) เสียก่อน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้ได้เกิดขึ้นครั้งแรกภายหลังการปฏิวัติใหญ่ในปี ค.ศ. 1789 ในฝรั่งเศส ที่ได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคมจากเดิมที่มีสถานภาพเป็นชนชั้น หรือ ฐานันดรต่าง ๆ มาเป็นพลเมือง (citizen) ที่มีความเท่าเทียมกันมากขึ้น การเกิดขึ้นของพลเมืองนี้ทำให้เกิดสัญญาประชาคมใหม่ที่พันธะของรัฐที่มีต่อพลเมืองเปลี่ยนไปจากเดิม หรือในอีกนัยหนึ่ง ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้ปกครอง และผู้ถูกปกครองนั้นได้เปลี่ยนไป

การที่กล่าวว่าพลเมืองฝรั่งเศสในสมัยนั้นมีความเท่าเทียมกันก็เพราะภายหลังที่เกิดการปฏิวัติในเดือนสิงหาคมได้มีการร่างและการประกาศ “ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพลเมือง” (declaration of the rights of man and of the citizen) ซึ่งปฏิญญาดังกล่าวนี้เองที่เป็นสิ่งรับประกันในความเท่าเทียมของการมีสิทธิทางการเมือง หรือ สิทธิพลเมือง ของประชาชนฝรั่งเศสทุก ๆ คน และเป็นที่มาของการเกิดสิ่งที่เราเรียกว่า “พลเมือง” ของรัฐที่เท่าเทียมกันขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกสมัยใหม่

หลักสิทธิพลเมืองที่ปฏิญญาดังกล่าวนี้ได้แถลงไว้ ได้แก่ การมี และใช้เสรีภาพภายใต้กรอบที่กฎหมายกำหนด สิทธิในการถือครองกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล (property rights) สิทธิในการต่อต้านการใช้อำนาจที่ไม่ชอบธรรมของรัฐ (rights of resistance) สิทธิในการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ สิทธิของผู้ต้องหา (rights of the accused) และที่สำคัญที่สุดก็คือ สิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ (freedom of expression) เป็นต้น

ภายหลังเมื่อรัฐต่าง ๆ ในโลกได้เปลี่ยนแปลงเข้าสู่สมัยใหม่ และปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยแล้ว แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิพลเมือง หรือ สิทธิพื้นฐานทางการเมืองที่พลเมืองทุกๆ คนของรัฐพึงมีนั้นจึงได้แพร่หลายออกไป เพราะในระบอบประชาธิปไตยนั้นประชาชนทุกๆคนคือที่มาของอำนาจอันชอบธรรมของการใช้อำนาจรัฐ ดังนั้น แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิพลเมืองจึงได้หยั่งรากลึก และขยายขอบเขตออกไปกว้างขวางกว่าเดิมในสภาวการณ์ของโลกที่ปกครองด้วยระบอบเสรีประชาธิปไตย

การขยายตัวดังกล่าวเห็นได้ชัดเจนในสหรัฐฯ ที่เกิดขบวนการที่รู้จักกันในชื่อ “ขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง” (civil rights movement) อันเกิดจากปัญหาความขัดแย้งที่มีที่มาจากแนวคิด “แบ่งแยกแต่เท่าเทียม” (Separate but Equal) ของคนที่มีสีผิวแตกต่างในสังคมอเมริกันในช่วงศตวรรษที่ 20 อันก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันของพลเมืองอเมริกันขึ้น โดยมีการกีดกัน (segregation) คนผิวดำ ตั้งแต่การแบ่งแยกการใช้ห้องสุขา การใช้รถสาธารณะ ไปจนถึงการห้ามคนผิวดำพักค้างคืนในเมือง (ภายใต้กฎหมายที่ชื่อ “Sundown Ordinance” ของมลรัฐโอไฮโอ และโอเรกอน) จนกระทั่งเมื่อหญิงสาวผิวดำที่ชื่อ โรซา พาร์ค (Rosa Parks) ได้ปฏิเสธนโยบายการแบ่งแยกสีผิวในรถเมล์ด้วยการเข้าไปนั่งในบริเวณของคนผิวขาวในปี ค.ศ. 1955 ซึ่งได้กลายเป็นชนวนเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิพลเมืองที่เท่าเทียมกันในช่วงทศวรรษ 1950–1980 ขึ้น จนกระทั่งท้ายที่สุดรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้มีการประกาศรัฐบัญญัติสิทธิพลเมือง (Civil Rights Act of 1875) ขึ้นในปี ค.ศ. 1875 อันทำให้พลเมืองสหรัฐฯ ทุก ๆ คนนั้นมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน ภายใต้หลักการให้ความคุ้มครองอย่างเสมอภาคภายใต้กฎหมาย (equal protection of the laws) ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ที่มีมาแต่เดิมนั่นเอง (Wasserman, 2000,123-127)[2]

