จังหวัดพิษณุโลก
พิษณุโลก เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย[a] มีประชากรในปี พ.ศ. 2561 จำนวน 866,891 คน[2] มีพื้นที่ 10,815.854 ตารางกิโลเมตร แบ่งการปกครองส่วนภูมิภาคออกเป็น 9 อำเภอ มีเทศบาลนครพิษณุโลกเป็นเขตเมืองศูนย์กลางของจังหวัดและเป็นที่ตั้งศาลากลางจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับแขวงไชยบุรี ประเทศลาว ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัด เป็นจังหวัดเดียวของภาคกลางที่มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศลาว
จังหวัดพิษณุโลก | |
---|---|
การถอดเสียงอักษรโรมัน | |
• อักษรโรมัน | Changwat Phitsanulok |
จากซ้ายไปขวา บนลงล่าง:
| |
คำขวัญ: พระพุทธชินราชงามเลิศ ถิ่นกำเนิดพระนเรศวร สองฝั่งน่านล้วนเรือนแพ หวานฉ่ำแท้กล้วยตาก ถ้ำและน้ำตกหลากตระการตา | |
แผนที่ประเทศไทย จังหวัดพิษณุโลกเน้นสีแดง | |
ประเทศ | ไทย |
การปกครอง | |
• ผู้ว่าราชการ | ทวี เสริมภักดีกุล (ตั้งแต่ พ.ศ. 2567) |
พื้นที่[1] | |
• ทั้งหมด | 10,815.854 ตร.กม. (4,176.025 ตร.ไมล์) |
อันดับพื้นที่ | อันดับที่ 16 |
ประชากร (พ.ศ. 2566)[2] | |
• ทั้งหมด | 841,729 คน |
• อันดับ | อันดับที่ 27 |
• ความหนาแน่น | 77.82 คน/ตร.กม. (201.6 คน/ตร.ไมล์) |
• อันดับความหนาแน่น | อันดับที่ 62 |
รหัส ISO 3166 | TH-65 |
ชื่อไทยอื่น ๆ | นครพระพิษณุโลกสองแคว, สระหลวงสองแคว, สรลวงสองแคว, สองแคว, สองคญี, โอฆะบุรี, จันทบูร, ชัยนาท (ชื่อโบราณ), ไทวยนที, ทวิสาขะนคร, พิดสีโลก |
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด | |
• ต้นไม้ | ปีบ |
• ดอกไม้ | นนทรี |
• สัตว์น้ำ | ปลากดคัง |
ศาลากลางจังหวัด | |
• ที่ตั้ง | ถนนวังจันทน์ ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก 65000 |
• โทรศัพท์ | 0 5525 8947 |
• โทรสาร | 0 5525 8559 |
เว็บไซต์ | www |
ศัพทมูลวิทยา
แก้ชื่อของจังหวัดมาจากคำว่า พิษณุ หมายถึง "พระวิษณุ" เทพตามความเชื่อของชาวฮินดู รวมกับคำว่า โลก ทำให้มีความหมายเป็น "โลกแห่งพระวิษณุ" ในสมัยที่ยังปกครองด้วยระบบมณฑลเทศาภิบาล ชื่อของจังหวัดนั้นสะกดว่า พิศณุโลก[5] ชื่อ เมืองพิษณุโลก มาจากเรื่องการสร้างเมืองพิษณุโลกในพงศาวดารเหนือว่าเมืองฝั่งตะวันออกและชื่อ จันทบูร เป็นเมืองฝั่งตะวันตก หรือมาจากแผนที่เก่าบางฉบับสมัยรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ซึ่งเขียนชื่อเมืองสองแควว่า พิดสีโลก ส่วนสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าชื่อเมืองพิษณุโลกเปลี่ยนมาจากเมืองสองแควสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเสด็จขึ้นไปเสวยราชย์ ณ เมืองพิษณุโลก
ชื่อ เมืองสองแคว เป็นชื่อเก่าแก่ที่สุดของจังหวัดพิษณุโลก[6]: 5 [7]: 196 พบในศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลักที่ ๑ (จารึกพ่อขุนรามคำแหง) และศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลักที่ ๘ (จารึกวัดเขาสุมนกูฏ) ส่วนชื่อ สรลวงสองแคว โดยคำ "สรลวง" (ไม่ใช่สระหลวง) มาจากคำเขมรว่า "ชฺรลวง" แปลว่า "ลำน้ำ" รวมกันจึงมีความหมายว่า "ลำน้ำสองแคว" หรือ "ลำน้ำสองกระแส" สอดคล้องกับชื่อในภาษาบาลีว่า "ไทวยนทีศรียมนา" แปลว่า "ลำน้ำอันเป็นสิริที่มีสองสาย"[8] ส่วนจิตร ภูมิศักดิ์ เข้าใจว่า "สรลวง" คือคำว่า "สรวง" ที่แปลว่าสวรรค์[9] ในพระราชพงศาวดารพม่าและพงศาวดารไทยใหญ่ พระนิพนธ์ของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ปรากฏชื่อเมืองพิษณุโลกว่า เมืองสองคญี[10][11][12] และพระอิสริยยศ เจ้าฟ้าสรวงคญี คำว่า "คญี" พม่าแปลว่า "มหา" จึงเขียนว่า "เจ้าฟ้ามหาสรวง" กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงดำริอีกว่า "สหายข้าพเจ้าแนะว่าน่าจะเป็นเจ้าฟ้าสองแคว เพราะสองแควเป็นนามเมืองพิศณุโลก ดังปรากฏในตำนานพระแก่นจันทร์"[13] หมายถึง พระมหาธรรมราชา เจ้าผู้ครองเมืองพิษณุโลก[14]
ชื่อ เมืองทวิสาขะนคร และชื่อ เมืองไทวยนที เป็นชื่อเมืองสองแควในภาษาบาลีแปลมาจากภาษามคธในพงศาวดารเหนือมาจากสภาพภูมิศาสตร์เดิมของจังหวัดพิษณุโลกซึ่งพระโพธิรังสีได้นำชื่อเมืองพิษณุโลกไปแปลว่า ทวิสาขะ และแปลชื่อเมืองสรลวงว่า โอฆบุรี พบในสิหิงคนิทาน[6]: 7 [7]: 196 ชื่อ เมืองชัยนาทบุรี พบในหลักศิลาจารึกหลักที่ ๑๒ หลักศิลาจารึกหลักที่ ๙๗ ศิลาจารึกวัดพระบรมธาตุวรวิหารจังหวัดชัยนาท ลิลิตยวนพ่าย บทที่ ๖๖ และชินกาลมาลีปกรณ์ ซึ่ง ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร ได้ชี้หลักฐานให้เห็นจนเป็นที่ยอมรับว่าเมืองชัยนาทบุรีคือชื่อหนึ่งของเมืองพิษณุโลก[15]: 148 [6]: 7 ชื่อ เมืองอกแตก เป็นชื่อเรียกเมืองที่มีแนวลำน้ำไหลผ่านกำแพงเมืองเมืองซึ่งเดิมตั้งอยู่ที่วัดจุฬามณี (จังหวัดพิษณุโลก) สันนิฐานว่าเดิมเป็นคลองขุดจากแม่น้ำน่านเพื่อชักน้ำเข้าเมือง แต่ภายหลังน้ำเซาะคลองกว้างออกกลายเป็นลำแม่น้ำเป็นเหตุให้แม่น้ำเก่าตื้นเขิน เมืองพิษณุโลกจึงมีสภาพภูมิศาสตร์เป็นเมืองอกแตก[6]: 8
ประวัติศาสตร์
แก้พบแหล่งโบราณคดีในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่จังหวัดพิษณุโลก ได้แก่ภาพสลักบนหินที่ถ้ำกาและผาขีดเขาภูขัด อำเภอนครไทย และภาพสลักหินที่ผากระดานเลข อำเภอชาติตระการ ซึ่งภาพสลักหินเหล่านี้อยู่ในยุคโลหะมีอายุประมาณสี่พันปีก่อน[16]
จดหมายเหตุลาลูแบร์กล่าวถึงพระเจ้าพนมไชยศิริอพยพผู้คนมาตั้งถิ่นฐานที่นครไทย อาจหมายถึงพระเจ้าชัยศิริแห่งอาณาจักรโยนกเชียงแสนซึ่งเผชิญกับการรุกรานของอาณาจักรสุธรรมวดีอพยพลงมาทางใต้[17][18] (ตำนานสิงหนวัติกล่าวว่าอพยพไปกำแพงเพชร[19]) แหล่งโบราณคดีนครไทยเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ก่อนสมัยอาณาจักรสุโขทัย[17] ในสมัยขอมโบราณมีชุมชนตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองพิษณุโลกในปัจจุบันบริเวณวัดจุฬามณีคือเมืองสองแควเดิม พระปรางค์วัดจุฬามณีสร้างขึ้นในสมัยขอม[20] ต่อมาพ่อขุนศรีอินทราทิตย์แห่งเมืองบางยางร่วมมือกับพ่อขุนผาเมืองแห่งเมืองราดขับไล่ขอมสบาดโขลญลำพงออกไปจากภูมิภาคนำไปสู่การกำเนิดอาณาจักรสุโขทัย สันนิษฐานว่าเมืองบางยางคือเมืองนครไทย[21]
บันทึกเรื่อง ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม (Histoire Naturelle et Politique du Royaume de Siam) ของนิโกลาส์ แชร์แวส ชาวฝรั่งเศสที่เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ. 2224–29 รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กล่าวถึงเมืองพิษณุโลกว่า :-
"La ſeconde Ville du Royaume s’appelle communément Porſelouc, ou Pet-ſe-lou-louc, ce qui fignifie en langage du Païs Perle, ou Diamant enchaſſé; elle eſt plus Septentrionale que Juthia d’environ cent lieuës, ſon climat eſt plus temperé, & ſon terroir plus fertile : Elle fut bâtie par Chaou Meüang Hâng, qui regnoit environ 250 ans avant Chaou Thông Fondateur de la Capitale ; [...] Cette Ville eſtoit autrefois le fejour ordinaire des Rois de Siam, & on y voit encore aujourd’huy un de leursanciens Palais ; ..."[22]
(คำแปล): "เมืองอันเป็นอันดับสองของราชอาณาจักร เรียกกันโดยทั่ว ๆ ไปว่า พิษโลก (Porselouc) หรือ พิษณุโลก (Pet-se-lou-louc) ซึ่งมีความหมายในภาษาพื้นเมืองว่าไข่มุก หรือ ฝังเพชร อยู่ทางทิศเหนือของยุธยาประมาณ ๑๐๐ ลี้ ภูมิอากาศอบอุ่นปานกลางและพื้นดินอุดมกว่าอยุธยา สร้างขึ้นโดยเจ้าเมืองหาง (Chaou Meüang Hâng) ซึ่งครองราชสมบัติอยู่ราว ๒๕๐ ปี ก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะมาสร้างพระนครหลวงขึ้น [...] เมืองนี้แต่ก่อนนี้เป็นที่ประทับแปรพระราชฐานของพระเจ้าแผ่นดิน."[23]: 41–42
— Nicolas Gervaise, Histoire naturelle et politique du Royaume de Siam, 1688. (แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร)
บันทึกของปีแยร์ บรีโก มิชชันนารีชาวฝรั่งเศสในกรุงศรีอยุธยามีกล่าวถึงเมืองพิษณุโลก ต่อมาฟร็องซัว-อ็องรี ตูร์แป็งได้นำมาเผยแพร่ ความว่า[24] :-
เมืองพิษณุโลก (Porcelon) ซึ่งชาวโปรตุเกสเรียกเพี้ยนว่า ปอร์ซาลุก (Porsalouc) นั้น แต่ก่อนขึ้นแก่พวกเจ้าที่เป็นทายาทสืบต่อกันมา และในปัจจุบันเราก็ยังชำระคดีในนามเจ้านายเก่าของเมืองนี้และในวังของเขาอันว่า เมืองนี้ ซึ่งมั่นคงด้วยป้อมสิบสี่ป้อมที่สร้างโดยวิศวกรชาวฝรั่งเศสนั้นเป็นเมืองที่ร่ำรวยและค้าขาย เป็นต้นว่า งาช้าง นอแรด หนังสัตว์ป่า น้ำตาล ยาสูบ หัวหอม ขี้ผึ้งและน้ำผึ้ง ที่จังหวัดพิษณุโลก มีคนทำไต้ที่ทำด้วยน้ำมันดินกับน้ำมัน และมีคนทำยางแดง (Gomme rouge) ที่ใช้ทำครั่งประทับตรา (cire d' Eapagne) นอกจากนั้นยังมีคนทำไม้สำหรับสร้างบ้านและย้อมสีมาก พื้นดินเมืองพิษณุโลกผลิตดีบุก และอำพันสีเทาด้วย
สมัยสุโขทัย
แก้เมืองพิษณุโลกเดิมมีชื่อต่าง ๆ กัน ปรากฏชื่อเมือง "สองแคว" ในจารึกวัดศรีชุม "พระมหาเถรศรีศรัทธาเกิดในนครสรลวงสองแคว"[25] ชื่อเมืองสองแควหมายถึงเมืองซึ่งอยู่ระหว่างแม่น้ำน่านและแม่น้ำแควน้อย ในช่วงต้นสมัยสุโขทัยเมืองสองแควอยู่ในการปกครองของพระยาคำแหงพระรามแห่งราชวงศ์ศรีนาวนำถุมจนกระทั่งรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชเมืองสองแควเข้ามาอยู่ในการปกครองของสุโขทัยราชวงศ์พระร่วงดังที่ระบุไว้ในจารึกพ่อขุนรามคำแหง
ในพงศาวดารเหนือระบุว่า "พระเจ้าศรีธรรมปิฎก"หรือพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) ทรงสร้างเมืองสองแควขึ้นใหม่ที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่านบริเวณเมืองพิษณุโลกในปัจจุบัน พระมหาธรรมราชาลิไททรงสร้างวัดต่างๆขึ้นเป็นจำนวนมากได้แก่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร (วัดใหญ่) วัดเจดีย์ยอดทอง วัดอรัญญิก และบูรณะวัดวัดราชบูรณะ ทรงให้หล่อพระพุทธชินราช พระพุทธชินศรี และพระศรีศาสดาขึ้นประดิษฐานไว้ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุหรือวัดใหญ่ พระพุทธชินราชซึ่งประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุใช้เป็นตราประจำจังหวัดพิษณุโลกในปัจจุบัน นอกจากนี้พระมหาธรรมราชาที่ 1ยังทรงสร้างพระราชวังจันทน์[26] เมืองสองแควพัฒนาขึ้นกลายเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรสุโขทัยทางทิศตะวันออก
นอกจากนี้เมืองสองแควยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า "เมืองชัยนาท"[27]หมายถึงเมืองฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่านบริเวณพระราชวังจันทน์ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1ยกทัพอยุธยาขึ้นมายึดเมืองชัยนาทได้สำเร็จ[28] จนพระมหาธรรมราชาที่ 1จำต้องเจรจากับสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 เพื่อขอเมืองชัยนาทคืน ทำให้พระมหาธรรมราชาที่ 1ต้องเสด็จย้ายมาประทับที่เมืองสองแควหรือเมืองชัยนาทอยู่เป็นเวลาเจ็ดปี[29] พระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสลือไท) ครองราชสมบัติอยู่ที่เมืองสองแคว[29] ทำให้เมืองสองแควกลายเป็นราชธานีของอาณาจักรสุโขทัย เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ 3 (ไสลือไท) สวรรคตในพ.ศ. 1962 เกิดการจลาจลแย่งชิงราชสมบัติระหว่างพระยารามและพระยาบาลเมือง สมเด็จพระอินทราชาแห่งกรุงศรีอยุธยาเสด็จขึ้นมาไกล่เกลี่ย ให้พระยารามครองเมืองสุโขทัยในขณะที่พระยาบาลเมืองขึ้นเป็นพระมหาธรรมราชาที่ 4 แห่งสองแคว ทำให้เมืองสองแควแยกตัวจากสุโขทัยและเป็นประเทศราชของอยุธยา เมืองสองแควทวีความสำคัญขึ้นมามากกว่าสุโขทัย
เมื่อพระมหาธรรมราชาที่ 4 สวรรคตในพ.ศ. 1981 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 ทรงส่งพระโอรสคือพระราเมศวรซึ่งมีพระราชมารดาเป็นพระธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 3 ไปครองเมืองสองแควประทับที่พระราชวังจันทน์เมื่อพระราเมศวรต่อมาขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมืองสองแควจึงได้รวมกับอาณาจักรอยุธยา[30]
สมัยอยุธยา
แก้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงแต่งตั้งให้พระยายุทธิษเฐียรซึ่งเป็นพระโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ 4 เป็น "พระยาสองแคว" เป็นเจ้าเมืองอยู่ภายใต้อำนาจของอยุธยา แต่พระยายุทธิษเฐียรคิดตั้งตนขึ้นเป็นพระมหาธรรมราชาจึงหันไปเข้ากับพระเจ้าติโลกราชแห่งอาณาจักรล้านนา นำไปสู่สงครามระหว่างอยุธยาและล้านนา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถย้ายมาประทับที่เมืองสองแควในพ.ศ. 2006 เมื่อตั้งรับศึกกับล้านนาและทรงผนวชที่วัดจุฬามณีในพ.ศ. 2008 เป็นเวลา 8 เดือน 15 วัน มีข้าราชบริพารตามเสด็จออกบวชถึง 2,348 คน[31] สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงรวมเมืองฝั่งตะวันออกและเมืองชัยนาทฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่านเข้าด้วยกัน[27]แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า เมืองพระพิษณุโลกสองแคว ปรากฏชื่อเมือง "พิษณุโลก" ขึ้นครั้งแรกในลิลิตยวนพ่าย[32]
หลังจากรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเมืองพิษณุโลกเป็นศูนย์กลางการปกครองของอยุธยาในหัวเมืองเหนือ โดยมีพระมหาอุปราชซึ่งเป็นพระราชโอรสทรงครองเมืองและประทับอยู่ที่พระราชวังจันทน์ เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสวรรคตพระเชษฐาพระโอรสเป็นพระมหาอุปราชครองเมืองพิษณุโลก ต่อมาพระเชษฐาได้ราชสมบัติอยุธยาขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ทรงแต่งตั้งให้พระโอรสคือสมเด็จพระไชยราชาธิราชให้ครองเมืองพิษณุโลกสมเด็จพระไชยราชาธิราชยึดอำนาจจากสมเด็จพระรัษฎาธิราชขึ้นเป็นสมเด็จพระไชยราชาธิราช จากนั้นไม่มีการตั้งพระมหาอุปราชครองเมืองพิษณุโลก เมื่อขุนพิเรนทรเทพยึดอำนาจจากขุนวรวงศาธิราชในพ.ศ. 2091 และเชิญสมเด็จพระมหาจักรพรรดิขึ้นครองราชสมบัติ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงแต่งตั้งให้ขุนพิเรนทรเทพให้เป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชปกครองเมืองพิษณุโลก ทำให้เมืองพิษณุโลกมี "พระมหาธรรมราชา" มาปกครองอีกครั้ง พระวิสุทธิกษัตรีย์ทรงสร้างวัดนางพญา
เมื่อพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองแห่งพม่ายกทัพมาประชิดเมืองพิษณุโลกในพ.ศ. 2106 พระมหาธรรมราชายอมจำนนต่อพระเจ้าบุเรงนองทำให้พิษณุโลกและหัวเมืองเหนือทั้งหมดกลายเป็นประเทศราชของพม่า สมเด็จพระมหินทราธิราชแห่งอยุธยาทรงร่วมมือกับสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชแห่งล้านช้างร่วมกันยกทัพเข้าล้อมเมืองพิษณุโลกในแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่หนึ่งพระเจ้าบุเรงนองตั้งให้พระมหาธรรมราชาครองอยุธยา
สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชทรงตั้งให้พระโอรสคือสมเด็จพระนเรศวรมหาราชขึ้นเป็นพระมหาอุปราชไปครองเมืองพิษณุโลกอีกครั้งในพ.ศ. 2114 ประทับที่พระราชวังจันทน์ ตามข้อสันนิษฐานของหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล[33] ในปีพ.ศ. 2127 เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ที่เมืองพิษณุโลกทำให้ "เกิดเหตุอัศจรรย์แม่น้ำซายหัวเมืองพิษณุโลกนั้น ป่วนขึ้นสูงกว่าพื้นนั้นสามศอก" เมืองพิษณุโลกอาจเสียหายมาก หลังจากที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพที่เมืองแครงแล้วจึงมีพระราชโองการให้ "เทครัว" กวาดต้อนผู้คนในหัวเมืองเหนือทั้งหมดรวมถึงพิษณุโลกลงมายังภาคกลางตอนล่างเพื่อเตรียมการรับศึกกับพม่า[34] ทำให้เมืองพิษณุโลกกลายเป็นเมืองร้างอยู่เป็นเวลาแปดปี จนกระทั่งหลังจากเสร็จสิ้นสงครามยุทธหัตถีแล้วสมเด็จพระนเรศวรมหาราชจึงทรงฟื้นฟูเมืองพิษณุโลกในพ.ศ. 2136 โดยการแต่งตั้งให้พระชัยบุรี หรือพระยาชัยบูรณ์ เป็นพระยาสุรสีห์ฯ เจ้าเมืองพิษณุโลก เมืองพิษณุโลกเปลี่ยนฐานะจากเมืองของพระมหาอุปราชมาเป็นเมืองชั้นเอกมีขุนนางเป็นเจ้าเมือง ปรากฏราชทินนามของเจ้าเมืองพิษณุโลกว่า เจ้าพระยาสุรสีห์พิศมาธิราช ชาติพัทยาธิเบศราธิบดี อภัยพิริยบรากรมพาหุ หรือ "เจ้าพระยาพิษณุโลกเอกอุ" ศักดินา 10,000 ไร่ เมืองพิษณุโลกหัวเมืองชั้นเอกฝ่ายเหนือของอยุธยาคู่กับเมืองนครศรีธรรมราชซึ่งเป็นเมืองเอกฝ่ายใต้
สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จมานมัสการพระพุทธชินราชในพ.ศ. 2146 พร้อมทั้งโปรดฯให้นำทองนพคุณมาปิดทองพระพุทธชินราชและพระพุทธชินสีห์ซึ่งเดิมเป็นพระพุทธรูปสำริด เป็นการปิดทององค์พระพุทธชินราชครั้งแรก ในพ.ศ. 2205 สมเด็จพระนารายณ์มหาราชหลังจากเสร็จสิ้นศึกเชียงใหม่ทรงนมัสการพระพุทธชินราช และโปรดฯให้สร้างรอยพระพุทธบาทจำลองเมื่อพ.ศ. 2222 ประดิษฐานไว้ ที่วัดจุฬามณี ในรัชสมัยสมเด็จพระเพทราชามีการปฏิรูปการปกครอง หัวเมืองฝ่ายเหนือรวมถึงเมืองพิษณุโลกอยู่ภายใต้การปกครองของสมุหนายก ในพ.ศ. 2309 เนเมียวสีหบดีแม่ทัพพม่ายกทัพเข้ายึดเมืองสุโขทัย เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) นำทัพพิษณุโลกเข้ากอบกู้เมืองสุโขทัย เจ้าฟ้าจีดเสด็จหลบหนีจากกรุงศรีอยุธยามายึดอำนาจที่เมืองพิษณุโลก[35] ทำให้เจ้าพระยาพิษณุโลกต้องเลิกทัพจากสุโขทัยกลับไปยึดอำนาจคืนจากเจ้าฟ้าจีด และทัพพม่าสามารถเดินทางต่อไปยังกรุงศรีอยุธยาได้โดยไม่ยึดเมืองพิษณุโลก
สมัยธนบุรี
แก้หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ตั้งตนขึ้นเป็นเจ้าชุมนุมพิษณุโลกมีอาณาเขตตั้งแต่เมืองพิชัยลงมาจนถึงเมืองนครสวรรค์และปากน้ำโพ ใน พ.ศ. 2311 เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ราชาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าพิษณุโลกพระเจ้าแผ่นดินกรุงศรีอยุธยาแล้วสถาปนาเมืองพิษณุโลกขึ้นเป็นเมืองหลวง[36] รัฐเอกราชแห่งใหม่ของกรุงศรีอยุธยามีนามว่า กรุงพระพิศณุโลกย์ราชธานีศรีอยุทธยามหานคร[37] เจ้าพระฝางยกทัพมาตีกรุงพิษณุโลกแต่ไม่แพ้ไม่ชนะกัน[38] เมื่อปลายปีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพมาตีชุมนุมพิษณุโลกแต่พ่ายแพ้ต้องยกทัพกลับไปยังกรุงธนบุรี พระเจ้าพิษณุโลกครองกรุงพิษณุโลกได้ 7 วัน[39] หรือ 6 เดือนจึงเสด็จสวรรคต (คาดว่าน่าจะ 6 เดือนมากกว่า[40]) พระอินทร์อากร (จัน) น้องชายของเจ้าพระยาพิษณุโลกขึ้นเป็นผู้นำชุมนุมพิษณุโลกต่อมา แต่ชุมนุมเจ้าพระฝางเข้ายึดชุมนุมพิษณุโลกประหารชีวิตพระอินทร์อากรและกวาดต้อนทรัพย์สินผู้คนไปยังเมืองสวางคบุรี เมืองพิษณุโลกอยู่ภายใต้การปกครองของชุมนุมเจ้าพระฝางจนกระทั่งเมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและเจ้าพระยายมราช (บุญมา) ซึ่งต่อมาคือสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาทยกทัพขึ้นมายึดเมืองพิษณุโลกได้สำเร็จในพ.ศ. 2313 ทำให้พิษณุโลกเข้ามาอยู่การปกครองของธนบุรีและสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงแต่งตั้งให้เจ้าพระยายมราช (บุญมา) เป็น "เจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราชฯ" ปกครองเมืองพิษณุโลก
ใน พ.ศ. 2318 ในขณะที่เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ซึ่งต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและเจ้าพระยาสุรสีหพิษณวาธิราช (บุญมา) ซึ่งต่อมาคือสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กำลังทำศึกที่เมืองเชียงแสนนั้น แม่ทัพพม่าอะแซหวุ่นกี้ยกทัพเข้ามาผ่านด่านแม่ละเมาแขวงเมืองตากเข้ารุกรานเมืองพิษณุโลก เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์เร่งทัพลงมาป้องกันเมืองพิษณุโลก อะแซหวุ่นกี้นำทัพพม่าเข้าล้อมเมืองพิษณุโลกอยู่นานสี่เดือนและตัดเส้นทางเสบียงทำให้เมืองพิษณุโลกขาดแคลนอาหาร อะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวพระเจ้าพระยาจักรีที่เนินดินซึ่งเชื่อว่าปัจจุบันอยู่ที่หน้าสำนักงานเทศบาลนครพิษณุโลกเดิมซึ่งประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ[41] เจ้าพระยาจักรีและเจ้าพระยาสุรสีห์พิจารณาว่าศึกครั้งนี้ไม่สามารถต้านได้จึงฝ่าวงล้อมของศัตรูออกไปตั้งมั่นที่เพชรบูรณ์ อะแซหวุ่นกี้นำทัพพม่าเข้าปล้นสะดมเผาทำลายเมืองพิษณุโลก เมืองพิษณุโลกถูกทำลายลงโดยส่วนใหญ่ ทำลายพระราชวังจันทน์ เหลือเพียงพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุซึ่งไม่ถูกทำลาย
สมัยรัตนโกสินทร์
แก้เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเมื่อพ.ศ. 2325 จึงมีพระราชโองการแต่งตั้งให้ "หลวงนรา"[42] เป็น "พระยาพิษณุโลก" ในพ.ศ. 2328 สงครามเก้าทัพ แม่ทัพพม่าเนเมียวสีหซุยยกทัพจากลำปางลงมารุกรานหัวเมืองเหนือ หลวงนราพระยาพิษณุโลกเห็นว่าข้าศึกมีกำลังมากฝ่ายหัวเมืองเหนือมีกำลังน้อยจากการสูญเสียกำลังพลไปมากในสงครามอะแซหวุ่นกี้ จึงสละเมืองพิษณุโลกหลบหนีเข้าป่าไม่ได้ต่อสู้ต้านทานการรุกรานของพม่า[42] ทัพพม่าจึงเดินทัพผ่านหัวเมืองเหนือลงไปยังนครสวรรค์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงให้รื้อกำแพงเมืองพิษณุโลกลง[43]เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าศึกใช้เป็นที่มั่น เมืองพิษณุโลกซึ่งเผชิญกับศึกสงครามอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาประมาณยี่สิบปีอยู่ในสภาวะทรุดโทรมและขาดการทำนุบำรุง ในพ.ศ. 2372 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทรงอัญเชิญพระพุทธชินสีห์จากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุไปประดิษฐานที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร และเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง จังหวัดนนทบุรี ได้อัญเชิญพระศรีศาสดาไปยังวัดบางอ้อยช้าง[44] (ซึ่งต่อมาพระศรีศาสดาได้ไปประดิษฐานที่วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร)
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยกย่องพระพุทธชินราชว่า "...จะหาพระพุทธรูปองค์ใดให้งามเสมอพระพุทธชินราชนั้นไม่มีแล้ว" มีพระราชดำริอัญเชิญพระพุทธชินราชลงไปเป็นองค์ประธานของวัดเบญจมบพิตร[45] ปรากฏเรื่องเล่ามุขปาฐะว่าในการอัญเชิญพระพุทธชินราชนั้นเกิดเหตุอัศจรรย์ไม่สามารถนำพระพุทธชินราชลงแพได้ หรือเมื่อเข็นลงแพแล้วแพหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว[45] จึงไม่สามารถอัญเชิญพระพุทธชินราชลงไปยังกรุงเทพได้และประดิษฐานในเมืองพิษณุโลกดังเดิม มีการจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลมณฑลพิษณุโลกขึ้นในพ.ศ. 2437 โดยมีเมืองพิษณุโลกเป็นศูนย์กลางการปกครองประกอบด้วยห้าเมืองได้แก่เมืองพิษณุโลก เมืองพิชัย เมืองสุโขทัย เมืองพิจิตร และเมืองสวรรคโลก ต่อมารวมมณฑลเพชรบูรณ์เข้าร่วมด้วย โดยมีเจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐศักดิ์ (เชย กัลยาณมิตร) เป็นข้าหลวงคนแรก พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นสยามมกุฏราชกุมารเสด็จประพาสเมืองพิษณุโลกในพ.ศ. 2450 ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องเที่ยวเมืองพระร่วง ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อมีการตรา"พระราชบัญญัติการบริหารราชการส่วนภูมิภาค พุทธศักราช 2476" ขึ้น มณฑลเทศาภิบาลสิ้นสุดลงนำไปสู่การจัดตั้งจังหวัดพิษณุโลกในปัจจุบัน
ครั้งเมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง สะพานข้ามแม่น้ำน่านหน้าวัดใหญ่ก็ถูกทิ้งระเบิด แต่ทิ้งเท่าไหร่ก็ไม่ถูกเป้าหมาย[ต้องการอ้างอิง] ทั้ง ๆ ที่ในอดีต เป็นสะพานไม้ที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดพิษณุโลก[ต้องการอ้างอิง]
ภูมิศาสตร์
แก้ที่ตั้งและอาณาเขต
แก้จังหวัดพิษณุโลกมีที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคที่แตกต่างกันตามการแบ่งแบบต่าง ๆ หากแบ่งเขตตามการพยากรณ์อากาศ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จะจัดอยู่ในภาคเหนือตอนล่าง สำหรับเกณฑ์การแบ่งภาคอย่างเป็นทางการของราชบัณฑิตยสภา จะจัดอยู่ในภาคกลาง โดยอยู่ทางตอนบนของภาค ห่างจากกรุงเทพมหานคร 377 กิโลเมตร มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 10,815 ตารางกิโลเมตร หรือ 6,759,909 ไร่ มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกล้เคียงดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับอำเภอพิชัย อำเภอทองแสนขัน และอำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์, แขวงไชยบุรี ประเทศลาว
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับ อำเภอเขาค้อ อำเภอวังโป่ง อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์, อำเภอด่านซ้าย และ อำเภอนาแห้ว จังหวัดเลย
- ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอเมืองพิจิตร อำเภอวชิรบารมี อำเภอสามง่าม และอำเภอสากเหล็ก จังหวัดพิจิตร
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอกงไกรลาศ อำเภอศรีสำโรง อำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย, อำเภอลานกระบือ จังหวัดกำแพงเพชร
ภูมิประเทศ
แก้ทางตอนเหนือและตอนกลางเป็นเขตเทือกเขาสูงและที่ราบสูง โดยมีเขตภูเขาสูงด้านตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งอยู่ในเขตอำเภอวังทอง อำเภอวัดโบสถ์ อำเภอเนินมะปราง อำเภอนครไทย และอำเภอชาติตระการจุดสูงสุดคือภูสอยดาว2,102 เมตร เป็นยอดเขาปันเขตแดนไทย-ลาว พื้นที่ตอนกลางมาทางใต้เป็นที่ราบ และตอนใต้เป็นที่ราบลุ่ม โดยเฉพาะบริเวณลุ่มแม่น้ำน่านและแม่น้ำยม ซึ่งเป็นแหล่งการเกษตรที่สำคัญที่สุดของจังหวัดพิษณุโลก อยู่ในเขตอำเภอบางระกำ อำเภอเมืองพิษณุโลก อำเภอพรหมพิราม อำเภอเนินมะปราง และบางส่วนของอำเภอวังทอง
ภูมิอากาศ
แก้จังหวัดพิษณุโลกมีลมมรสุมพัดผ่านจากทะเลจีนใต้และมหาสมุทรอินเดีย และแบ่งฤดูกาลออกได้เป็น 3 ฤดู
- ฤดูร้อน ประมาณเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 32 องศาเซลเซียส
- ฤดูฝน จะเริ่มประมาณเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ปริมาณน้ำฝน เฉลี่ยประมาณปีละ 1,375 มิลลิเมตร
- ฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน-มกราคม อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 19 องศาเซลเซีย
ข้อมูลภูมิอากาศของจังหวัดพิษณุโลก | |||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
เดือน | ม.ค. | ก.พ. | มี.ค. | เม.ย. | พ.ค. | มิ.ย. | ก.ค. | ส.ค. | ก.ย. | ต.ค. | พ.ย. | ธ.ค. | ทั้งปี |
อุณหภูมิสูงสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 36.3 (97.3) |
38.0 (100.4) |
40.3 (104.5) |
41.8 (107.2) |
42.0 (107.6) |
38.7 (101.7) |
38.4 (101.1) |
36.7 (98.1) |
36.6 (97.9) |
35.3 (95.5) |
35.7 (96.3) |
35.6 (96.1) |
42 (107.6) |
อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ย °C (°F) | 31.6 (88.9) |
33.9 (93) |
35.9 (96.6) |
37.4 (99.3) |
35.6 (96.1) |
33.6 (92.5) |
32.8 (91) |
32.3 (90.1) |
32.3 (90.1) |
32.3 (90.1) |
31.7 (89.1) |
30.9 (87.6) |
33.36 (92.05) |
อุณหภูมิเฉลี่ยแต่ละวัน °C (°F) | 24.1 (75.4) |
26.7 (80.1) |
29.0 (84.2) |
30.6 (87.1) |
29.6 (85.3) |
28.5 (83.3) |
28.1 (82.6) |
27.8 (82) |
27.8 (82) |
27.6 (81.7) |
26.1 (79) |
24.0 (75.2) |
27.49 (81.49) |
อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย °C (°F) | 18.0 (64.4) |
20.8 (69.4) |
23.5 (74.3) |
25.3 (77.5) |
25.2 (77.4) |
24.8 (76.6) |
24.6 (76.3) |
24.5 (76.1) |
24.5 (76.1) |
24.0 (75.2) |
21.6 (70.9) |
18.3 (64.9) |
22.93 (73.27) |
อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยบันทึก °C (°F) | 8.9 (48) |
13.2 (55.8) |
12.7 (54.9) |
19.1 (66.4) |
20.4 (68.7) |
21.8 (71.2) |
21.6 (70.9) |
22.2 (72) |
21.5 (70.7) |
17.6 (63.7) |
12.1 (53.8) |
9.4 (48.9) |
8.9 (48) |
หยาดน้ำฟ้า มม (นิ้ว) | 7 (0.28) |
12 (0.47) |
29 (1.14) |
51 (2.01) |
188 (7.4) |
183 (7.2) |
190 (7.48) |
257 (10.12) |
241 (9.49) |
157 (6.18) |
31 (1.22) |
6 (0.24) |
1,352 (53.23) |
วันที่มีหยาดน้ำฟ้าโดยเฉลี่ย (≥ 1.0 mm) | 1 | 1 | 2 | 4 | 12 | 13 | 14 | 17 | 15 | 9 | 3 | 1 | 92 |
แหล่งที่มา: NOAA (2504-2533)[46] |
สัญลักษณ์ประจำจังหวัด
แก้- ตราประจำจังหวัด: พระพุทธชินราช
- ธงประจำจังหวัด: ธงพื้นสีม่วง กลางธงเป็นตราประจำจังหวัดคือรูปพระพุทธชินราชในวงกลม
- คำขวัญประจำจังหวัด: พระพุทธชินราชงามเลิศ ถิ่นกำเนิดพระนเรศวร สองฝั่งน่านล้วนเรือนแพ หวานฉ่ำแท้กล้วยตาก ถ้ำและน้ำตกหลากตระการตา
- ต้นไม้ประจำจังหวัด: ปีบ (Millingtonia hortensis)
- ดอกไม้ประจำจังหวัด: ดอกนนทรี (Peltophorum pterocarpum)
การเมืองการปกครอง
แก้การปกครองส่วนภูมิภาค
แก้จังหวัดพิษณุโลกแบ่งการปกครองออกเป็น 9 อำเภอ 93 ตำบล 1,032 หมู่บ้าน ซึ่งอำเภอทั้ง 9 อำเภอมีดังนี้
รายชื่อเจ้าเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัด
แก้สมัยสุโขทัย
แก้ทำเนียบผู้ปกครองเมืองสองแควระหว่างปี พ.ศ. 1792–1981 ขึ้นกับอาณาจักรสุโขทัย ในบางช่วงเวลามีฐานะเป็นเมืองหลวง
ลำดับ | พระนาม/ชื่อ | ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง (พ.ศ.) | หมายเหตุ | |
---|---|---|---|---|
1 | พระยาคำแหงพระราม | ไม่ปรากฏ | ปรากฏในจารึกวัดศรีชุม[47] | |
2 | วัตติเดชอำมาตย์ | ไม่ปรากฏ–1905 | ปรากฏในตำนานพระพุทธสิหิงค์[48]และชินกาลมาลีปกรณ์[49] ปีที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ยึดเมืองสองแควอาจอยู่ระหว่าง พ.ศ. 1902–1905[47] | |
3 | พระมหาธรรมราชาที่ 1 | 1905–1911 | ปรากฏในตำนานพระพุทธสิหิงค์และชินกาลมาลีปกรณ์ ปีที่พระมหาธรรมราชาที่ 1 เสด็จไปประทับที่เมืองสองแควได้รับการสันนิษฐานว่า ควรเกิดขึ้นหลัง พ.ศ. 1904[50] ไทยสากล พระองค์ประทับที่เมืองสองแคว 7 ปี[51] อย่างไรก็ตาม ปีสวรรคตอย่างเป็นทางการของพระองค์คือ พ.ศ. 1911[52] | |
4 | สมเด็จพระมหาธรรมราชา | ไม่ปรากฏ–1946[53][54] | ||
- | พระมหาธรรมราชา | ไม่ปรากฏ–1962 | ข้อเสนอของพิเศษ เจียจันทร์พงษ์ว่า หลังพระมหาธรรมราชาที่ 2 สวรรคต นามธรรมราชาถูกสถาปนาให้แก่เจ้าเมืองสองแควผู้เป็นอนุชา[47] ปีสวรรคตยึดตามพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ | |
- | เจ้าสามพระยา | 1962–1967 | ปรากฏในพระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม)[50] โดยอาจจะครองเมืองคนละฝั่งแม่น้ำกับพระมหาธรรมราชาที่ 4[47] ปีที่ได้รับการแต่งตั้งถูกสันนิษฐานโดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ[47] | |
5 | พระมหาธรรมราชาที่ 4 | 1962–1981 | รัชกาลเจ้าสามพระยา | |
สิ้นสุดอาณาจักรสุโขทัย (พ.ศ. 1981) |
สมัยกรุงศรีอยุธยา
แก้ทำเนียบผู้ปกครองเมืองพิษณุโลกระหว่างปี พ.ศ. 2127–2310 ขึ้นกับอาณาจักรอยุธยา มีฐานะเป็นหัวเมืองชั้นเอกอุและหัวเมืองชั้นเอก
ลำดับ | พระนาม/ชื่อ | ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง (พ.ศ.) | หมายเหตุ | |
---|---|---|---|---|
เป็นเมืองร้างจากการเทครัวหัวเมืองเหนือ (พ.ศ. 2127–2136) | ||||
1 | เจ้าพระยาสุรสีห์ (พระชัยบุรี)[55]: 204 | 2136–ไม่ปรากฏ[56] | รัชกาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช | |
2 | ออกญาพิษณุโลก (ออกญาพระคลัง)[55]: 220 | 2172–2179[55]: 223 | รัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง[57] (ทรงตั้งพระสหายสนิทที่ร่วมคิดแย่งราชสมบัติเป็นเจ้าเมืองพิษณุโลก) | |
3 | ออกญาพิษณุโลก (ออกญาวัง) | 2179–ไม่ปรากฏ[55]: 223 | ||
4 | เจ้าพระยาจักรี | ไม่มีข้อมูล | รัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง[58] (โอนเมืองพิษณุโลกไปขึ้นกับเจ้าพระยาจักรี) | |
5 | ออกญาพิษณุโลก | ไม่มีข้อมูล | รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช[59] (เจ้าเมืองพิษณุโลกถูกประหารจากการยักยอกรายได้ของหลวง) | |
6 | สมเด็จพระเพทราชา | ไม่ปรากฏ–2231[60] | รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช | |
7 | กรมพระราชวังบวร (หลวงสรศักดิ์) | 2231–2246 | รัชกาลสมเด็จพระเพทราชา | |
8 | เจ้าพระยาพิษณุโลก (เมฆ) | 2251–2275[61] | รัชกาลสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ | |
9 | เจ้าพระยาสุรสีห์ (หลวงจ่าแสนยากร)[62]: 153 | 2275–2276[63]: 8 | รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ | |
10 | เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง โรจนกุล) | 2276–2310 | รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ – สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์[64] | |
เสียกรุงครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2310) |
สมัยกรุงธนบุรี
แก้ทำเนียบเจ้าเมืองพิษณุโลกระหว่างปี พ.ศ. 2310–2325 มีฐานะเป็นเมืองอิสระและหัวเมืองชั้นเอกอุ[65][66]: 42
ลำดับ | พระนาม/ชื่อ | ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง (พ.ศ.) | หมายเหตุ | |
---|---|---|---|---|
1 | พระเจ้าพิศณุโลก (เรือง โรจนกุล) | 2311 | ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) | |
2 | พระยาไชยบูรณ์ (จัน) | 2311–2312 | ชุมนุมเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) | |
3 | หลวงโกษา (ยัง) | 2312–2313 | ชุมนุมเจ้าพระฝาง | |
4 | เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) | 2313–2324 | หัวเมืองชั้นเอกอุ | |
สิ้นสุดอาณาจักรธนบุรี (พ.ศ. 2325) |
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
แก้ทำเนียบผู้สำเร็จราชการเมือง สมุหเทศาภิบาล และผู้ว่าราชการจังหวัดระหว่างปี พ.ศ. 2325–ปัจจุบัน
ทำเนียบผู้สำเร็จราชการเมือง
แก้มีฐานะเป็นหัวเมือง ตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พ.ศ. 2325–2437
ลำดับ | ชื่อ | ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง (พ.ศ.) | หมายเหตุ | |
---|---|---|---|---|
1 | พระยาพิษณุโลก (หลวงนรา) | 2325–2328 | สงครามเก้าทัพสมัยรัชกาลที่ 1 | |
2 | พระยาพิษณุโลก (พุ่ม) | ไม่มีข้อมูล | สมัยรัชกาลที่ 3[67] | |
3 | พระยาพิษณุโลกาธิบดี (บัว) | 2365–2367 | ||
4 | พระยาพิษณุโลก | 2380–ไม่ปรากฏ[68] | ||
5 | พระยาพิษณุโลกาธิบดี | ไม่มีข้อมูล | สมัยรัชกาลที่ 5[69] | |
6 | พระยาพิษณุโลกาธิบดี | 2428–ไม่ปรากฏ[70] | ||
ปฏิรูปเขตการปกครองมณฑลเทศาภิบาล (พ.ศ. 2440) |
ทำเนียบสมุหเทศาภิบาลมลฑล
แก้รายชื่อผู้ว่าราชการเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัด
แก้เมืองพิษณุโลกได้รับการจัดตั้งเป็นเขตการปกครองระดับที่สองในระบบมณฑลเทศาภิบาล ขึ้นกับมณฑลพิษณุโลก ตั้งแต่ พ.ศ. 2437 และเปลี่ยนคำเรียกเป็นจังหวัดตั้งแต่ พ.ศ. 2459[71] รายชื่อผู้ว่าราชการเมืองและผู้ว่าราชการจังหวัด มีดังนี้[72][73]
ลำดับ | ชื่อ | ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง (พ.ศ.) |
---|---|---|
1 | พระบริรักษ์โยธี (ทองอยู่ สุวรรณบาตร์) | ไม่ทราบข้อมูล |
2 | พระไชยศิรินทรภักดี (สวัสดิ์ มหากายี) | 2456–2457 |
3 | พระพิษณุโลกบุรี (สวัสดิ์ มหากายี) | 2457–2458 |
4 | พระเกษตรสงคราม (เชียร กัลยาณมิตร) | 2458–2459 |
5 | พระสวรรคโลกบุรี | 2459–2461 |
6 | พระยากัลยาณวัฒนวิศิษฎ (เชียร กัลยาณมิตร) | 2461–2470 |
7 | พระยาสุนทรพิพิธ (เชย มัฆวิบูลย์) | 2470–2476 |
8 | พระยาศิรีชัยบุรินทร์ (เบี๋ยน หงสะเดช) | 12 มีนาคม 2456 – 1 กรกฎาคม 2476 |
9 | พระสาครบุรานุรักษ์ (ปริก สุวรรณานนท์) | 20 มีนาคม 2478 – 18 พฤษภาคม 2481 |
10 | พระยาสุราษฎร์ธานีศรีเกษตรนิคม (เต่า ศตะกูรมะ) | 10 มิถุนายน 2481 – 18 มิถุนายน 2482 |
11 | หลวงยุทธสารประสิทธิ์ (เมี้ยน โรหิตเสรนี) | 24 มิถุนายน 2482 – 7 กรกฎาคม 2483 |
12 | พันเอก พระศรีราชสงคราม (ศรี ศุขะวาที) | 7 กันยายน 2483 – 7 พฤษภาคม 2484 |
13 | พันตรี หลวงยุทธสารประสิทธิ์ (เมี้ยน โรหิตเสรนี) | 16 มิถุนายน 2484 – 27 กรกฎาคม 2485 |
14 | หลวงวิเศษภักดี (ชื่น วิเศษภักดี) | 28 เมษายน 2485 – 3 มกราคม 2487 |
15 | หลวงศรีนราศัย (ผิว จันทิมาคม) | 11 พฤษภาคม 2487 – 7 กรกฎาคม 2488 |
16 | นายพรหม สูตรสุคนธ์ | 7 กรกฎาคม 2488 – 7 ตุลาคม 2489 |
17 | ขุนคำณวนวิจิตร (เชย บุนนาค) | 18 พฤศจิกายน 2489 – 6 ธันวาคม 2490 |
18 | ขุนจรรยาวิเศษ (เที่ยง บุณยนิตย์) | 6 ธันวาคม 2490 – 31 ธันวาคม 2493 |
19 | นายพ่วง สุวรรณรัฐ | 1 มกราคม 2494 – 10 พฤศจิกายน 2494 |
20 | พันตรี ขุนทะยานราญรอน (วัชระ วัชรบูล) | 12 กุมภาพันธ์ 2494 – 1 พฤศจิกายน |
21 | พระบรรณศาสน์สาทร (สง่า คุปตารักษ์) | 1 กุมภาพันธ์ 2497 – 1 สิงหาคม 2497 |
22 | นายปรง พะหูชนม์ | 1 สิงหาคม 2497 – 22 กุมภาพันธ์ 2501 |
23 | นายพ่วง สุวรรณรัฐ (รักษาการในตำแหน่ง ผ.ว.ก.จว.) | 14 กุมภาพันธ์ 2501 – 3 มีนาคม 2501 |
24 | นายเยียน โพธิสุวรรณ | 27 มีนาคม 2501 – 3 เมษายน 2507 |
25 | นายเจริญ ภมรบุตร | 9 เมษายน 2507 – 4 กุมภาพันธ์ 2509 |
26 | นายนิรุต ไชยกูล | 11 กุมภาพันธ์ 2509 – 21 ตุลาคม 2510 |
27 | นายพล จุฑางกูร | 21 พฤศจิกายน 2510 – 2 ตุลาคม 2513 |
28 | นายพัฒน์ บุณยรัตพันธุ์ | 2 ตุลาคม 2513 – 21 กันยายน 2514 |
29 | นายจำรูญ ปิยัมปุตระ | 1 ตุลาคม 2514 – 30 กันยายน 2515 |
30 | พลตำรวจตรี สามารถ วายวานนท์ | 1 ตุลาคม 2515 – 30 กันยายน 2517 |
31 | นายสิทธิเดช นรัตถรักษา | 1 ตุลาคม 2517 – 30 กันยายน 2519 |
32 | นายชาญ กาญจนาคพันธุ์ | 1 ตุลาคม 2519 – 30 กันยายน 2523 |
33 | นายยง ภักดี | 1 ตุลาคม 2523 – 30 กันยายน 2525 |
34 | นายสืบ รอดประเสริฐ | 1 ตุลาคม 2525 – 31 ตุลาคม 2528 |
35 | นายนพรัตน์ เวชชศาสตร์ | 1 พฤศจิกายน 2528 – 30 กันยายน 2532 |
36 | นายไพฑูรย์ สุนทรวิภาต | 1 ตุลาคม 2532 – 30 กันยายน 2534 |
37 | นายอภัย จันทนจุลกะ | 1 ตุลาคม 2534 – 30 กันยายน 2536 |
38 | นายสวัสดิ์ ส่งสัมพันธ์ | 1 ตุลาคม 2536 – 30 กันยายน 2539 |
39 | นายนิธิศักดิ ราชพิตร | 1 ตุลาคม 2539 – 30 กันยายน 2542 |
40 | นายวิจารณ์ ไชยนันท์ | 1 ตุลาคม 2542 – 30 กันยายน 2545 |
41 | นายพิพัฒน์ วงศาโรจน์ | 1 ตุลาคม 2545 – 30 กันยายน 2550 |
42 | นายสมบูรณ์ ศรีพัฒนาวัฒน์ | 1 ตุลาคม 2550 – 15 มีนาคม 2552 |
43 | นายปรีชา เรืองจันทร์ | 16 มีนาคม 2552 – 27 เมษายน 2555 |
44 | นายชัยโรจน์ มีแดง | 27 เมษายน 2555 – 7 ตุลาคม 2555 |
43 | นายปรีชา เรืองจันทร์ (ครั้งที่ 2) | 8 ตุลาคม 2555 – 30 กันยายน 2556 |
44 | นายระพี ผ่องบุพกิจ | 1 ตุลาคม 2556 – 30 กันยายน 2557 |
45 | นายจักริน เปลี่ยนวงษ์ | 1 ตุลาคม 2557 – 30 กันยายน 2558 |
46 | นายชูชาติ กีฬาแปง | 1 ตุลาคม 2558 – 30 กันยายน 2559 |
47 | นายศุภชัย เอี่ยมสุวรรณ | 1 ตุลาคม 2559 – 30 กันยายน 2560 |
48 | นายภัคพงศ์ ทวิพัฒน์ | 1 ตุลาคม 2560 – 30 กันยายน 2561 |
49 | นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ | 1 ตุลาคม 2561 – 30 กันยายน 2563 |
50 | นายรณชัย จิตรวิเศษ | 1 ตุลาคม 2563 – 30 กันยายน 2565 |
51 | นายภูสิต สมจิตต์ | 1 ตุลาคม 2565 – 30 กันยายน 2567 |
52 | นายทวี เสริมภักดีกุล | 17 พฤศจิกายน 2567 – ปัจจุบัน |
การปกครองส่วนท้องถิ่น
แก้องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ในการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของจังหวัดพิษณุโลก มีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และมีสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมด 30 คน[74]
ภายในพื้นที่ของจังหวัดพิษณุโลกแบ่งออกเป็นเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับล่างหรือระดับพื้นฐานจำนวนทั้งหมด 102 แห่ง ได้แก่ เทศบาลนคร 1 แห่ง, เทศบาลเมือง 1 แห่ง, เทศบาลตำบล 24 แห่ง และองค์การบริหารส่วนตำบล 76 แห่ง[75] รายชื่อเทศบาลทั้งหมดในจังหวัดพิษณุโลกจำแนกตามอำเภอ มีดังนี้
- อำเภอเมืองพิษณุโลก
- เทศบาลนครพิษณุโลก
- เทศบาลเมืองอรัญญิก
- เทศบาลตำบลบ้านใหม่
- เทศบาลตำบลพลายชุมพล
- เทศบาลตำบลหัวรอ
- เทศบาลตำบลท่าทอง
- เทศบาลตำบลบ้านคลอง
- อำเภอนครไทย
- เทศบาลตำบลนครไทย
- เทศบาลตำบลบ้านแยง
- อำเภอชาติตระการ
- เทศบาลตำบลป่าแดง
- อำเภอบางระกำ
- เทศบาลตำบลบางระกำ
- เทศบาลตำบลปลักแรด
- เทศบาลตำบลพันเสา
- เทศบาลตำบลบึงระมาณ
- เทศบาลตำบลบางระกำเมืองใหม่
- อำเภอบางกระทุ่ม
- เทศบาลตำบลเนินกุ่ม
- เทศบาลตำบลบางกระทุ่ม
- เทศบาลตำบลห้วยแก้ว
- เทศบาลตำบลสนามคลี
- อำเภอพรหมพิราม
- เทศบาลตำบลพรหมพิราม
- เทศบาลตำบลวงฆ้อง
- อำเภอวัดโบสถ์
- เทศบาลตำบลวัดโบสถ์
- อำเภอวังทอง
- เทศบาลตำบลวังทอง
- อำเภอเนินมะปราง
- เทศบาลตำบลเนินมะปราง
- เทศบาลตำบลไทรย้อย
- เทศบาลตำบลบ้านมุง
ประชากรศาสตร์
แก้- หมายถึงจำนวนประชากรได้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
- หมายถึงจำนวนประชากรได้ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน
อันดับ (ปีล่าสุด) |
อำเภอ | พ.ศ. 2557[76] | พ.ศ. 2556[77] | พ.ศ. 2555[78] | พ.ศ. 2554[79] | พ.ศ. 2553[80] | พ.ศ. 2552[81] | พ.ศ. 2551[82] |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | เมืองพิษณุโลก | 283,419 | 281,762 | 280,922 | 280,457 | 279,292 | 276,293 | 274,415 |
2 | วังทอง | 120,824 | 120,535 | 120,513 | 119,878 | 119,485 | 119,103 | 119,213 |
3 | บางระกำ | 94,980 | 94,832 | 94,578 | 94,020 | 93,841 | 93,725 | 93,673 |
4 | พรหมพิราม | 87,864 | 87,853 | 87,739 | 87,629 | 87,869 | 87,868 | 87,962 |
5 | นครไทย | 87,042 | 86,684 | 86,163 | 85,534 | 85,213 | 84,911 | 85,202 |
6 | เนินมะปราง | 58,208 | 58,043 | 58,062 | 57,916 | 57,873 | 57,906 | 58,015 |
7 | บางกระทุ่ม | 48,152 | 48,307 | 48,390 | 48,313 | 48,605 | 48,667 | 48,849 |
8 | ชาติตระการ | 40,801 | 40,633 | 40,432 | 40,144 | 40,121 | 39,759 | 39,483 |
9 | วัดโบสถ์ | 37,698 | 37,727 | 37,573 | 37,466 | 37,393 | 37,329 | 37,183 |
— | รวม | 858,988 | 856,376 | 854,372 | 851,357 | 849,692 | 845,561 | 843,995| |
การศึกษา
แก้จังหวัดพิษณุโลกเป็นศูนย์กลางการศึกษาของภูมิภาคภาคเหนือตอนล่าง มีสถานศึกษามากมายทุกระดับตั้งแต่อนุบาลจนถึงระดับมหาวิทยาลัยทั้งรัฐบาล และเอกชนดังนี้
- อุดมศึกษา
- มหาวิทยาลัยนเรศวร
- มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม
- มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา วิทยาเขตพิษณุโลก
- วิทยาลัยสงฆ์พุทธชินราช มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
- มหาวิทยาลัยพิษณุโลก
- วิทยาลัยทองสุข ศูนย์การศึกษาพิษณุโลก
- วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีพุทธชินราช
- วิทยาลัยการสาธารณสุขสิรินธร
- วิทยาลัยแคมบริดจ์ ประเทศไทย
- สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ศูนย์จังหวัดพิษณุโลก
- อาชีวศึกษา
- วิทยาลัยอาชีวศึกษา จังหวัดพิษณุโลก
- วิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลก
- วิทยาลัยเทคนิคสองแคว
- วิทยาลัยพณิชยการบึงพระพิษณุโลก
- วิทยาลัยสารพัดช่างพิษณุโลก
- วิทยาลัยการอาชีพนครไทย
- วิทยาลัยบริหารธุรกิจและเทคโนโลยีพิษณุโลก
- วิทยาลัยอาชีวศึกษาพณิชยการพิษณุโลก
- มัธยมศึกษา
- สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาพิษณุโลก อุตรดิตถ์ (เฉพาะในจังหวัดพิษณุโลก)
|
ประถมศึกษา
สาธารณสุข
แก้จังหวัดพิษณุโลกมีสถานบริการที่หลากหลาย ตั้งแต่สถานีอนามัย ศูนย์สุขภาพชุมชน คลินิก โรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลทหาร โรงพยาบาลเอกชน และโรงพยาบาลระดับมหาวิทยาลัย โดยมีโรงพยาบาลศูนย์สังกัดกระทรวงสาธารณสุขประจำจังหวัดและประจำภูมิภาคภาคเหนือตอนล่างคือ โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก และมีโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ซึ่งเป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิขั้นสูงของภูมิภาคภาคเหนือตอนล่างก็คือ โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร นอกจากนี้ยังมีโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงกลาโหม คือโรงพยาบาลค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช โรงพยาบาลกองบิน 46 และมีโรงพยาบาลประจำอำเภอดังต่อไปนี้
- โรงพยาบาลสมเด็จพยุพราชนครไทย อำเภอนครไทย
- โรงพยาบาลชาติตระการ อำเภอชาติตระการ
- โรงพยาบาลบางระกำ อำเภอบางระกำ
- โรงพยาบาลบางกระทุ่ม อำเภอบางกระทุ่ม
- โรงพยาบาลพรหมพิราม อำเภอพรหมพิราม
- โรงพยาบาลวัดโบสถ์ อำเภอวัดโบสถ์
- โรงพยาบาลวังทอง อำเภอวังทอง
- โรงพยาบาลเนินมะปราง อำเภอเนินมะปราง
การขนส่ง
แก้ลักษณะทางภูมิศาสตร์ทำให้จังหวัดพิษณุโลกเป็นจุดศูนย์กลางในด้านคมนาคมของภูมิภาคอินโดจีน โดยเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างภาคกลางกับภาคเหนือ รวมทั้งภาคเหนือกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วย จังหวัดพิษณุโลกจึงได้รับการขนานนามว่าเป็น "เมืองบริการสี่แยกอินโดจีน" โดยสามารถเดินทางได้โดยทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 (แม่สอด-มุกดาหาร) ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 (อินทร์บุรี-เชียงใหม่) และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 117 (พิษณุโลก-นครสวรรค์) โดยทางหลวงทั้ง 3 สายเชื่อมโยงกันด้วยโครงข่ายทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 126 (ถนนวงแหวนรอบเมืองพิษณุโลก)
โดยทั้งนี้จังหวัดพิษณุโลกมีสถานีขนส่งผู้โดยสาร 2 แห่งด้วยกัน
- สถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งที่ 1 ตั้งอยู่ภายในตัวเมือง สำหรับรถโดยสารที่วิ่งบริเวณจังหวัดที่ใกล้เคียง
- สถานีขนส่งผู้โดยสารแห่งที่ 2 ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกอินโดจีน เป็นสถานีขนส่งผู้โดยสารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ ก่อสร้างบนเนื้อที่ 10 ไร 12 ตารางวา รองรับรถโดยสารที่มีเส้นทางผ่านจังหวัดพิษณุโลก รวม 20 เส้นทาง มีชานชาลาสำหรับจอดรถโดยสารทั้งหมด 40 ช่อง แบ่งเป็นอาคารสถานีฯหลังใหญ่ จำนวน 20 ช่อง อาคารสถานีฯหลังเล็ก จำนวน 20 ช่อง มีช่องจำหน่ายตั๋ว 27 ช่อง มีสถานที่จอดรถสำหรับประชาชนจำนวน 100 ช่อง มีการจัดสถานที่นั่งรอรถ สำหรับพระภิกษุและประชาชนอย่างเพียงพอ
นอกจากการคมนาคมทางรถยนต์แล้วยังสามารถเดินทางด้วยรถไฟที่สถานีรถไฟพิษณุโลก หรือทางอากาศที่ท่าอากาศยานพิษณุโลก มีเที่ยวบินพาณิชย์ให้บริการจากท่าอากาศยานดอนเมือง ได้แก่ สายการบินนกแอร์ สายการบินไทยแอร์เอเชียและสายการบินไทยไลออนแอร์ โดยให้บริการทุกวัน
การเดินทางภายในตัวจังหวัด มีรถโดยสารสองแถวสีม่วงและรถโดยสารประจำทางมินิบัสสีม่วงให้บริการหลายสาย และยังมีรถแท็กซี่มิตเตอร์ให้บริการอีกด้วย
- อำเภอวังทอง 17 กิโลเมตร
- อำเภอบางระกำ 20 กิโลเมตร
- อำเภอวัดโบสถ์ 28 กิโลเมตร
- อำเภอพรหมพิราม 32 กิโลเมตร
- อำเภอบางกระทุ่ม 36 กิโลเมตร
- อำเภอเนินมะปราง 68 กิโลเมตร
- อำเภอนครไทย 99 กิโลเมตร
- อำเภอชาติตระการ 109 กิโลเมตร
สถานที่ท่องเที่ยว
แก้- อำเภอเมืองพิษณุโลก
- วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
- พระราชวังจันทน์ (ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช)
- มหาวิหารสมเด็จองค์ปฐม (วัดจันทร์ตะวันตก)
- พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี (จ่าสิบเอกทวี-พิมพ์ บูรณเขตต์)
- โรงหล่อพระบูรณะไทย
- สวนนกไทยศึกษา
- วัดนางพญา
- สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา บริเวณแยกเรือนแพ (สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ)
- ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาพิษณุโลก
- อำเภอบางระกำ
- สวนน้ำสแปลชฟันปาร์ค (สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ)
- อำเภอวังทอง
- สวนสาธารณะบึงราชนก (ส่องนกชมดาว)
- สวนรุกขชาติสกุโณทยาน (น้ำตกวังนกแอ่น)
- น้ำตกปอย
- น้ำตกแก่งซอง
- น้ำตกแก่งโสภา
- อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
- วนอุทยานเขาพนมทอง ตำบลพันชาลี
- วัดราชคีรีหิรัญยาราม
- อุทยานแห่งชาติภูแดงร้อน
- วัดพระพุทธบาทเขาสมอแคลง
- โรงเจไซทีฮุกตึ้ง
- พระมหาธาตุเจดีย์ศรีบวรชินรัตน์
- วัดวังทองวราราม
- สถูปพระยาสาลีรัฐวิภาค
- อำเภอนครไทย
- อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง
- อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูขัด
- เขาโปกโล้น ต.นครชุม
- บ่อเกลือพันปี ต.บ่อโพธิ์
- อนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางท่าว (หาว)
- อำเภอวัดโบสถ์
- อำเภอชาติตระการ
- อุทยานแห่งชาติน้ำตกชาติตระการ
- น้ำตกนาจาน
- สวนพฤกษศาสตร์ บ้านร่มเกล้า
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเมี่ยงภูทอง
- อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว
- น้ำตกตาดปลากั้ง
- อำเภอเนินมะปราง
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่าถ้ำผาท่าพล
- บ้านมุง
- บ้านรักไทย
- ทุ่งโนนสน อช.ทุ่งแสลงหลวง
- ถ้ำเดือน ถ้ำดาว
- ถ้ำพระวังแดง (ถ้ำที่มีความยาวที่สุดในประเทศไทย 13,761 เมตร)
- อำเภอพรหมพิราม
- สวนนํ้าพรหมพิรามรีสอร์ท
- วัดวังมะสระ
- วัดกระบังมังคลาราม
- เขื่อนนเรศวร
บุคคลที่มีชื่อเสียง
แก้- เกจิคณาจารย์ชื่อดังของจังหวัดพิษณุโลก
- พระพรหมวชิรเจดีย์ (บำรุง ฐานุตโร)ปธ.7 อดีตที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 5 อดีตเจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ อำเภอเมืองพิษณุโลก
- พระวรญาณมุนี (หลวงตาละมัย (แจ่ม สุธัมโม) วัดอรัญญิก อำเภอเมืองพิษณุโลก
- พระมงคลสุธี (หลวงพ่อแขก) วัดสุนทรประดิษฐ์ อำเภอบางระกำ
- พระครูศีลสารสัมบัน (สำรวย สมฺปนฺโน) วัดสระแก้วปทุมทอง อำเภอเมืองพิษณุโลก
- หลวงพ่อทรัพย์ วัดปลักแรด อำเภอบางระกำ
- พระครูประพันธ์ศีลคุณ (หลวงพ่อพันธ์) อดีตเจ้าอาวาสวัดบางสะพานและเจ้าคณะอำเภอวังทองชั้นเอก
- พระครูสุวรรณธรรมาภรณ์ (หลวงพ่อวาว) อดีตเจ้าอาวาสวัดบางสะพานและเจ้าคณะตำบลวังทองชั้นเอกกิตติมศักดิ์
- พระครูศีลสารสัมบัน (หลวงปู่อ่อน พุทธสโก) วัดเนินมะเกลือวนาราม อำเภอวังทอง
- พระครูไพโรจน์คุณาธาร (หลวงปู่หล้า คุณาธโร) วัดหนองบัว อำเภอวังทอง
- พระครูขันติธรรมาภินันท์ (หลวงพ่อเชื่อม) วัดหนองทอง อำเภอวังทอง
- หลวงพ่อยี ปญญภาโร อดีตเจ้าอาวาสวัดอภัยสุพรรณภูมิ (วัดดงตาก้อนทอง) อำเภอบางกระทุ่ม
- หลวงพ่อแห วัดหนองบัว อ.เมือง
ของดีจังหวัดพิษณุโลก
แก้- พระพุทธชินราชใบเสมา กรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ (วัดใหญ่) หนึ่งในเบญจภาคีพระเครื่อง
- พระพิมพ์นางพญา กรุวัดนางพญา หนึ่งในเบญจภาคีพระเครื่อง
- หมี่ซั่ว
- สุนัขพันธุ์บางแก้ว
- ไก่ชนพันธุ์ไทยพันธุ์เหลืองหางขาว
- แหนมและหมูยอ
- น้ำปลาปลาสร้อยอำเภอบางระกำ
- ผลิตภัณฑ์กล้วยตาก อำเภอบางกระทุ่ม
- ไม้กวาดบ้านนาจาน อำเภอชาติตระการ
- ผลิตภัณฑ์สมุนไพรทอดกรอบ (หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ 5 ดาว)
- ผ้าไหมทอมือ อำเภอเนินมะปราง
- มะม่วงกวนหรือส้มแผ่น อำเภอวังทอง
หมายเหตุ
แก้- ↑ ตามราชบัณฑิตยสภาได้จัดให้จังหวัดพิษณุโลกเป็นส่วนหนึ่งของภาคกลาง แต่ในบางหน่วยงาน เช่น คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ[3] หรือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ก็จะจัดให้อยู่ภาคเหนือตอนล่าง[4]
อ้างอิง
แก้- เชิงอรรถ
- ↑ ศูนย์สารสนเทศเพื่อการบริหารและงานปกครอง. กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ข้อมูลการปกครอง." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.dopa.go.th/padmic/jungwad76/jungwad76.htm เก็บถาวร 2016-03-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน [ม.ป.ป.]. สืบค้น 18 เมษายน 2553.
- ↑ 2.0 2.1 กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเป็นกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://stat.bora.dopa.go.th/stat/pk/pk_64.pdf 2564. สืบค้น 1 มีนาคม 2565
- ↑ "การแบ่งภูมิภาคทางภูมิศาสตร์". สำนักงานราชบัณฑิตยสภา.
- ↑ "amazing THAILAND : แบ่งตามภูมิภาค". การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย.
- ↑ ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง เปลี่ยนชื่ออำเภอ. เก็บถาวร 2011-11-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 34 ตอนที่ ๐ก วันที่ 29 เมษายน 2460
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 เสน่หา บุณยรักษ์ และทิพย์สุดา นัยทรัพย์. (2542). โครงการศึกษาค้นคว้าวิจัยทางวัฒนธรรม สำนักศิลปวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏพิบูลสงคราม พิษณุโลก ปีการศึกษา ๒๕๔๒ เรื่อง ภูมินามจังหวัดพิษณุโลก. พิษณุโลก: สถาบันราชภัฏพิบูลสงคราม. 389 หน้า.
- ↑ 7.0 7.1 สุรัตน์ นิ่มขาว. (2556, 6 พฤษภาคม). "ภาคผนวก ก: ประวัติศาสตร์เมืองพิษณุโลก", โครงการออกแบบปรับปรุงภูมิทัศน์เพื่อการอนุรักษ์โบราณสถาน และมรดกวัฒนธรรมเมืองเก่าพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก. วิทยานิพนธ์ภูมิสถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิต คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 243 หน้า.
- ↑ ดร. ตรงใจ หุตางกูร. "ประเด็นประวัติศาสตร์และโบราณคดีจากจารึกเมืองละโว้" ใน มรดกความทรงจำแห่งนพบุรีศรีลโวทัยปุระ : ว่าด้วยโคลงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์ฯ และจารึกโบราณแห่งเมืองละโว้, หน้า 191
- ↑ สุจิตต์ วงษ์เทศ (10 เมษายน 2561). "พิษณุโลก คือโอฆบุรี และสรลวง (ไม่ใช่สระหลวง)". มติชนออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 11 ธันวาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ นราธิปประพันธ์พงศ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. พระราชพงศาวดารพม่า เล่มที่ 5. พระนคร : คุรุสภา, 2505. หน้า 239.
- ↑ นราธิปประพันธ์พงศ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่น. พระราชพงศาวดารพม่า เล่มที่ 2. [ม.ป.ท. : ม.ป.พ.], หน้า 495.
- ↑ นราธิปประพันธ์พงศ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่น. พงศาวดารไทยใหญ่, (ตอนที่ ๗ อังกฤษครอบครองหัวเมืองไทยใหญ่). กรุงเทพฯ : 2456.
- ↑ นราธิปประพันธ์พงศ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่น. พระราชพงศาวดารพม่า เล่มที่ 1. [ม.ป.ท. : ม.ป.พ.], 2456. 1191 หน้า. หน้า 477.
- ↑ นราธิปประพันธ์พงศ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. พระราชพงศาวดารพม่า เล่มที่ 1. [ม.ป.ท. : ม.ป.พ.], 2505. หน้า 224.
- ↑ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, โครงการศูนย์สุโขทัยศึกษา สาขาวิชาศิลปศาสตร์. (2539). สารานุกรมสุโขทัยศึกษา เล่ม 1. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. 358 หน้า. ISBN 978-974-6-14936-5
- ↑ http://www.thaiheritage.net/nation/oldcity/phitsanulok4.htm
- ↑ 17.0 17.1 หวน พินธุพันธ์. เมืองโบราณของเรา: กรณีศึกษาเมืองโบราณใน พิษณุโลก พิจิตร อุตรดิตถ์ ลพบุรี และอ่างทอง. กรุงเทพฯ: บันทึกสยาม, 2542.
- ↑ "สำเนาที่เก็บถาวร". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2020-02-06. สืบค้นเมื่อ 2020-03-28.
- ↑ พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน และตำนานสิงหนวติกุมาร ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๑
- ↑ silpathai.net/โบราณวัตถุสถาน"พระปราง/
- ↑ http://storyofsiam2.blogspot.com/p/blog-page_13.html
- ↑ Gervaise, Nicolas. (1688). Histoire naturelle et politique du Royaume de Siam: Divisée En Quatre Parties. Paris, France: L'imprimerie de Pierre le Mercier. p. 47.
- ↑ แชรแวส, นีโกลาส์ และสันต์ ท. โกมลบุตร (แปล). (2506). Histoire naturelle et politique du royaume de Siam [ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการเมืองแห่งราชอาณาจักรสยาม (ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช)]. แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร. พระนคร: ก้าวหน้า. 324 หน้า. ISBN 978-616-4-37035-7
- ↑ ตุรแปง, ฟรังซัวส์ อังรี. ประวัติศาสตร์แห่งพระราชอาณาจักรสยาม : Histoire du Royaume de Siam, tome premier โดย ฟรังซัวส์ อังรี ตุรแปง. ปอล ซาเวียร์ แปล. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, 2539. 256 หน้า. หน้า 17. ISBN 974-419-094-9
- ↑ https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/177
- ↑ พิระสันต์, จิรวัฒน์. ศิลปกรรมทัองถิ่น จังหวัดพิษณุโลก. สำนักพิมพ์ แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย; พ.ศ. 2547.
- ↑ 27.0 27.1 เจียจันทร์พงษ์, พิเศษ. เมืองในประวัติศาสตร์ยุคสุโขทัยอยุธยา พระมหาธรรมราชากษัตราธิราช. สำนักพิมพ์มติชน; พ.ศ. 2553.
- ↑ http://www.thaiheritage.net/king/ayuthaya/ayuthaya1.htm
- ↑ 29.0 29.1 ประเสริฐ ณ นคร. ประวัติศาสตร์เบ็ดเตล็ด. สำนักพิมพ์มติชน; พ.ศ. 2549.
- ↑ ISBN 978-0-521-01647-6 A History of Thailand
- ↑ https://www.phitsanulokhotnews.com/2013/03/03/32685
- ↑ วัลลิโภดม, ศรีศักร. ลุ่มนํ้าน่าน: ประวัติศาสตร์โบราณคดี ของ พิษณุโลก "เมืองอกแตก. สำนักพิมพ์มติชน; พ.ศ. 2546.
- ↑ https://m.mgronline.com/columnist/detail/9550000137934
- ↑ มานพ ถาวรวัฒน์สกุล. ขุนนางอยุธยา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, เมษายน 2547.
- ↑ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ. ไทยรบพม่าครั้งที่ ๒๔ สงครามครั้งที่ ๒๔ คราวเสียกรุงฯ ครั้งหลัง ปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๐.
- ↑ ชัย เรืองศิลป์ และพรเพ็ญ ฮั่นตระกูล. (2533). ประวัติศาสตร์ไทยด้านเศรษฐกิจแต่โบราณถึง พ.ศ. 2399. กรุงเทพฯ: ต้นอ้อ. 288 หน้า. หน้า 188.
- ↑ ก.ศ.ร. กุหลาบ และสำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร. (2449). ต้นวงศ์ตระกูลพะญาศรีสหเทพชื่อทองเพ็ง. พระนคร: ม.ป.ท. 454 หน้า. หน้า (ฏำ)–(ฏะ).
- ↑ สมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน. (2466). "ปริเฉจ ๗ ว่าด้วยทศราชวงศ์กรุงศรีอยุธยา เรื่อง พระนครถึงความพินาศใหญ่," ใน สังคีติยวงศ์ พงศาวดาร เรื่องสังคายนาพระธรรมวินัย สมเด็จพระวันรัตนวัดพระเชตุพน ในรัชกาลที่ ๑ แต่งภาษามคธ. แปลโดย พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาลลักษมณ). ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พิมพ์พระราชทานในงานพระศพสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย ณะ พระเมรุท้องสนามหลวง พ.ศ. ๒๔๖๖. พระนคร: โรงพิมพ์ไท. 574 หน้า. หน้า 417–418.
- ↑ พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี.
- ↑ ธีระวัฒน์ แสนคำ. "เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) แห่งก๊กพิษณุโลก ถึงแก่พิราลัยหลังเป็นกษัตริย์ได้ 7 วันจริงหรือ?," ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกรกฎาคม 2557. สืบค้นเมื่อ 24 พฤศจิกายน 2564.
- ↑ https://www.phitsanulokhotnews.com/2016/04/06/83701
- ↑ 42.0 42.1 พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑.
- ↑ finearts.go.th/fad6/parameters/km/item/กำแพงเมืองพิษณุโลก.html
- ↑ "ตำนานสร้าง "พระศรีศาสดา" พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง "พระพุทธรูปผู้พิทักษ์พระพุทธชินสีห์"". ไลน์ทูเดย์. สืบค้นเมื่อ 3 เมษายน 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ 45.0 45.1 "เหตุอัศจรรย์ในการอัญเชิญพระพุทธชินราช "มุขปาฐะในพื้นที่พิษณุโลก"". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 6 เมษายน 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ "Climate Normals for Phitasnulok". องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (National Oceanic and Atmospheric Administration). สืบค้นเมื่อ 3 February 2013.
- ↑ 47.0 47.1 47.2 47.3 47.4 เจียจันทร์พงษ์, พิเศษ (2010), การเมืองในประวัติศาสตร์ยุคสุโขทัย-อยุธยา พระมหาธรรมราชากษัตราธิราช (2nd ed.), กรุงเทพฯ: มติชน, pp. 9, 30–31, 71, 74–75, ISBN 978-974-02-0401-5, สืบค้นเมื่อ 2024-11-18
- ↑ พระโพธิรังษี (1963), ตำนานพระพุทธสิหิงค์ (PDF), แปลโดย พระยาปริยัติธรรมธาดา, กรมศิลปากร, pp. 21–22, สืบค้นเมื่อ 2024-11-18
- ↑ พระรัตนปัญญาเถระ (1958), ชินกาลมาลีปกรณ์ (PDF), แปลโดย มนวิทูร, แสง, พระนคร: กรมศิลปากร, pp. 102–103, สืบค้นเมื่อ 2024-11-18
- ↑ 50.0 50.1 หุตางกูร, ตรงใจ (2018), การปรับแก้เทียบศักราช และ การอธิบายความพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ, กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), pp. 24, 36, ISBN 978-616-7154-73-2
- ↑ พิษณุโลก, จังหวัด (1985), ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดพิษณุโลก, พิษณุโลก: สำนักงานจังหวัดพิษณุโลก, pp. 7–8, สืบค้นเมื่อ 2024-11-18
- ↑ ทรัพย์พลอย, อรวรรณ, บ.ก. (2017), พระมหากษัตริย์ของไทย (PDF), กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, p. 27, ISBN 978-616-283-320-5, สืบค้นเมื่อ 2024-11-18
- ↑ สมเด็จพระพนรัตน์. พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาและจุลยุทธการวงศ์. กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, 2535. 336 หน้า. หน้า 329. ISBN 978-974-4172-53-2
- ↑ กรมการศาสนา. ประวัติพระพุทธรูปองค์สำคัญ. กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ, 2524. 264 หน้า. หน้า 257.
- ↑ 55.0 55.1 55.2 55.3 มานพ ถาวรวัฒน์สกุล. (2536). ขุนนางอยุธยา. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 298 หน้า. ISBN 974-571-443-7
- ↑ สุทนต์ ขวัญนคร. "ยกทัพตีเมืองเขมร เหตุด้วยความแค้นเคือง," ใน พระองค์ดำ : สมเด็จพระนเรศวรมหาราช. กรุงเทพฯ : คลังทรัพย์, 2538. 239 หน้า. หน้า 163. ISBN 978-974-8940-77-9
- ↑ สมบูรณ์ บำรุงเมือง. ชุมชนโบราณเมืองพิษณุโลก. พิษณุโลก : สำนักศิลปะและวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏพิบูลสงคราม, 2544. 47 หน้า. หน้า 16. อ้างใน จดหมายเหตุของฟานฟลีต.
- ↑ สมบูรณ์ บำรุงเมือง. ชุมชนโบราณเมืองพิษณุโลก. พิษณุโลก : สำนักศิลปะและวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏพิบูลสงคราม, 2544. 47 หน้า. หน้า 16. อ้างใน พระธรรมนุญศก 1555 (พ.ศ. 2176).
- ↑ วรางคณา นิพัทธ์สุขกิจ. หนังกวาง ไม้ฝาง ช้าง ของป่า: การค้าอยุธยาสมัยพุทธศตวรรษที่ 22-23. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2550. 183 หน้า. หน้า 120.ISBN 978-974-7385-09-0
- ↑ คำให้การขุนหลวงหาวัด. นนทบุรี : โครงการเลือกสรรหนังสือ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2547. 244 หน้า. หน้า 34. ISBN 978-974-6457-67-5
- ↑ ก.ศ.ร. กุหลาบ ตฤษณานนท์. มหามุขมาตยานุกูลวงศ์ ว่าด้วยลำดับวงศ์ตระกูลขุนนางไทยทั้งสิ้นในแผ่นดินสยาม. พระนคร : สยามประเภท, ร.ศ. 124.
- ↑ มานพ ถาวรวัฒน์สกุล. (2536). ขุนนางอยุธยา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรม. 298 หน้า. ISBN 978-9-745-71443-4
- ↑ ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. (2459). "กฎหมายงานพระบรมศพครั้งกรุงเก่า (สอบเรื่องราวตำราพระเมรุกรมหลวงโยธาเทพฯ)," ใน เรื่องสมเด็จพระบรมศพ คือจดหมายเหตุงานพระเมรุครั้งกรุงเก่า กับพระราชวิจารณ์ของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง. พิมพ์แจกในงานศพ อำมาตย์เอก พระยาทวาราวดีภิบาล (แจ่ม โรจนวิภาต) จางวางกรุงเก่า ปีมโรงอัฐศพ พ.ศ. ๒๔๕๙. พระนคร: โสภณพิพรรฒนากร. 43 หน้า.
- ↑ เชาวน์ รูปเทวินทร์. (2528). ย่ำอดีต พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับงานกู้อิสรภาพของชาติไทย เลมที่ 1. กรุงเทพฯ : บริษัท พี.วาทิน พับลิเคชั่น จำกัด. 672 หน้า. หน้า 342-343.
- ↑ ธีระวัฒน์ แสนคำ. (2557). การล่มสลายของก๊กเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) สู่ฐานกำลังสำคัญของกรุงธนบุรี. ศิลปวัฒนธรรม ฉบับกรกฎาคม 2557.
- ↑ บุญเตือน ศรีวรพจน์ และสุจิตต์ วงษ์เทศ. (2545). อภินิหารบรรพบุรุษและปฐมวงศ์. กรุงเทพฯ: มติชน. 183 หน้า. ISBN 978-9-743-22594-9
- ↑ นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา. สาส์นสมเด็จ เล่ม ๕ : ลายพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2513. 397 หน้า. หน้า 108.
- ↑ คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยและจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี. (2523). ประชุมหมายรับสั่ง ภาค ๔: สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จ.ศ. ๑๑๘๖–๑๒๐๓. กรุงเทพฯ: สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี. หน้า 190.
- ↑ สูนฤต เงินส่งเสริม. (2548, กันยายน). "การศึกษาสถาปัตยกรรมวัดพระศรีมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก", วารสารหน้าจั่ว, 2(3): 61.
- ↑ สุรศักดิ์มนตรี (เจิม), เจ้าพระยา. (2476). ประวัติการของจอมพล เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี. [ม.ป.ท.]: ม.ป.พ. หน้า 110.
- ↑ "ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนคำว่าเมืองเรียกว่าจังหวัด ลงวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๕๙" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 33 (0ก): 51–53. 28 พฤษภาคม 1916.
- ↑ หวน พินธุพันธ์. "รายนามผู้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก," ใน พิษณุโลกของเรา. พิษณุโลก : วิทยาลัยวิชาการศึกษา พิษณุโลก, 2514. 195 หน้า. หน้า 28–32.
- ↑ ทำเนียบผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก เก็บถาวร 2023-01-21 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เว็บไซต์จังหวัดพิษณุโลก. สืบค้นเมื่อ 20 มกราคม 2566.
- ↑ "ฝ่ายนิติบัญญัติ". องค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก. สืบค้นเมื่อ 9 มิถุนายน 2024.
- ↑ "ข้อมูลจำนวนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแยกรายจังหวัด". กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น. สืบค้นเมื่อ 1 เมษายน 2024.
- ↑ กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเป็นกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://stat.bora.dopa.go.th/stat/pk/pk_57.pdf 2558. สืบค้น 1 มีนาคม 2558.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักทะเบียนกลาง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเนกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่างๆ ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖, เล่ม ๑๓๑, ตอน ๔๑ ง , ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗, หน้า ๑
- ↑ กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเป็นกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://stat.bora.dopa.go.th/stat/y_stat55.html 2555. สืบค้น 3 เมษายน 2556.
- ↑ กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเป็นกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://stat.bora.dopa.go.th/stat/y_stat54.html 2555. สืบค้น 6 เมษายน 2555.
- ↑ กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเป็นกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2553." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://stat.dopa.go.th/stat/y_stat53.html 2553. สืบค้น 30 มกราคม 2554.
- ↑ กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเป็นกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552."203.113.86.149/stat/y_stat.htmlสืบค้น 30 มีนาคม 2553
- ↑ กรมการปกครอง. กระทรวงมหาดไทย. "ประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครอง เรื่อง จำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร แยกเป็นกรุงเทพมหานครและจังหวัดต่าง ๆ ตามหลักฐานการทะเบียนราษฎร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551." [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: http://www.dopa.go.th/stat/y_stat51.html เก็บถาวร 2012-07-30 ที่ archive.today 2552. สืบค้น 30 มกราคม 2552.
- บรรณานุกรม
- จิตร ภูมิศักดิ์. ศัพท์สันนิษฐานและอักษรวินิจฉัย (โครงการสรรพนิพนธ์ จิตร ภูมิศักดิ์). กรุงเทพมหานคร: ฟ้าเดียวกัน , 2548.
- ดร. วินัย ศรีพงศ์เพียร และ ดร. ตรงใจ หุตางกูร (บรรณาธิการ). มรดกความทรงจำแห่งนพบุรีศรีลโวทัยปุระ : ว่าด้วยโคลงเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนารายณ์ฯ และจารึกโบราณแห่งเมืองละโว้. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), 2558. 330 หน้า. ISBN 978-616-7154-31-2
แหล่งข้อมูลอื่น
แก้- จังหวัดพิษณุโลก เก็บถาวร 2008-08-05 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ทันข่าวรอบจังหวัดพิษณุโลก