ตัวอย่างการนำไปใช้ในประเทศไทย

[แก้]

ประเทศไทยนั้นกล่าวถึงสิทธิพลเมืองขึ้นครั้งแรกภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ที่ได้เปลี่ยนสถานภาพคนไทยจาก “ไพร่” มาเป็น “พลเมือง” ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้อำนาจนั้น “เป็นของราษฎรทั้งหลาย” (พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามฉบับชั่วคราว พุทธศักราช 2475) เพราะภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ฐานที่มาของความชอบธรรมในการใช้อำนาจรัฐได้เปลี่ยนแปลงจากเบื้องบน คือจากตัวพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นจากเบื้องล่าง คือจากประชาชนชาวไทยทุก ๆ คน ผ่านระบบตัวแทนจากการเลือกตั้งที่เสรี และเป็นธรรม (free and fair elections) โดยมีการกำหนดบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิของประชาชนชาวไทยไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนตั้งแต่ไทยมีรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรก (คือรัฐธรรมนูญฉบับวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475) ดังจะเห็นจากมาตรา 12 ของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ว่า

“...บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายฐานันดรศักดิ์โดยกำเนิดก็ดี โดยแต่งตั้งก็ดี หรือประการอื่นใดก็ดีไม่กระทำให้เกิดเอกสิทธิ์อย่างใดเลย” หรือในมาตรา 14 ที่ว่า “...บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในร่างกาย เคหสถาน ทรัพย์สิน การพูด การเขียน การโฆษณา การศึกษาอบรม การประชุมโดยเปิดเผย การตั้งสมาคม การอาชีพ”

จะเห็นได้ว่าสิทธิพื้นฐานทางการเมืองเหล่านี้ซึ่งได้รับอิทธิพล และแบบอย่างมาจากตะวันตกอย่างชัดเจน ได้กลายมาเป็นมาตรฐานที่รัฐให้การรับรอง และถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญทุก ๆ ฉบับที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมา (โดยไม่นับรวมธรรมนูญการปกครองของคณะรัฐประหาร) หรือแม้แต่การบัญญัติสิทธิพลเมืองเพิ่มเติม เช่น สิทธิในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นต้น ทว่าในทางปฏิบัติ สิทธิพลเมืองบางอย่าง เช่น สิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี (freedom of expression) ก็ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันในสังคมไทยว่ายังคงถูกจำกัดภายใต้กรอบคิดบางประการ[3]

ดูเพิ่ม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]


อ้างอิง

[แก้]
  1. Kurian, George Thomas (2011). The encyclopedia of political science. Washington: CQ Press.
  2. Wasserman, David (2000). The basics of American politics. New York: Long man.
  3. สิริพรรณ นกสวน สวัสดี (2557), คำและแนวคิดประชาธิปไตยสมัยใหม่, เข้าถึงวันที่ 1 พฤษภาคม 2558 ใน http://www.fes-thailand.org/wb/media/documents/Democ%20Terms%20and%20Concept%20Handbook_Final28112014_compressed%282%29.pdf เก็บถาวร 2016-03-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน